เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
# I N N E R STELLARYES GOOD NO BAD
[1] สิ่งที่เรารู้คือหยดน้ำ สิ่งที่เราไม่รู้คือมหาสมุทร [ควันหลง Netflix's DARK 2017]
  • 18.12.17



    Was wir wissen, ist ein Tropfen
    Was wir nicht wissen, ein Ozean.
    สิ่งที่เรารู้คือหยดน้ำ
    สิ่งที่เราไม่รู้คือมหาสมุทร




    *บทความมีเนื้อหาสปอยล์ และเขียนตามใจโดยไม่มีความรู้ใดใดทั้งสิ้น5555555555*

    เพิ่มเติม เราเพิ่งรู้ว่าใน minimore สามารถจัดหน้ากระดาษสวยๆได้มากกว่านี้เมื่อครู่นี้เองค่ะ เศร้าเลย รู้งี้จะเขียนบทความนี้ให้หน้ากระดาษสวยกว่านี้ เป็นระเบียบกว่านี้ :( แต่ ขี้เกียจแล้วค่ะ ขอแก้ตัวบทความหน้าละกันเนอะ อิอิ



    Dark เป็นซีรีย์เยอรมันในเว็บ Netflix ที่กำลังมาแรง เราเองก็เป็นคนนึงที่มาดูเรื่องนี้เพราะติดใจจาก Stranger Things แล้วมีคนบอกมาว่าเนื้อหาคล้ายๆกัน (แต่กล้าบอกได้เลยว่าจริงๆแล้วเหมือนแค่นิดดดดเดียวเท่านั้น!)  ปกติเราก็จะชินกับหนังหรือซีรีย์ของทางอเมริกามากกว่าของทางยุโรปประเทศอื่นๆ ซึ่งตัวหนัง ไม่นับพล็อต ก็มีความแตกต่างมากแล้วและอาจจะทำให้คนดูไม่ชินเท่าไหร่ โทนสีออกหม่น ดำเนินเรื่องเอื่อยๆเรียบๆไม่หวือหวาจนทำให้ง่วงไปบ้าง ไหนจะกำแพงภาษาที่อีกต่างหาก ส่วนตัวเราคิดอยู่พักนึงเลยว่าจะเลือกดูเป็นเสียงภาษาอังกฤษหรือเยอรมันดี เพราะลองฟังเยอรมันไปห้านาทีแล้วไม่ชินหูมากๆ แต่สุดท้ายก็เลือกดูเป็นเสียงเยอรมันเพราะคิด(ไปเอง)ว่า เสียงออริน่าจะทำให้อินกว่า!



    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เราไม่ได้มารีิวิวหนังแต่อย่างได้ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นของพล็อตเรื่องที่เราสนใจมากๆจนรู้สึกว่าปล่อยไปไม่ได้แต่ก็ไม่อยากทวิตให้รกทามไลน์ใคร นั่นคือประเด็นว่าด้วยสามอย่าง



    เวลา แสง และมิติ

    Dark นำเสนอสามเรื่องซึ่งเราก็เคยชินกันอยู่แล้วคือเวลา แสง และมิตินั่นเอง แต่ตัวบทตีความออกมาได้น่าสนใจมากสำหรับคนอย่างเราซึ่งอินเหรอไปกับทุกเรื่อง (555555) เนื้อหาที่จะพิมพ์ต่อไปนี้สปอยล์เนื้อหาอย่าง ร้าย กาจ แต่ถ้าไม่ได้คิดจะดูอยู่แล้ว ก็อยากให้ลองอ่านกัน เพราะมันน่าสนใจจริงๆนะ!


    มาเริ่มกันเลยดีกว่า



    ซีรี่ย์เรื่องนี้ นำเสนอเรื่องราวของช่วงเวลาสามช่วงซึ่งได้แก่ปี 1953, 1986 และ 2019 ของเมืองวิลเดนที่ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยรูหนอน ซึ่งรูหนอนนี้จะอยู่ในถ้ำกลางป่า---ถ้าพิมพ์แค่นี้ ก็จะคิดกันแล้วว่า พล็อตหนังท่องเวลาเนี่ย ที่จริงแล้วก็เกร่อใช้ได้เลยนะ ซึ่งตอนที่เรารู้ครั้งแรกเราก็คิดค่ะ แต่ความน่าสนใจคือ จะเล่นเรื่องนี้ไปในทางไหนเพื่อไม่ให้มีจุดจบเหมือนหนังย้อนเวลาทั่วๆไปตามท้องตลาดที่เราเคยดูกัน แน่นอนว่าด้วยโทนสีหม่น และเพลงประกอบที่ทำให้ขนลุกตั้งแต่เพลงเปิด ก็พอทำให้เรารู้ได้แล้วว่าซีรีย์เรื่องนี้ไม่ใช่แนวโรแมนติกแน่ๆล่ะ  ก่อนอื่น เราจะขอแปะภาพประกอบซักเล็กน้อย


    รูปนี้สามารถอธิบายรูหนอนของเวลาในเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายขึ้นมากเลยค่ะ


    เราจะเห็นได้ว่ามีสามเหลี่ยมตรงกลางที่คั่นระหว่างปีทั้งสาม และสามเหลี่ยมที่ก็มีด้านหนึ่งที่ติดกับสามเหลี่ยมที่เขียนเลขปีเอาไว้ครบทั้งสามอัน---นั่นก็คือ ทางเชื่อมเวลาในถ้ำนั่นเอง และรูหนอนนี้ถูกสร้างขึ้นจากการระเบิดจากข้อผิดพลาดในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของวิลเดนเมื่อปี 1986 ค่ะ


    ตรงนี้น่าสนใจตรงที่ว่า หนังเริ่มเรื่องขึ้นในปี 2019 ค่ะ ซึ่งนั่นหมายความว่าพอย้อนผ่านรูหนอนไปยังปีต่างๆเหล่านี้ หนังจะทำให้เราเข้าใจว่าปี 2019 นี่แหละคือ "ปัจจุบัน" (ส่วนตัวเราคิดว่า น่าจะเพราะมันใกล้เคียงปีปัจจุบันด้วยแหละค่ะ ซึ่งเราก็ต้องเอามันมาอ้างอิงกับความปัจจุบันอยู่แล้ว) แต่พอเนื้อเรื่องผ่านไป อย่างที่บอกว่าระเบิดเกิดขึ้นในปี 1986 และเป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง เพราะฉะนั้นปี 1986 นี่แหละคือเวลาปัจจุบัน กลายเป็นว่าปัจจุบันที่เราปักหมุดความคิดไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นคือ "อนาคต" และปี 1953 จึงจะเป็น "อดีต" สำหรับสามเหลี่ยมซ้อนภาพนี้ค่ะ สำหรับตรงนี้ ก็มีประเด็นน่าสนใจอีกเรื่องค่ะ


    ปีทั้งสามในเรื่องจะเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด---1953 เป็นปีที่มีการโปรโมตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นครั้งแรก เป็นยุคที่เพิ่งมีการค้นพบการสร้างไฟฟ้าด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์, 1986 เป็นปีที่โรงไฟฟ้ารุ่งเรื่อง แต่ก็มีปัญหาภายในที่เก็บไว้และไม่ยอมแก้ไขให้ถูกต้อง นั่นก็คือการระเบิดเล็กๆในโรงงานที่ทำให้เกิดรูหนอน (นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์เชอร์โนบิลด้วยค่ะ สำหรับเรา มันเป็นหนึ่งใน clue ที่ทำให้เดาว่า มันต้องเป็นเพราะธาตุกัมมันตรังสีแน่เลย) ส่วนในปี 2019 เป็นช่วงที่กำลังดำเนินการถอนรื้อโรงงานนิวเคลียร์ค่ะ ตรงนี้เลยแอบทำให้เราเดาเรื่องได้นิดหน่อย



    แต่ก็นั่นแหละค่ะ ทำไมถึงต้องเป็นสามยุคมาเชื่อมต่อกัน ทำไมไม่เป็นสอง? อดีต-ปัจจุบันไม่พอเหรอ



    ตรงนี้เราชอบมากค่ะ เป็นบทสนทนาของตัวเอกคนหนึ่งกับช่างทำนาฬิกาในปี 1953  ช่างบอกกับเขาว่า มนุษย์ชอบคิดอะไรเป็นคู่ตรงข้าม เสมอ เช่นขาวกับดำ ดีกับชั่ว ขึ้นกับลง แนวตั้งกับแนวนอน แต่ในความเป็นจริงก็คือ มันจะไม่สามารถสมบูรณ์ได้ถ้าปราศจากมิติที่สามค่ะ มีสีเทาระหว่างสีทำ มีความก้ำกึ่งระหว่างความดีกับชั่ว หรือการที่เรามีสิ่งที่เรียกว่าแกน z เป็นมิติที่สามของแกน x และ y  จะเห็นว่าหนังเล่นกับเลขสามเยอะมากๆ และมีอีกประเด็นคือ ทั้งสามปีนี้ห่างกันอย่างละ 33 ปีค่ะ

    ในหนังได้กล่าวว่าในโลกใบนี้เลข 33 มักจะเป็นตัวเลขสำคัญของอะไรซักอย่างค่ะ เช่น อายุของพระเยซู และถูกเรียกว่าเป็น ANGEL NUMBER ด้วย (มีอีกมากมายนะคะ ต้องลองเสิร์ชดู) แต่ในเรื่องนี้เล่นเรื่องวัฏจักร 33 ปี ที่เชื่อกันว่าทุกอย่างในจักรวาลจะกลับมาเหมือนเดิมครั้งหนึ่ง ซึ่งอันนี้อ้างอิงมาจาก Lunar Calendar ซึ่ง เราก็เพิ่งเคยได้ยินตอนดูนี่แหละค่ะเลยค่อนข้างจะแบบ ว้าว นิดนึง



    สุดท้ายคือเรื่องแสง แต่ก่อนเราจะคุยเรื่องแสงกัน เราจะพูดถึงคำถามหนึ่งที่พูดขึ้นมาในเรื่องก่อน


    เพราะอดีตส่งผลต่ออนาคต 
    เพราะฉะนั้น คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้มั้ย เพื่อเปลี่ยนอนาคต? แต่ นั่นหมายความว่าเราต้องไม่พอใจอะไรสักอย่างในอนาคตนั้น ถึงได้อยากย้อนกลับไปแก้ไขอดีต ถูกมั้ยคะ? ทีนี้ ถ้าเราถามอีกรอบ

    เพราะเกิดเหตุการณ์ในอนาคตนั้น เราถึงอยากกลับไปแก้ไขอดีต
    ถ้าอย่างนั้นมันสามารถหมายความว่า เหตุการณ์ในอนาคตกำลังกำหนดอดีตใช่หรือเปล่า?

    แล้วถ้ารวมสองคำถามปัจจุบันคือตรงไหนล่่ะคะ เรากำลังใช้ช่วงเวลาไหนอ้างอิงความจริง? (กรี๊ดดดด แล้วในเรื่องนี้มันมีอดีตสองขั้น!) ไหนจะประเด็นที่ว่า ถ้าคนเราสามารถย้อนเวลาได้จริงแบบในเรื่อง ตกลงแล้วเป็นอดีตกำหนดอนาคต หรืออนาคตที่กำหนดอดีต? สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันที่เราคิดเป็นปัจจุบันครั้งแรก หรือปัจจุบันที่ถูกแก้มาแล้วครั้งนึง? เราเป็นวัฏจักรครั้งที่เท่าไหร่ของเรื่องนี้?


    ฮือ คุณ

    เราโคตรชอบเลยค่ะ แล้วยิ่งชอบเข้าไปอีกตรงที่ซีรีย์เรื่องนี้เลือกจะอธิบายเหตุการณ์นี้ด้วยแสงค่ะ


    อย่างที่เรารู้กัน เราถูกสอนมาว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอยกเว้นแต่จะถูกสะท้อน หักเห หรืออะไรก็ตามแต่ เหมือนกับเวลาค่ะ เวลาก็เดินทางเป็นเส้นตรง นั่นคือเหตุผลที่เราเรียนรู้คอนเสปท์ของเวลากันในรูปแบบของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่ตัวละครสำคัญตัวหนึ่ง---คุณช่างนาฬิกาคนเดิมค่ะ---ได้ถามขึ้นมาว่า แล้วถ้าสมมติความจริงที่เราไม่รู้คือ แสงเดินทางเป็นวงกลมล่ะ?

    ในหนังอธิบายด้วยการวาดภาพคนหนึ่งคน และวาดแสงเป็นลูกศรพุ่งไปข้างหน้าจนสุดขอบ

    ก่อนจะม้วนกระดาษเข้าหากัน จนปลายลูกศรนั้นชี้หลังของคนในกระดาษ

    เช่นเดียวกับเวลาค่ะ เป็นไปได้มั้ยว่าเวลาจะเดินทางเป็นวงกลม? ไม่ใช่แค่จากอดีตไปสู่ปัจจุบัน และปัจจุบันไปสู่อนาคต แต่เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่สุดท้ายแล้วกลับมาบรรจบกันที่จุดแรกเริ่ม และดำเนินต่อกันไปเรื่อยๆ วนไปวนมาไม่มีวันจบสิ้น?

    กรี๊ด

    งงค่ะ พิมพ์เองก็งงเอง แต่ก็ชอบเหลือเกิน!


    อาจเพราะว่าเราดูหนังไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ บวกกับไม่ได้รู้ทฤษฏีอะไรมากทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางปรัชญา แต่ด้วยหลักการหลักๆไม่กี่อย่างที่เล่านี้ก็มากพอที่จะทำให้เราชอบซีรี่ย์เรื่องนี้มากๆจนอยากเลี้ยงข้าวคนแต่งสักมื้อเลยค่ะ คิดแต่ว่าทำไมถึงเก่งจังเลยน้า แล้วก็อยากรู้เรื่องอะไรแนวนี้มากไปอีก


    อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งนะคะ ถึงจะเป็นเรื่องหลักแต่มันยังมีเรื่องย่อยๆที่เราก็ว้าวอีกมากมายในซีรี่ย์เรื่องนี้ค่ะ ภาพสวยมาก นักแสดงงานดีมากเช่นกัน (เราดูแล้วอยากไปเที่ยวเยอรมนีเลยค่ะ อยากเรียนภาษาเขาด้วย อิน!) และถ้ามีโอกาส ก็อยากแนะนำให้ลองไปดู Dark (2017) กันนะคะ!



    : เขียนสั้นๆ งงๆ ด้วยความชอบหลังจากเพิ่งดูจบสดๆร้อน
    : ได้ระบายแล้วสบายใจที่สุดในโลก! พอใจละ เราขอจบเอนทรี่นี้เพียงเท่านี้
    - YES GOOD NO BAD -
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in