ณ Café de Museum @สวนดอกพาร์ค หลัง มช.
เมนูกาแฟที่เป็น Signature ของร้าน ถูกเสิร์ฟมาด้วยแก้วใบใหญ่ ลักษณะของกาแฟแยกออกเป็น 3 ชั้น ชั้นบนสุดคือฟองนมสีขาวบริสุทธิ์ ชั้นรองลงไปคือตัวกาแฟสีขุ่นโคลน เมื่อลองชิมก็รู้ว่าเป็นกาแฟที่ผสมกับชาไทย กลิ่นของชาไทยหอมแรงข่มกลิ่นของกาแฟดับสิ้น ในขณะที่ชั้นล่างสุดมีลักษณะเป็นเหมือนครีมข้นขาวรสชาติหวานคล้ายนมข้น ผมรีบจัดการในส่วนที่เป็นฟองนมจนหมด แล้วใช้ช้อนยาวคนกาแฟชาไทยกับส่วนผสมด้านล่างให้เข้ากัน รสชาติในการดื่มครั้งแรกคือ ขมแล้วจึงได้รสหวาน จากนั้นเมื่อดื่มครั้งที่สองกลับได้รสหวานแล้วจึงเปลี่ยนเป็นขม น่าแปลกใจที่ว่า เราดื่มกาแฟแก้วเดียวกัน แต่ละครั้งที่ดื่มกลับได้รสชาติไม่เหมือนกัน
Café de Museum Hot
Bitter-Sweet คือนิยามของกาแฟแก้วนี้ มันเป็นรสชาติขมแล้วอยู่ดีๆ ก็หวาน มันเป็นรสชาติหวานแล้วอยู่ดีๆ ก็ขม คล้ายกับชีวิตของมนุษย์เราที่ต้องเจอทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปในชีวิต เราไม่มีทางรู้เลยว่าสุขในวันนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แล้วทุกข์ในวันไหนที่เราจะต้องประสบพบเจอ การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทเป็นสิ่งที่จะคอยช่วยเรารับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ได้
พูดถึง Bitter-Sweet แล้วนึกเพลงหวานขม ของบอย-ป๊อด ที่พูดถึงการย้อนมองกลับไปในชีวิตที่น้ำตาของเราทำงานในภาวะทั้งทุกข์และสุขได้พร้อมกัน แล้วมันก็จริง ไม่มีร่มวิเศษคันใดจะกันน้ำใต้ตาได้ดีเท่ากับร่มแห่งกาลเวลาอีกแล้ว
อีกเพลงนึงที่นึกถึง เราคงเคยได้ยิน intro เพลงนี้กันบ่อย เพราะถูกนำไปใช้ในหลายๆ งานจนติดหู นั้นก็คือ Bitter Sweet Symphony ของวง The Verve วงดนตรีร็อคจากอังกฤษ เพลงนี้ผมได้ยินครั้งแรกเมื่อตอนเรียนอยู่ มช. ปี 3 ประมาณปี 2541 ตอนนั้นเรารู้สึกว่าดนตรีมันเพราะมาก และฟังติดหูมาจนถึงปัจจุบัน เพลงนี้มีมิวสิควิดีโอด้วย ลองหาฟังกันได้จาก You Tube
ปล. ผมว่าที่เมนูกาแฟนี้เป็นลายเซ็นของร้านน่าจะมาจากสีของกาแฟที่ผสมชาไทยนั้นคล้ายกับสีที่ใช้เป็นธีมหลักของร้าน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in