ย้อนกลับไปก่อนที่จะได้ที่ฝึกงาน ประมาณช่วงต้นปี 2019
ฉันได้ดูซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งชื่อว่า Romance is a Bonus Book เป็นเรื่องราวความรักของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเป็นอดีตนักเขียนคำโฆษณา แต่ต้องลาออกจากงานมาเลี้ยงลูก พอเธอเลิกกับสามีและลูกของเธอก็กำลังเรียนระดับชั้นประถม (ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าประถมหรือมัธยมต้น เพราะเคยดูเมื่อนานมากแล้ว) เธอจึงอยากกลับมาทำงานบริษัท แต่ด้วยอายุของเธอก็มากแล้วทำให้ข้อจำกัดในเรื่องการทำงานเยอะพอสมควร เธอจึงได้ทำงานตำแหน่งเล็ก ๆ ในบริษัทสิ่งพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนรุ่นน้องของเธอก็ทำงานในกองบรรณาธิการและเป็นนักเขียนของสำนักพิมพ์นี้ด้วย (เพื่อนรุ่นน้องคนนี้เป็นพระเอก) เธอทำงานฝ่ายสนับสนุนให้กับพนักงานทุกคนในฝ่ายอื่น ๆ แต่ด้วยความสามารถของเธอที่มีมากกว่าตำแหน่งงานที่เธอทำอยู่ ทำให้เธอต้องการพิสูจน์ตัวเองและตั้งใจทำงานให้ดียิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่ฉันสนใจมากกว่าเรื่องราวความรักของพระเอกนางเอกในซีรีส์เรื่องนี้คือ "กระบวนการทำงานในสำนักพิมพ์" เวลาที่ฉันดูก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเพราะได้เห็นการทำงานของฝ่ายต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการตรวจแก้ต้นฉบับ ซึ่งบางเล่มเขียนด้วยลายมือ การติดต่อประสานงานกับนักเขียน การออกแบบปกของฝ่ายศิลป์ และการโปรโมทของฝ่ายการตลาด (นางเอกของเรื่องจะเก่งในเรื่องของการตลาดมาก ๆ) ซึ่งมีตอนหนึ่งในซีรีส์ที่ฉันชอบมาก ๆ คือตอนที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องนั้นไม่ได้ตรวจทานข้อมูลของนักเขียนก่อนตีพิมพ์ทำให้หนังสือเล่มนั้นเกิดข้อผิดพลาด พอมาตรวจเจอทีหลังหัวหน้าที่ดูแลหนังสือเล่มนั้นจึงโกรธมาก เธอเลยสั่งแก้โดยการปริ๊นสติ๊กเกอร์ข้อมูลนักเขียนไปแปะทับจุดที่ผิดพลาดในหนังสือทุกเล่ม ซึ่งมันมีเยอะมากเพราะได้ทำการตีพิมพ์ออกมาเพื่อวางขายจนเสร็จหมดแล้ว พนักงานคนที่ทำผิดจึงต้องไปแปะสติ๊กเกอร์ทั้งหมดด้วยตัวเธอเอง ฉันซึ่งเป็นคนดูจึงตระหนักได้ว่าการทำหนังสือออกมาแต่ละเล่มมันใช้เวลานานมากเพราะต้องตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หากพลาดก็ต้องแก้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งมันทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากและอาจจะขาดทุนได้
สำหรับใครที่สนใจอยากดูซีรีส์เรื่องนี้ ลองกดดูตัวอย่างซีรีส์ได้ที่วิดีโอด้านล่างนี้นะคะ
ตอนที่ฉันดูซีรีส์เรื่องนี้มันทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจอยากจะลองทำงานด้านนี้ดูสักครั้ง จริง ๆ แล้วฉันไม่รู้ว่าฉันอยากทำหรืออยากเป็นอะไร เพียงแต่รู้ว่าอยากทำงานที่ได้อยู่กับหนังสือ เป็นคนขายหนังสือก็ได้ เป็นหนึ่งในคนผลิตก็ได้ เพราะฉันอยากอ่านหนังสือ อยากเห็นหนังสือเรียงกันเยอะ ๆ เวลาที่ฉันว่าง ๆ ไม่รู้จะไปไหน ฉันมักจะไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือเพราะมันเงียบดี และไม่มีใครมาวุ่นวายเวลาที่ฉันจะหยิบหรือจับหนังสือเล่มไหนขึ้นมาอ่าน แต่ก็แอบเสียใจเล็ก ๆ เพราะได้แต่เข้าไปเดินดู จับ ๆ วาง ๆ เพราะไม่มีเงินซื้อมันกลับมาอ่าน เป็นอันรู้กันว่าหนังสือสมัยนี้ราคาแพง เพราะมีต้นทุนการผลิตสูง หนังสือดี ๆ สักเล่มที่ฉันอยากได้ราคาขั้นตํ่าก็มักจะอยู่ที่ 200 บาทแล้ว ฉันก็ได้แต่อดใจไว้เก็บเงินไว้กินข้าวก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรงเดินต่อ ฉันจึงใฝ่ฝันว่าถ้าเรียนจบทำงานมีเงินแล้วก็จะซื้อหนังสือดี ๆ ทุกเล่มที่อยากได้มาอ่าน และสร้างห้องสมุดหรือมุมหนังสือเล็ก ๆ ในบ้านของตัวเอง หวังว่าคงจะเป็นจริงสักวันนะ
กลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า เมื่อช่วงต้นปี 2020 ได้เริ่มต้นชีวิตอย่างหนักหน่วงด้วยภาระของนิสิตชั้นปีที่ 3 คือต้องหาที่ฝึกงาน ฉันส่ง Resume สมัครไปหลายที่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับ Web Content ฉันอยากจะลองฝึกเขียนชิ้นงานเล็ก ๆ โดยเริ่มจาก Content สั้น ๆ ที่กำหนดโจทย์มาให้แล้วจึงลองสมัครบริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับการเขียน Content ไป แต่ก็ถูกปฏิเสธจากทุกที่ แต่ก็มีบริษัทหนึ่งคือสำนักพิมพ์บันลือสาส์นรับสมัครนักศึกษาฝึกงานในตำแหน่งกองบรรณาธิการ ซึ่งรายละเอียดการสมัครนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาของฉันเป็นคนส่งมาให้ ตอนที่ฉันเห็นนั้นฉันไม่ลังเลที่จะสมัครเลย และด้วยความโชคดีหรือเป็นเพราะโชคช่วย (แนะนำเคล็ดลับให้ไปขอพรเรื่องงานที่ เทวาลัย พระพิฆเนศ สี่แยกห้วยขวาง ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์มาก) ทำให้ฉันได้ฝึกงานกับสำนักพิมพ์บันลือสาส์น ฉันดีใจมาก มันเหมือนกับมีคนยื่นโอกาสมาให้เราตรงหน้าแล้วเราก็คว้ามันได้สำเร็จ มันแบบดีมาก ๆ เลย
ตอนนี้ฉันจึงอยากจะบอกว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิตฉันได้ฝึกงาน ณ กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์บันลือสาส์นแล้ว เย้ ๆ" พิเศษเพิ่มเติมคือเป็นเป็นเด็กฝึกงานยุคโควิด ประทับไว้ในประวัติศาสตร์นิสิตเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก55555 ป.ล. หวังว่ามันจะหายไปในเร็ว ๆ นี้นะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in