“หยก...”
ผมส่งเสียงเรียกคนตรงหน้า ทว่าไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิด...
“ไอ้หยก” ในเมื่อเรียกเฉยๆ ไม่ได้ยิน ใช้เท้าเขี่ยแม่ง
“อือ…” มันขยับตัวอย่างงุ่มง่าม ก่อนจะค่อยๆ ยกหัว เงยหน้าขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เสียงโอดโอยอย่างไม่ปิดบังและท่าทางกุมต้นคอบอกเป็นนัยว่ามันน่าจะนั่งท่านั้นมาสักพักใหญ่แล้ว
“หายหัวไปไหนมาทั้งวัน” ทั้งที่ตั้งใจว่าจะถามไถ่ถึงสาเหตุที่มันมานั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องผมด้วยสภาพดูไม่จืด แต่ปากเจ้ากรรมกลับโพล่งออกมาห้วนๆ แบบนั้นเสียได้
“มึงสิหายหัวไปไหนมา หนาวก็หนาว ยุงก็เยอะ” มันบ่นกลับกระปอดกระแปด ยันแขนกับประตู พยายามดันร่างขึ้นอย่างงุ่มง่ามแต่กลับไม่เป็นผล สุดท้ายก็หล่นลงไปกองอยู่กับพื้นตามเดิม ผมย่อตัวลงไปดูอาการมัน สภาพน่าสังเวชไม่ต่างจากเมื่อวานเลยสักนิด
“เป็นอะ-- อื้อหือ! นี่มึงไปแดกเหล้ามาเหรอ!?”
มันไม่ตอบ กลับช้อนตามองผมพลางแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย กลิ่นหึ่งขนาดนี้ แถมหน้ายังแดงแจ๋อย่างกับตู้ดับเพลิงข้างๆ ไม่ต้องเสียเวลาถามให้มากความเลยจริงๆ
“เปิดประตูสิ”
“กูไม่ให้มึงเข้าห้อง”
“อย่าขี้งก”
ถึงจะอยากด่ามันแค่ไหน แต่สภาพผมเองในตอนนี้ก็แทบจะยืนไม่ไหวเหมือนกัน อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว มัวเถียงกันอยู่แบบนี้ยังไงก็ไม่จบแน่ๆ
“หลบ” ผมถอนหายใจก่อนจะสั่งเสียงห้วน “มึงขวางประตูอยู่”
ไอ้หยกช้อนตามองปริบๆ ก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาด้านหน้า
“อุ้มหน่อย”
“อุ้มพ่อมึงสิ ถอย” ผมเสียบลูกกุญแจเข้ากับลูกบิด ขณะเดียวกันก็ใช้ขาดันร่างที่นั่งชันเข่าออกไปให้พ้นช่องประตู แล้วค่อยแทรกตัวเข้าไปด้านในช่องที่เปิดได้เพียงแง้มๆ
“พี่ภูอย่าใจร้ายยย” ไอ้หยกร้องเสียงยานคาง ยืดตัวมากอดขาข้างที่ยังอยู่ด้านนอกของผมไว้แน่น สะบัดยังไงก็ไม่ยอมหลุด สุดท้ายก็ต้องถูลู่ถูกังลากมันเข้ามาในห้องด้วย
“อย่าแม้แต่จะคิด” ผมรั้งคอเสื้อด้านหลังไอ้ตัวที่ตั้งท่าจะคลานขึ้นฟูกนอนผมให้หยุดอยู่กับที่
“เหม็นโฉ่ขนาดนี้ มึงไปอาบน้ำก่อน”
แน่ละว่ามันยอมที่ไหน สายตากึ่งอ้อนกึ่งประท้วงขนาดนั้น แต่บอกได้เลยว่า--
“ไม่”
“คำก็ไม่ สองคำก็ไม่”
“ถ้ามึงไม่อาบก็ไม่ต้องนอนบนฟูก”
“พูดเป็นแต่คำว่า ‘ไม่’ ตอนเด็กแม่ไม่ให้ของเล่นเหรอ” มันว่าพลางเปลี่ยนจากท่าคลานเข่ามานอนแผ่หราหน้าตาเฉย ผมแจกมะเหงกมันไปทีด้วยความหมั่นไส้
“ลามปาม”
“ง่วง นอนละ” มันหลับตาพริ้ม ไม่รู้ว่าเอาจริงหรือแค่แหย่เล่นอย่างเคย แต่จะยังไงก็คงต้องช่างหัวมันไปก่อน ถ้าผมไม่รีบไปอาบน้ำตอนนี้ ไอ้ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวๆ ร้อนๆ นี่อาจจะกลายไปเป็นไข้สูงได้--
“ฮะ- เฮ้ยย!!” พอกำลังจะเดินไปห้องน้ำ จู่ๆ ก็โดนไอ้เด็กสามขวบที่เพิ่งพูดว่าจะนอนอยู่หยกๆ กระโจนเข้าใส่ ขาที่เสียหลักก็พาร่างเซล้มลงอย่างจังงัง รู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นผมที่ลงมานอนแอ้งแม้งกับพื้น มีไอ้ตัวการนั่งคร่อมอยู่ด้านบน
“เล่นอะไรของมึงเนี่ย” ผมทำเสียงดุ และคิดว่าหน้าก็คงดุไม่ต่างจากเสียง แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด กลับกัน มันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โน้มตัวลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นรดบนใบหน้า
“จับมึงข่มขืน”
“พ่อมึงสิ”
“ไม่เอาอะ ป๊าไม่หล่อ” ไอ้นี่...
“ตลกตาย”
“สงสารจัง เผาเมื่อไหร่” ไม่รู้ว่าผมควรจะขำมุกเหี้ยๆ ของมันดีหรือปั้นหน้ายักษ์ต่อดี
“ไอ้เวร ลุก”
“ถ้าไม่ล่ะ” มันยังคงนั่งยิ้มค้างอยู่ท่าเดิม หน้าแดงตาเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ เห็นสภาพแล้วผมก็ถือสาการเล่นพิเรนทร์ของมันไม่ลง อาจจะเพราะชินจนปลงตกแล้วด้วย แต่ดูแล้วท่าจะยังเมาไม่สร่าง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมเองก็คงเมาพิษไข้ไม่ต่างกัน
ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง มันตกใจผละออกห่าง แต่การที่ยังคงนั่งอยู่บนหน้าตักของผมก็ไม่ได้ช่วยให้มันหนีไปไหนได้ไกลนัก ใบหน้าของเราจรดชิดใกล้ ผมยกยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“กูจะจับมึงข่มขืนแทน”
หยกเบิกตาโพลง มันคงไม่คาดคิดว่าผมจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่พนันได้เลยว่ามันไม่มีทางประหลาดใจไปกว่าตัวผมเองแน่
มันเม้มปากแน่น ก่อนจะลุกพรวดไปคว้าผ้าเช็ดตัวจากที่เก่าแล้วหนีเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
เออ ถ้ารู้ว่าจะได้ผล รู้งี้ยอมบากหน้าทำตั้งแต่แรกเสียก็ดี
ระหว่างรอมันอาบน้ำผมซัดพาราไปสองเม็ด ยาแก้แพ้อีกหนึ่ง โปะเจลลดไข้กันไว้อีกหนึ่ง ลองทำขนาดนี้ถ้ายังไม่หายภายในเช้าวันรุ่งขึ้นก็เตรียมตัวหามตัวเองส่งโรงพยาบาลได้เลย
ผมเอนตัวลงนอน กะว่าจะอ่านหนังสือรอแต่สมองทุกส่วนปฏิเสธการรับข้อมูลทุกประเภท สุดท้ายเลยได้แต่นอนฟังเสียงฝักบัวอยู่เฉยๆ แม้จะไม่ได้คิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราว แต่ลึกๆ แล้วผมรู้ว่าตัวเองกำลังรอคอยบางสิ่งอย่างเงียบเชียบ ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ราวกับสติสัมปชัญญะเองก็ปิดกั้นไม่ยอมให้นึกถึง อาจเพราะผมกำลังหวาดกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยกับเมื่อวันก่อน
ในที่สุดผมก็พ่ายให้กับพิษไข้
พอตื่นขึ้นมาเสียงฝักบัวก็เงียบไปแล้ว
ประตูห้องน้ำยังคงปิดสนิท แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากข้างใน เป็นไปได้ว่าหยกจะยังคงอยู่ในห้องน้ำ และการที่มันหายไปนานขนาดนี้ทำเอาผมใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความเงียบงันเคว้งคว้างกำลังตั้งท่าคุกคาม ราวกับว่าหากส่งเสียงดังแม้เพียงปลายเข็มกระทบพื้นก็อาจทำให้โลกเสียสมดุลได้ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว อยากจะเอื้อมไปหยิบนาฬิกาแต่ร่างกายไม่ยอมขยับอย่างใจนึก อยากจะส่งเสียงแต่คอกลับแห้งเป็นผง ภาพเหตุการณ์เมื่อวันก่อนย้อนกลับมาฉายวนซ้ำในหัว
สัมผัสของร่างสั่นเทิ้มในอ้อมแขนยังคงแจ่มชัด ราวกับว่ากำลังโอบกอดมันอยู่ในจินตนาการ -- แต่เมื่อจิตสำนึกไล่ทันความรู้สึก ก็นึกขึ้นได้ว่าความคิดเพี้ยนๆ นี่อาจเป็นเพราะกำลังโดนอาการป่วยไข้ที่ยังไม่ยอมรามือเล่นงานอยู่แน่ๆ
โชคดีที่ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ถูกปลดปล่อยจากมนต์สะกดแห่งความเงียบด้วยการจามออกมาอย่างแรง
นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มกว่า
ผมเดินโซซัดโซเซไปเคาะประตูห้องน้ำ ใจหนึ่งคิดว่ามันอาจจะแผ่นแน่บกลับไปแล้ว อีกใจก็ภาวนาให้มันกำลังแช่น้ำเพลิน-- ก็ว่าไปนั่น หอราคาถูกแบบนี้มีอ่างอาบน้ำเสียที่ไหน
“ไอ้หยก” ผมเคาะเรียก อันที่จริงบอกว่าใช้ปลายนิ้วแตะประตูเบาๆ น่าจะใกล้เคียงกว่า
“...”
แน่ล่ะ ถ้ามันตอบผมในทันทีสิถึงจะน่าแปลกใจ
“หยก”
“ฮื่ออ… วะ- ว่าไง...” เสียงครางตอบดังสลับกับเสียงหอบหายใจสั่นเครือ...
ชัดเจนเลยไอ้เหี้ย
ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงผุดมาจากไหน ผมทุบประตูดังปัง มันสะดุ้งร้องเสียงหลง
“มึงเห็นห้องกูเป็นห้องน้ำสาธารณะหรือไง ไปชักที่อื่น!”
“อืออ… ยะ- อย่า... ขี้งกสิ”
โว้ยยย
“เปิด”
“เปิดให้โง่”
“กูบอกให้เปิด”
“ภู…” มันกระซิบเรียกเสียงกระเส่า เงาที่ทาบทับกับฝ่ามือของผมซึ่งยังวางค้างอยู่บนบานประตูบอกเป็นนัยให้รู้ว่ามันกำลังยืนพิงอยู่อีกฝั่ง พอคิดว่ามันจงใจแนบหน้าชิดช่องประตูเพื่อให้ผมได้ยินเสียงครางอย่างชัดเจนแล้ว ประสาทสัมผัสช่วงล่างก็เหมือนจะตื่นตัวขึ้นมาเพราะกระแสไฟฟ้าที่แล่นผ่านจากสมองลงไปจนสัมผัสได้ถึงส่วนปลายที่กำลังกระตุกเพราะโดนปลุกเร้า...
หมายถึงตีนน่ะ
“อืมม… ภู…”
“อย่าเรียกชื่อกูด้วยเสียงแบบนั้น”
แล้วผมก็คิดได้ว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกไปเลย โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นมันแล้ว--
“แบบไหนเหรอ ภู...”
นั่นไง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มันยังคงครางชื่อผมออกมาไม่หยุด แต่ดูเหมือนคนที่รู้สึกกระดากอายกลับกลายเป็นผมแทน
“มึงนี่มัน…”
ผมพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกที่อยากจะระเบิดออกมาเอาไว้ ถึงจะรู้ว่าปกติมันชอบแกล้งแหย่หรือเล่นพิเรนทร์ขนาดไหน แต่ครั้งนี้มันออกจะเกินไปหน่อย
“ไอ้หยก ถ้ามึงไม่เปิ--”
“จะทำไมเหรอ”
ประตูเปิดออก
มันยืนอยู่ตรงหน้า
เสื้อผ้าของผมที่มันขโมยไปใส่ตั้งแต่เช้ายังอยู่ครบทุกชิ้นในสภาพสมบูรณ์ ผ้าเช็ดตัวเปียกชื้นพาดอยู่บนบ่า หยดน้ำร่วงหล่นจากปลายผมที่ลู่ลงแนบกับใบหน้าที่ตอนนี้เปลี่ยนกลับเป็นสีขาวซีดตามเดิม
ไอ้ห่านี่...
“เอ้า ยืนขวางทางอยู่ได้” มันเบียดแทรกตัวผ่านผมที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูออกไปหน้าตาเฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไอ้…
“มึงออกไป” ผมสั่งเสียงแข็ง ชี้มือไปที่ประตู
มันหันกลับมามองด้วยรอยยิ้มที่ราวกับจะบอกว่า ‘กูรู้อยู่แล้วว่ามึงจะพูดแบบนี้’
ผมเกลียดรอยยิ้มแบบนั้นของมันจริงๆ
“ออกไป” ผมเอ่ยซ้ำ พยายามข่มอารมณ์ภายในที่กำลังสั่นไหวราวกับคลื่นยักษ์ใต้น้ำ
หยกมองหน้าผมนิ่ง กระพริบตาปริบ
“เฮ้อ…ไม่สนุกเลย” มันแสร้งถอนหายใจอย่างผิดหวังพลางยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ เดินดุ่มไปที่ประตูก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม รอยยิ้มยังคงฉายชัดบนใบหน้า ทว่าสายตาคบกริบลดหรี่ลง นิ่งงัน
“ไปก็ได้”
ท่ามกลางคลื่นพายุภายใน ผมรู้สึกว่าได้ยินเสียงร้องเรียกบอกให้ดึงรั้งมันไว้ แต่เสียงนั้นช่างแผ่วเบา เหนื่อยอ่อน ไร้เรี่ยวแรง
ผมก้าวฉับไปคว้าข้อมือมันไว้
ขณะที่มืออีกข้างดึงประตูเปิด
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ มึ--”
อะไรก็ตามที่มันอยากจะพูดต่อหายลับไปหลังบานประตูที่ปิดโครม คงไม่พ้นการประท้วงไร้สาระที่ผมไม่อยากรับรู้ตามเคย
ผมลากเท้ากลับมาทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างไม่สบอารมณ์ เสียเวลาชะมัด ผมพลาดเองที่นึกกังวลว่ามันจะเป็นอะไรไป เพราะแบบนี้ถึงเกลียดการคิดไปเอง
‘ภู…’
เสียงของมันยังคงดังก้องอยู่ในหัว
โว้ยยย
ผมดึงหมอนออกมาวางกดทับกกหูเอาไว้ ราวกับว่ามันจะช่วยปิดกั้นเสียงจากข้างในได้
ไร้สาระจริงๆ
คืนนั้นผมฝันไปว่ากำลังมีอะไรกับแฟนเก่า เป็นการร่วมรักที่รุนแรงและบ้าคลั่ง ใบหน้าของเธอซุกซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมยาวสีอ่อนจนยากที่จะมองเห็นว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่เราทั้งคู่พอใจกับการผูกสัมพันธ์ครั้งนั้นไม่น้อย
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกอยากอาเจียน แต่แทนที่จะคิดถึงการวิ่งพรวดเข้าห้องน้ำเป็นอันดับแรก กลับนึกอยากจะหาสว่านมาเจาะกระโหลกแล้วเลาะเอาทรงจำนั้นออกไปให้เร็วที่สุด ปัญหาไม่ใช่ความละอายที่ฝันถึงเรื่องอย่างว่า ยังไงผมก็ยังเป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง
และเปล่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน
ปัญหาคือชื่อของผู้หญิงในฝันคนนั้น-- ชื่อที่ผมครางเรียกซ้ำไปซ้ำมา
คือหยก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in