เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Go to school in New YorkLeelawadee Tuey
วันที่สัมภาษณ์วีซ่า...มาถึงแล้วสินะ
  • "สมองสั่งให้ร่างกายสร้างความกลัว

    หัวใจสั่งให้เราเอาชนะความกลัวนั้น"

                     ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง ฉันตื่นเต้นมาก สิวขึ้น กินเยอะ นอนไม่หลับและก่อนหน้านี้ 3-4 วัน ฉันมีอาการสะดุ้งตื่นทุกเช้าพร้อมกับความกดดัน วันนั้นเป็นวันที่ 23 มกราคม 2558 ฉันเตรียมชุดเอาไว้ในใจแล้วว่าจะใส่ชุดไหน เสื้อเชิทสีขาวกับกระโปรงสีดำทรงนางเงือก บอกเลยว่าความมั่นใจมาเต็ม ฉันพยายามปลอบใจตัวเองอยู่เสมอว่า "ถ้าไม่ผ่านไม่เป็นไร ฉันจะไปที่อื่นแทน" พร้อมกับฮึมฮัมในใจว่า "It's my day, It's my life" มันจะคล้ายๆกับการเรียกพลังพิเศษบางอย่าง แต่จริงๆมันก็คือการปลอบใจตัวเองนั่นแหละ พอมีสติจดจ่ออยู่กับความหึกเหิมและมั่นใจ มักจะช่วยให้ฉันเอาชนะความกลัวและความตื่นเต้นไปได้เสมอ

                สาเหตุที่ฉันกลัวและกดดันขนาดนี้ มันเป็นเพราะว่าฉันเคยมีประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าท่องเที่ยวไม่ผ่านมาแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นฉันกับแม่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เราต้องการไปงานรับปริญญาโทของพี่สาวที่นิวยอร์ค ท่านกงศุลสาวก็พูดภาษาอังกฤษใส่พวกเราแบบรัวๆ ...กลับบ้านคะ

                     แต่หลังจากนั้น 5 ปี ฉันก็ไปขอใหม่ คราวนี้มีใบรับรองจากที่ทำงาน ภาษาเริ่มดีขึ้น พอจะฟังคำถามได้ ส่วนคำตอบน่ะเหรอ ท่องไว้แล้ว ฮ่าๆๆ และฉันก็ได้วีซ่าท่องเที่ยวมา 10 ปี ยิ้มเลย แต่คราวนี้ฉันกำลังจะขอวีซ่านักเรียน ซึ่งมันจะยุ่งยากกับการเตรียมเอกสารมากขึ้น จึงต้องเตรียมตอบคำถามให้ดี 

                  เช้าวันนั้น...พ่อไปส่งฉันที่สถานีรถไฟวุฒากาศ ฉันรีบวิ่งขึ้นสถานี เพราะต้องการไปก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์ 1 ชั่วโมง แต่ปรากฎว่า รถไฟฟ้าเสีย! มีคนยืนรอตรงที่ซื้อตั๋วเกือบร้อยคน จะบ้าเหรอ!! สถานการณ์ดูวุ่นวายมาก ผู้คนต่างเร่งรีบและแสดงอาการไม่พอใจ นี่ฉันจะทำยังไงเนี้ย...ฉันใช้เวลาเป็นปีกว่าจะได้สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา กว่าจะได้ไปอเมริกาสักที มันจะพังลงวันนี้เหรอ ต้องนัดวันสัมภาษณ์ใหม่เหรอ ความคิดแย่ๆกับปัญหาต่างๆประดังเข้ามา แต่ฉันก็ฉีกความกลัวทิ้งและบอกกับตัวเองตรงนั้นว่า "ฉันจะต้องทำให้ถึงที่สุดก่อน" วันนี้คือวันของฉัน ตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจนั่งพี่วิน พอเดินลงมาใต้สถานี พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ทำท่ากระเสือกกระสนไม่ต่างจากฉัน กำลังต่อแถวรอขึ้นพี่วินอยู่ ฉันรอไม่ได้แล้ว ฉันจึงถามป้าที่ขายหมูปิ้งแถวนั้นว่ามีพี่วินให้ขึ้นอีกตรงจุดไหนบ้าง ป้าบอกว่าให้วิ่งลอดใต้ทางด่วนไปฝั่งโน้น จะมีพี่วินจอดอยู่ ภาพที่เห็นคือ ทางดินก่อสร้างกับเศษไม้กองพะเนินที่ดูเฉอะแฉะ(ฝนตกเมื่อคืน) เราต้องวิ่งผ่านตรงนั้นไปให้ได้ พอเริ่มออกตัวไปได้สักพัก ก็แอบคิดในใจว่า ทำไมไม่มีใครตามตรูมาเลยวะ ฉันวิ่งไปคนเดียว(ด้วยใจเปลี่ยวๆ)ด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่แคร์ว่าใครจะมอง ฉันเองก็ไม่มองใคร ในสายตามองหาแต่คนขับมอเตอไซค์ใส่เสื้อวิน

                พอฉันข้ามมาฝั่งนี้กลับพบว่า "ไม่มีรถวินเลยจ้า ป้าจ๋าา" ฉันยืนเหี่ยวๆพร้อมกับความรู้สึกว่าทำไมตัวเองสูงขึ้นมาก เพราะเศษดินติดส้นรองเท้านี่เอง แต่ฉันยังโชคดีมีผู้หญิงขายลูกชิ้นปิ้งอยู่แถวนั้น ช่วยฉันหารถและโบกรถให้ได้ 1 คัน ดีใจสุดๆไปเลย ฉันนั่งพี่วินไปได้สักพัก ขณะกำลังข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ลมพัดไหวเบาๆ บรรยากาศมันได้ น้ำตามันก็ไหลออกมาให้กับความรู้สึกที่มันแสนจะตื้นตันพร้อมกับโล่งใจที่ผ่านเช้านี้มาได้ (แต่จริงๆแล้วคือ หัวเข่าขูดกับประตูรถเก๋ง) พี่วินนำพาฉันมาจนถึงหน้าสถานฑูตสหรัฐก่อนเวลาสัมภาษณ์ 30 นาที ค่าบริการ 170 บาท ฉันให้พี่เค้าไป 200 เลย และฉันก็ผ่านด่านแรกมาได้ เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารของฉัน และฉันก็เข้าสู่เวลาแห่งการสัมภาษณ์กับผู้ชายชาวอเมริกันใส่เสื้อยืดสีฟ้า หน้าตาใจดีเหมือนเพื่อนพระเอกในหนังฝรั่ง

                     กงศุล: สวัสดีครับ

                     ฉัน: สวัสดีค่ะ พร้อมกับยื่นเอกสารส่งให้

                     กงศุล: ไปอเมริกานานไหม

                     ฉัน: ฉันสมัครเรียนภาษาไว้ 3 เดือน หลังจากนั้นฉันจะสมัครเรียนต่อปริญญาโท

                     กงศุล: เรียนต่อด้านไหน

                     ฉัน: ด้านผังเมือง (Urban Planning)

                     กงศุล: ใครเป็นสปอนเซอร์ให้คุณ

                     ฉัน: พี่สาว

                     กงศุล: พี่สาวคุณทำงานอะไร

                     ฉัน: Trading Company ประเทศสิงค์โปร (พร้อมกับยื่น Statement ให้)

                     กงศุล: อ่านเอกสาร...พิมพ์...ผมจะส่ง Passport ให้คุณ 2 วันหลังจากนี้ โชคดีครับ

                     ฉัน: ขอบคุณค่ะ

                ความรู้สึกตอนนั้นคือ ดีใจมาก ปลื้มใจ ภูมิใจ ฉันภูมิใจในตัวเอง ฉันทำดีที่สุดแล้ววันนี้ ฉันรวบรวมพลังความกล้าที่มีอยู่ ปลุกตัวเองให้มั่นใจ และยืนสัมภาษณ์(ด้วยขาที่สั่น)ด้วยความมุ่งมั่น ฉันกำลังจะได้ไปอเมริกาแล้วโว้ยยยย ไปหาประสบการณ์ชีวิตแปลกใหม่ ไปหาพี่มืด ไปหาเพื่อนใหม่ ไปหาหิมะ ไปหา New York Cheese cakeeee....บลาๆและ(ไปหาตัง) ฉันโทรบอกพี่สาวเป็นคนแรก บอกแม่และบอกแฟน ทั้งสามคนดีใจและต่างอวยพรให้ฉัน วันนั้นฉันยืนบนรถไฟฟ้า BTS ตลอดทางระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งๆที่มีที่นั่งว่างเต็มไปหมด ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างในหัวคิดอะไรมากมาย แต่มันช่างดีเหลือเกิน ความรู้สึกนั้น...

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉันก็ได้รับวีซ่า ประทับตรา 5 ปี

    .

    .

    แล้วของจริงมันก็เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่บัดนั้น...หึหึ


    Next Chapter<8 วันก่อนการเดินทาง> 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
อยากอ่านตอนต่อไปปแล้ววว