เสียงแซ็กโซโฟนแหลมบาดลึกราวกับมีดกรีดลงบนจิตวิญญาณของผู้ฟังไฟสลัวสะท้อนกับเครื่องดื่มสีอำพันตรงหน้า ผมแกว่งแก้วในมือไปมา เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วกรุ๊งกริ๊งดึงผมกลับสู่ความจริงผมกดปุ่ม “โฮม” ของโทรศัพท์เป็นรอบที่สาม หน้าจอสว่างวาบปรากฏรูปของพ่อและแม่ขึ้นมานาฬิกาบนหน้าจอบอกเวลา
22.45
ยังไม่ดึกมากนั่งต่อได้อีกซักพักก่อนที่บาร์จะแน่นไปด้วยเหล่าผีเสื้อราตรี
23.30
ผมกดปุ่มโฮมอีกครั้ง น่าหัวร่อที่ปุ่มนี้ถูกตั้งชื่อว่าปุ่มโฮมและหน้าแรกของเวปไซต์ถูกตั้งชื่อว่าโฮมเพจบ้านเป็นเพียงสถานที่ที่เรากลับไปบ่อยๆเท่านั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นหากผมจะเรียกที่นี่เป็นบ้านก็คงไม่แปลกนักผมถอนใจอีกครั้ง เธอยังไม่มา ไม่รู้ว่าเธอจะปล่อยให้ผมรออีกนานแค่ไหน
“ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” เธอว่า
แต่พ่อผมมักกล่าวเสมอว่า การปล่อยให้ใครรอเปรียบเหมือนกับการขโมยเวลาของคนนั้น แต่เอาเถอะผมชอบเธอ จะรอนานเท่าใดผมก็ไม่เกี่ยงในเมื่อเธอไม่ได้แค่ขโมยเวลาผมไป แต่ยังขโมยหัวใจผมไปด้วย
00.00
เสียงแซ็คโซโฟนเปลี่ยนโทนเป็นทำนองที่ครื้นเครงขึ้นเครื่องดื่มสีอำพันแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน น้ำแข็งละลายหมดเสียแล้ว น่าเสียดายที่ร้านไม่มี whiskey stone ให้ใช้ เพราะลูกค้าชอบ “เผลอ”หยิบติดมือกลับบ้านไปด้วย ผมถอนหายใจยาวพร้อมเอื้อมมือไปกดปุ่มโฮมอีกครั้ง
“กลับบ้านได้แล้วลูก” ข้อความจากแม่สว่างขึ้นมาบนหน้าจอ
แม่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมทำ แม่ว่าขายเหล้าเป็นมิจฉาอาชีวะหลอกล่อให้คนมัวเมา แต่ผมว่าคนเราก็มัวเมาอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีเหล้า ผมหรี่ตามองหญิงสาวโต๊ะข้างๆ ปากสีเลือดนกของเธอโดดเด่น ดวงตากลมโตหยาดเยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เธออิงแอบคลอเคลียอยู่กับชายหนุ่มซึ่งไม่ได้มาด้วยกัน ผมพยักหน้าให้บอดี้การ์ดจัดการเชิญแขกทั้งสองท่านไปนัวเนียกันที่อื่นก่อนที่บาร์ของผมจะเสื่อมเสียด้วยเรื่องโสมม
ใครว่าคนเราไม่มัวเมาพนันได้เลยว่าหากชายหนุ่มหน้าตี๋คนนั้นไม่ได้ขับรถเบนซ์สปอร์ตสีดำ หญิงสาวคงไม่เข้าใกล้เขาแน่คนเรามัวเมากันอยู่ทุกวันแล้ว มัวเมาในอำนาจ มัวเมาในลาภ มัวเมาในยศถาบรรดาศักดิ์ และที่สำคัญมัวเมาในความรัก ผมสูดหายใจลึก หลับตาเนิ่นนาน
เธอยังไม่มา
00.30
แจ็คกี้วางแซ็คโซโฟนตัวเก่งลงแล้วเดินมานั่งข้างผม “เธอไม่มาหรือ”ผมเพียงส่ายหัวปฏิเสธ เขายิ้มมีเลศนัยไม่ต่อความแล้วสั่งชาเอิร์ลเกรย์จากบาร์เทนเดอร์ แจ็คกี้เป็นรุ่นน้องคนโปรดของผม
เขาไม่เหมือนนักดนตรีคนอื่นๆเขาไม่ดื่มเหล้าจนเมาเหมือนหมาแล้วอ้างว่าหาแรงบันดาลใจ ผมเกลียดเหลือเกินเวลาได้ยินคนพูดว่าชอบบรรยากาศวงเหล้า แต่ไม่ชอบกินเหล้าเหมือนกับคุณพูดว่าคุณเห็นด้วยกับการเอาหมามาทำลูกชิ้น แต่ไม่ชอบกินลูกชิ้นหมาหรือพูดว่าผมชอบตุ๊ดนะ แต่ผมก็รับไม่ได้ถ้าน้องชายผมเป็นตุ๊ด ผมเกลียดที่เธอมาสาย ณเวลานี้ ผมเกลียดหลายสิ่งเหลือเกิน ผมคงเริ่มจะเมาเสียแล้ว
00.45
แจ๊คกี้กลับไปบนเวที เขาเลือก Coltrane มาเล่นทํานองหยอกเย้าและเศร้าสร้อยช่างเหมาะสําหรับคํ่าคืนนี้ ฝีมือของเขาดีขึ้นเรื่อยๆผมคงต้องขึ้นค่าตัวให้เขาก่อนที่บาร์อื่นจะชิงตัวเขาไป โดมินิคแจ๊ซคลับ ชื่อบาร์ของผม ในตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะสร้างแจ๊ซคลับ
แต่ผมชอบคนขายฝันแล้วแจ๊คกี้ก็ตอบโจทย์ผม
เขาบอกผมว่าเมืองไทยยังไม่มีแจ๊ซบาร์มากนักการเปิดบาร์แล้วชงเหล้าสูตรพิเศษแบบ customized ให้ลูกค้าแต่ละคนจะทําให้บาร์ผมเป็นที่แห่งแรกที่บรรยากาศเอื้ออํานวยต่อการเซ็นสัญญาธุรกิจได้ซึ่งความจริงก็คงไม่มีคนสติดีคนไหนเซ็นสัญญาธุรกิจกันในบาร์ นอกจากผม ผมกดปุ่มโฮมหน้าจอสว่างวาบอีกครั้ง
"กําลังจอดรถ" ข้อความของเธอปรากฏขึ้น
1.15
เธอเดินกรุยกรายเข้ามาในชุดแซคสีดำสนิทผมยิ้มแล้วเอ่ยกับเธอว่า “คิดถึง” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด เมื่อกล่าวออกไปแล้วผมจึงระลึกได้ว่าผมไม่ได้คิดถึงเธอ อาจเป็นเพียงอารมณ์กรุ่นจากการรอคอยก็เป็นได้หรือแท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงคำบ่นฉบับสั้นของผมว่าผมคิดถึงบ้านผมต่อสู้กับความรู้สึกย้อนแย้งที่อยากลุกออกไปและขับรถมุ่งตรงสู่บ้าน แล้วลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งเธอกล่าวขอบคุณพอเป็นพิธีแล้วหันมามองผม
กลิ่นแอลกอฮอล์บางๆจากเธอฉุนแตะจมูกผม
วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าจัดเต็มเหมือนเคย แค่ลิปกลอส และบรัชออนพองามอายไลน์เนอร์คมสีเข้มทำให้ตาของเธอดูดุขึ้น แต่แววตาของเธอกลับเศร้าประหลาด
“โดมินิคเราเป็นอะไรกัน”เธอเอ่ยถามผม
“ก็แล้วคุณคิดว่าไง”
“อย่าตอบคำถามด้วยคำถามฉันจะถามอีกครั้ง เราเป็นอะไรกัน”
“ผมว่าคุณกำลังเมาโคลอี้ ไปเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
ผมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าของเธอก่อนจะพยุงเธอออกไปหน้าร้าน
“ไม่คุณยังไม่ตอบคำถาม”
“อย่างี่เง่าน่ะกลับบ้านเถอะ”
“ฉันจะกลับถ้าคุณตอบก่อน”
“เป็นเพื่อนร่วมงานเป็น business partner เป็นคู่คิด พอใจไหม”
“อืมฉันจะกลับแล้ว เซ็นนี่ให้ฉันก่อน สัญญาโอนแจ๊ซคลับที่คุณบอกจะเลิกทำ ฉันจะทำต่อ”
“คุณแน่ใจหรือว่าจะทำต่อแน่ใจว่าจะไม่เศร้าหากต้องทำคนเดียวโดยที่ไม่มีผม”
เธอยิ้มเศร้า ไม่ตอบคำ
ผมตวัดชื่อลงบนช่องลายเซ็นท้ายสัญญา
2.00
ผมขับรถกลับบ้าน แสงไฟสีส้มของทางด่วนวิ่งผ่านกระจกหน้ารถเป็นแนวตามความเร็วของรถยนต์ความเย็นของแอร์รถยนต์ไม่ได้ทำให้จิตใจผมสงบลงเลยผมนึกถึงคำพูดของเธอว่าเราเป็นอะไรกัน จริงอยู่ระหว่างเรามันมีอะไรพิเศษแต่ผมไม่ชอบการผูกมัด จึงตีมึนทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อคำถามของเธอ คำถามที่เธอถามบ่อยจนบางครั้งผมก็นึกรำคาญพอคิดดูดีๆแล้วผมกลับรำคาญตัวเองมากกว่ารำคาญคำถามของเธอเสียอีก
“ไม่แปลกหรือที่เราต้องแปะฉลากให้ความสัมพันธ์”ผมถามเธอกลับในครั้งหนึ่ง
เธอทำหน้าครุ่นคิดแล้วตอบผมว่า“รู้ไหมว่าเพื่อนกับแฟนต่างกันอย่างไร”
ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเล“ไม่ต่าง ก็แค่สนิทกันมากๆ”
ตอนนั้นเธอยิ้มไม่ตอบคำ แต่ผมไม่เข้าใจเธอว่าทำไมต้องทำให้ความสัมพันธ์มันชัดเจน สำหรับผมแล้วคนบางคนชอบก็เจอบ่อยๆบางคนกินข้าวด้วยแล้วสนุก บางคนปรึกษาเรื่องงานแล้วดีชีวิตปกติก็มีเส้นแบ่งแยกชัดเจนอยู่แล้ว เช่น งานที่ไม่ตั้งใจทำคือห่วยงานผิดพลาดคือล้มเหลว ส่งงานช้าคือไร้ความัรบผิดชอบความสัมพันธ์ไม่ควรจะมีเส้นแบ่ง เพราะมีเรื่องในชีวิตให้ล้มเหลวตั้งมากมายแล้วทำไมต้องทำให้ความสัมพันธ์กลายเป็นหนึ่งในนั้น ผมไม่ชอบความล้มเหลวของความสัมพันธ์เช่น คนที่เป็นแฟนกันกลับกลายเป็นไม่คุยกันอีกดังนั้นผมจึงปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สำหรับเธอแล้วความชัดเจนคงเป็นเรื่องสำคัญแต่เอาเถอะ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
10 พฤษภาคม 2016
22.30
แจ๊คกี้เมสเสจหาผม เชิญมาร่วมงาน debut เพลง EDM ของเขาที่โดมินิคแจ๊ซบาร์เสียแต่ว่ามันไม่ได้ชื่อโดมินิคแจ๊ซบาร์อีกต่อไปเธอเปลี่ยนบาร์ของเราเป็นผับตามยุคสมัย ผู้คนอัดแน่นจนล้นเพราะเธอปั้นแจ๊คกี้ให้กลายเป็นดีเจชื่อดังภายในระยะเวลาเพียงเดือนเดียวเสียงดีดนิ้วและเสียงกลองระรัวเข้าจังหวังในเพลงของแจ๊คกี้เป็นเอกลักษณ์ เหมือนกับเสียงฝนในเพลง Animal ของ Martin Garrix
ผมเห็นเธออยู่ข้างเวทีขณะที่ผมยืนจิบ Hoegarrden อยู่ตรงมุมห้องรสเบียร์ขมปร่านุ่มลิ้นสมกับเป็นเบียร์นอก เสียแต่เวลานี้ผมรู้สึกอยากกินอะไรห่วยๆรสชาติเหมือนฉี่แบบเบียร์ลีโอมากกว่าชั่วแวบหนึ่งที่เราสบตากัน ผมชูขวดเบียร์ขึ้นฉลองให้กับความสำเร็จของเธอเธอยิ้มมุมปากก่อนจะหันกลับไป
ผมขับรถกลับบ้าน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in