อาจารย์ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ซึ่งเคยนำนิสิตนักศึกษาประชาชนต่อต้าน
รัฐบาล จนต้องหนีเข้าป่า เมื่อ 40 กว่าปีก่อน
และต่อมาได้กลับมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา..
ทุกวันนี้ อาจารย์ในวัย 70 ปี..
.
.
ผมเข้ากันไม่ได้กับเศรษฐกิจฟองสบู่...
เข้าไม่ได้กับระบบที่แข่งขันเอารัดเอาเปรียบ
เพราะเราเชื่อเรื่องความสมถะสำรวม
เชื่อเรื่องแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เรารู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว
คิดอะไรไม่เหมือนเพื่อนพ้องคนรอบข้าง
เราไม่เคยพบกับการต้อนรับที่ดี
เราเข้ากับเขาไม่ได้
ผมรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงอย่างยิ่ง
กระทั่งนำไปสู่ชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว
ผมกับภรรยาได้แยกทางเดินกัน
เราไม่ได้โกรธเกลียดกัน
เราเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคู่ครองเป็นเพื่อน
ตอนนั้นผมเริ่มเข้าสู่วัย 50 กว่าแล้ว...
ผมถามตัวเองว่า..
จะยืนต้านกระแสหลักในสังคมแบบที่ผ่านมา
สะสมความเจ็บปวดขมขื่นต่อไป
หรือควรเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเสียใหม่
่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้
มีหนทางไหนบ้าง..
ที่เราไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้...
ไม่ต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่เราไม่เห็นด้วย
ผมได้ลงลึกสำรวจวิจารณ์ตัวเองอย่างยิ่ง
ในที่สุดก็ค้นพบว่ามีอะไรบางอย่าง
ไม่ถูกในวิธีคิดของผมเอง
1. ที่ผ่านมาผมยึดถือในการต่อสู้
และมองโลกเป็นความขัดแย้งมากเกินไป
ที่ทางธรรมะเขาเรียกว่า ทวินิยม (Dualism)
เห็นว่าทุกอย่างดำรงอยู่เป็นคู่
มีดี..มีชั่ว มีขาว..มีดำ
ไปยืนเลือกข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
ต่อสู้กันมากก็เหนื่อยมาก
ตัวผมเองทั้งถูกทำร้าย
และทำร้ายผู้อื่นมาอย่างต่อเนื่อง
2. ผมเริ่มมองเห็นว่าอะไรหลายๆ อย่าง
ที่ผมยึดถือ เป็นเรื่องที่ผมคิดไปเอง
เป็นอัตวิสัย ที่โลกเขายังไม่พร้อมจะเห็นด้วย
เราพยายามเอาตัวเองไปบังคับโลก
เมื่อไม่ได้ดังใจ ก็ผิดหวังเศร้าโศก
แล้วยังโดนเขาตอบโต้มาแรงๆ
.
.
เพราะฉะนั้น `เหตุแห่งทุกข์´
จึงอยู่ในอัตตาของเราเอง
ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอุดมคติ
หรืออุดมการณ์อะไรก็ตาม
การวิจารณ์ตัวเองในลักษณะนี้
ได้พาผมย้ายความคิดจากทางโลก
มาสู่ทางธรรมมากขึ้นแบบรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง
แต่นั่นยังไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเท่ากับ
ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นระยะนั้น
ประสบการณ์ดังกล่าวมีพลัง
มากกว่าเหตุผลและความคิดใดๆ
ความเจ็บปวด กับชีวิตมาก
ทำให้ใช้วิธีตัดตัวเองออกจากอดีตและอนาคต
ทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันขณะ
ซึ่งถ้าพูดในภาษาธรรม
เวลานี้ผมรู้แล้วว่ามันคือ...สมาธิ
แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคืออะไร..
รู้แต่ว่าสบายใจ โปร่งโล่งไปหมด
อยู่กับปัจจุบันขณะ
มันทำให้เราปลดแอกตัวเราออกจาก
ภาระทางจิต ที่เราแบกมาตลอดว่าเราเป็นใคร
เรามาจากไหน เคยผ่านอะไรมาบ้าง
ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ..
เราปลดออกหมด เรียกว่าปลดแอกจากอัตตา
ในตอนแรก...
ผมทำสิ่งนี้ไปเพื่อหาทางดับทุกข์ด้วยตัวเอง
โดยไม่มีทฤษฎีอะไรชี้นำ
แต่ว่าทำแล้วรู้สึกว่ามันช่วยให้อยู่รอด
ในช่วงที่เราอาจจะอยู่ไม่รอด...
ก็เลยยึดไว้เป็นแนวทาง
พอไม่คิดว่าตัวเองเป็นใคร
ความรู้สึกทุกข์ร้อนมันหายไปมาก
ข้อแรกไม่เดือดร้อนว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร
ข้อสอง...ไม่มีความเห็นว่าโลกและชีวิต
ควรจะเป็นอย่างไร
เราไม่มีข้อเรียกร้องทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
เช่นเดียวกับการที่เราไม่เอาอดีตมากลุ้ม
และเอาอนาคตมากังวล
มันทำให้เราไม่มีสิ่งที่ผิดหวัง ไม่มีสิ่งที่เสียใจ
ผมทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่
ทีแรกก็เหมือนกับหลอกตัวเอง
ด้วยการปิดกั้นความทุกข์โศก
ไม่ให้มันเข้ามาในห้วงนึก
แต่พอทำไปมากขึ้น..
ปรากฏว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิต
ขึ้นมาโดยไม่ได้คาดฝัน
คือตื่นขึ้นมาวันหนึ่งผมรู้สึกมีความสุข
อย่างไม่มีเหตุมีผล
ผมรู้สึกได้ว่าความสุขมันมาจากข้างใน
มันอยู่ในตัวผม
เป็นความปลื้มปีติอะไรบางอย่าง
ที่ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย
เรื่องราวทุกข์โศกที่เคยมีมา
ดูเหมือนจะหายไปหมด
จากนั้นความรู้สึกที่ผมมีต่อโลกรอบๆ ตัว
ก็เปลี่ยนไปด้วย
ผมเริ่มไปนับญาติกับต้นไม้ จิ้งจก นก กระรอก
ผมพูด กับพวกเขาเหมือนเป็นคนด้วยกัน
ทำร้ายเขาแบบเดิมๆ ไม่ได้
กระทั่งมดผมก็ไม่ฆ่า ..
จิ้งจกตกไป ในโถส้วมก็คอยช่วย
มดมาขึ้นชามอาหารที่ผมให้หมา
ผมต้องเคาะออก ไม่เอาน้ำราดลงไป
ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
มันรู้สึกขึ้นมาเองว่าไม่อยากทำร้ายชีวิตใดๆ
ผมแปลกใจมาก ..
เพราะว่าเดิมเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเยอะ
เป็นคนที่ทำบาปมาเยอะมาก
วันดีคืนดีพบตัวเอง มีจิตใจแบบนี้
มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร
แล้วที่สำคัญก็คือในความเบิกบานจากข้างในนี้
ผมเลิกรู้สึกพ่ายแพ้ขมขื่นกับชีวิตโดยสิ้นเชิง
ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรน่าสงสาร
ไม่ทุกข์ร้อนที่เคยแพ้สงครามปฏิวัติ
หรือมีปัญหาส่วนตัวอะไรทั้งสิ้น
เป็นครั้งแรก...ที่ผมมองอดีตของตัวเอง
ได้ทุกเรื่องด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมค้นพบว่า...
ชีวิตทุกข์สุขขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว
และบ่อยครั้ง เรามักเอาความคิดสารพัด
ไปปรุงแต่งมันจนรกรุงรังไปหมด
กระทั่งหาแก่นแท้ไม่เจอ
บางคนยึดติดเงื่อนไขภายนอก
โดยเฉพาะเงื่อนไขทางวัตถุ
และการชื่นชมของสังคม
ก็หลับหูหลับตาหาแต่วัตถุ
และการยอมรับของคนอื่น
บางคนอย่างผมไม่ยึดถือวัตถุมาก
เท่ากับยึดติดในอุดมคติต่างๆ
ก็ทำให้เกิดอารมณ์ทางลบสูงมาก
เราจะต้านทุกอย่าง ที่ไม่เป็นไปตามคิด
ผูกตัวเองไว้กับตัวความคิด
แล้วหลงความคิด
จิตใจก็มีแต่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน
ทะเลาะเบาะแว้ง ทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา
ท้ายที่สุดแล้ว...
ผมคิดว่าชีวิตที่จะให้ความสงบแก่คุณได้
คือชีวิตที่ไม่มีจุดหมายกดทับ
ไม่มีอุดมคติเป็นเครื่องร้อยรัด
แต่เป็นชีวิตที่มีมรรควิถี
ผมเคยเขียนว่า...แต่ละก้าวที่คุณก้าวไป
มันสำคัญกว่าจุดหมาย
คุณเป็นหนึ่งเดียวกับ ก้าวนั้นหรือเปล่า
ถ้าคุณเป็นหนึ่งเดียวกับก้าวนั้น
วันนี้คุณพบตัวเองแล้ว
แต่ละนาทีที่ผ่านไป ก็ครบถ้วนแล้ว
แต่ถ้าคุณขัดแย้งกับปัจจุบันขณะ
ของคุณอยู่ตลอดเวลา
ตัวทำอย่างหนึ่ง ใจอยากทำอีกอย่างหนึ่ง
คุณจะมีแต่ความทุกข์
...นั่นคือชีวิตของคนในโลกปัจจุบัน
Cr : Thai Tribune
.
.
เราอ่านพบเรื่องราวของ อาจารย์เสกสรรค์
ในกลุ่ม line เพื่อนเก่า วันนี้
ชอบมากๆ เลยขอนำมาแบ่งปันกัน
เราล้วนเคยทุกข์ตามที่อาจารย์เล่ามา
เราคงแสวงหาทางพ้นทุกข์ตามแนววิถี
บ้างคงพบคำตอบแล้ว
บ้างยังคงแสวงหามรรคาแห่งธรรมกันต่อไป
เราเองก็เริ่มรู้สึกว่า
เราอย่าเบียดเบียนกายเนื้อให้ทุกข์เลย
เราอย่าทำจิตใจให้หม่นหมองเลย
ให้หมั่นดูแลกายใจให้สดชื่นเบิกบาน
ยามใดมีสิ่งมากระทบให้เศร้าหมอง
ก็รู้ทันไวหน่อย วางได้เร็วขึ้น
และหัดอยู่กับตัวเอง เข้าไว้
อย่าส่งจิตออกนอกบ่อยเกินไป
และด้วยจิตที่รักสัตว์น้อยใหญ่ กลัวบาป
ก็จะทำแบบอาจารย์จริงๆ
ไม่ทำร้ายแม้มด แมลงเล็กๆ
หากพลาดพลั้ง ก็ขอขมาต่อกัน
?????
Cr ภาพ : llnnln
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in