เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกกว่าครึ่ง มันถึงยอมโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำในที่สุด
ผมลดหนังสือในมือลง หักห้ามใจไม่ให้โพล่งออกไปว่า ‘นึกว่าตายไปแล้ว’ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเปราะบางกว่าที่คิด และผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
“เสื้อผ้าอยู่ตรงโน้น” ผมชี้มือไปยังกองผ้าที่วางพับไว้ตรงหน้าห้องน้ำ มันใช้นิ้วคีบเสื้อยืดย้วยๆ สีหม่นขึ้นมาดมฟุดฟิด ก่อนจะย่นจมูกอย่างเกินจริง
“ห้ามบ่น มีเท่านั้นแหละ กูเพิ่งขนผ้าไปซัก ตากยังไม่แห้ง” ผมชิงดักคอก่อนที่มันจะทันได้อ้าปาก มันเบ้หน้า หอบผ้าเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูลงเงียบผิดคาด
สักพักมันก็เดินออกมาในชุดนอนของผม ผ้าเช็ดตัวพาดบนบ่า ผ้าเปียกขยุ้มอยู่ในมือ
“ไม้แขวนอยู่ในตู้ ระเบียงอยู่โน่น ถ้าจะซักก็ลงไปชั้นล่าง เหรียญสิบสองเหรียญ”
มันไม่ตอบว่าอะไร เดินไปหยิบไม้แขวน ตากผ้า แล้วก็กลับมานั่งจุมปุกข้างฟูกที่ผมนอนอยู่อย่างว่าง่ายผิดวิสัย
ผมลอบมองมันจากหน้ากระดาษ รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านร่างเมื่อพบดวงตาเรียวเล็กแดงก่ำจ้องตอบกลับมาอย่างเงียบเชียบ
“อะไร” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง พับหนังสือวางลงข้างๆ
มันจ้องผมค้างอย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี แล้วก็หันกลับมามองอีกที
“มีอะไรก็ว่ามา-- ฮะ- เฮ้ยย!” ผมร้องลั่น อยู่ๆ ก็ถอดเสื้อหน้าตาเฉย อะไรของมันเนี่ย
“มึงบอกว่าไม่อยากเป็นหวัด เอาไป” มันยื่นเสื้อมาข้างหน้าพลางลดสายตาลงต่ำเป็นเชิงให้ผมมองตาม
ตอนนั้นเองถึงได้เข้าใจ
เพราะเพิ่งขนเสื้อผ้าทั้งหมดไปซัก ในตู้จึงเหลือแค่ชุดนอนเก่าๆ อยู่เพียงชุดเดียว ปัญหาคือชุดที่ผมใส่นอนตอนแรกดันเปียกชื้นเพราะไอ้ตัวปัญหาแถวนี้เลยจำต้องถอดออก ถ้าผมเปลี่ยนใส่ชุดนั่น มันก็คงต้องนอนล่อนจ้อนทั้งคืน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจยกชุดให้มันแทน
ช่วงนี้อากาศตอนกลางคืนโดยเฉพาะหลังฝนตกค่อนข้างหนาวเย็น ทั้งเครื่องปรับอากาศและพัดลมเลยเข้าโหมดจำศีลไปเรียบร้อย และแม้จะสัมผัสได้ถึงความชื้นในอากาศจากช่องหน้าต่างที่จำต้องเปิดแง้มไว้ให้อากาศได้ถ่ายเท แต่ในห้องก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวนอนสักวันยังไงก็ไม่ตายหรอก
แต่ว่าก็ว่า คิดจะสละเสื้อที่ผมอุตส่าห์ตัดใจยกให้นี่... ยังไงก็ไม่เหมือนไอ้หยกที่ผมรู้จักสักนิด
“ใส่ไปเถอะ กูไม่อยากเก็บศพใคร”
พอดันมือขาวซีดนั่นกลับไป มันก็ดันกลับมาอย่างไม่ลดละ ไอ้นี่…
“ผมก็ยังเช็ดไม่แห้ง มึงอยากเป็นปอดบวมตายหรือยังไง”
“ได้ก็ดีสิ”
“ห้องกูไม่ใช่ป่อเต็กตึ๊ง อยากตายก็ไปที่อื่--”
เวรแล้วไง…
ยังไม่ทันได้พูดจบ อยู่ๆ ไอ้หยกมันก็นิ่งไป มือหยุดชะงักกลางอากาศ ดวงตาเบิ่งค้าง หยาดน้ำใสเอ่อล้นขอบตาบวมแดง
“มึง กูไม่ได้--”
“ช่างเถอะ” มันตัดบท สูดลมหายใจเข้าลึก วางเสื้อไว้กับฟูกแล้วยันตัวขึ้น ทำท่าจะลุกหนี
ผมคว้ามือเรียวข้างนั้นไว้ได้ทันก่อนที่มันจะขยับไปไหน
เป็นการกระทำที่สร้างความประหลาดใจให้ทั้งมัน และตัวผมเอง…
“นั่งลง” ผมสั่ง ข้างในรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อเห็นมันเสหน้าหนี หลุบตาลงต่ำ แต่กลับยอมทำตามอย่างว่าง่าย
ผมลุกขึ้นไปหยิบไดร์เป่าผมที่ไม่ได้ใช้งานมานานนับปี น่าแปลกที่ยังใช้งานได้ดีอยู่ ลมที่พัดออกมาจากปากกระบอกร้อนพอสมควร แต่ไม่ร้อนจนเกินไป ผมย้ายไปนั่งชันเข่าด้านหลังมัน มือข้างหนึ่งประคองส่ายปากไดร์เพื่อไม่ให้ลมร้อนแผดเผาศีรษะตรงหน้า อีกมือขยี้ผมสีอ่อนเส้นเล็กอย่างเบามือ
เราต่างไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาพักใหญ่ ผมเดาเอาว่ามันคงกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาอะไรก็ตามที่กำลังกวนใจอยู่ ถึงจะอยากรู้แต่ก็ไม่อยากก้าวก่าย ถ้ามันอยากพูด และหรือสบายใจที่จะพูด ก็คงพูดออกมาเอง ภาพรอยนิ้วมือและรอยเล็บบนต้นคอขาวยังคงติดตาผมอยู่ ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ามันไปมีเรื่องชกตีกับใคร หรือว่าโดนทำร้ายร่างกายมา หรืออย่างร้าย--
ผมหยุดความคิดตัวเองไว้แค่นั้น
ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรต่อ การวาดภาพเหตุการณ์ที่ไม่ได้ประสบกับตัวเอง ถ้าไม่ใช่ดีกว่า ก็แย่กว่าความเป็นจริงเสมอ ฟังจากปากมันเองคงดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเก็บมาใส่ใจอยู่ดี
“เสร็จแล้ว”
“นึกว่าจะไดร์ไปจนถึงชาติหน้า” นึกว่าจะไม่ได้ยินคำพูดประชดประชันของมันแล้วเสียอีก
ผมยีหัวทุยตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว ถอดปลั๊กไดร์แล้วเก็บคืนที่ ก่อนจะกลับไปนอนแผ่บนฟูกที่วางชิดหัวมุมผนังใต้หน้าต่างตามเดิม
“เขยิบซิ” มันย้ายตัวขึ้นมาบนฟูก ใช้ขาดันร่างผมเข้าชิดกำแพง แถมยังแย่งผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวไปครองอีกต่างหาก ได้ทีแล้วเอาใหญ่ ไอ้ลูกแมวหน้าหงอเมื่อกี้หายไปไหนแล้ววะ...
พอหันไปกะว่าจะด่ามันสักที ก็พบว่าดวงตาที่ดูง่วงงุนแต่กลับแฝงไปด้วยแววแข็งกร้าวจ้องกลับมาในระยะที่ห่างกันแค่คืบ ระบบประสาทอัตโนมัติสั่งการให้ถอยหนี แต่ด้วยพื้นที่ที่มีจำกัดทำให้ผมขยับไปไหนไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แค่พลิกตัวนอนหงาย ปิดเปลือกตา ตัดสัมผัสการรับรู้ไปหนึ่งทาง
“ขมวดคิ้วเป็นปมขนาดนั้นเขาว่าจะแก่เร็วนะ” ทีงี้ล่ะทำมาพูดดี…
“ไม่ใช่เรื่องของมึ--”
“จะไม่ถามจริงๆ เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หา?” ผมหันขวับไปมองคนพูด ดวงตาแดงก่ำยังคงอยู่ตรงนั้น เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็ราวกับจะไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
มันมองผมนิ่งๆ แต่ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไรก็ชิงตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ช่างเถอะ เมื่อกี้อ่านอะไรอยู่”
อะไรของมัน…
ผมถอนหายใจ กลับไปนอนหลับตาแน่นิ่งตามเดิม
“ 'The Yellow Wallpaper and Other Stories' … ตัวเท่าควายแต่อ่านนิยายเฟมินิสต์”
ไอ้นี่...
“เรื่องเกี่ยวกับอะไรน่ะ”
“เรื่องของกู”
มันจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนผมหัวเราะชอบใจที่กวนประสาทมันได้เสียที
“ถามจริง”
“ผู้หญิงที่สติวิปลาสเพราะหมอประจำตัว aka. สามี พยายามรักษาอาการซึมเศร้าด้วยการจับขังในห้องที่แปะวอลล์เปเปอร์สีเหลืองน่าขนลุก” ผมตอบไปส่งๆ แต่ได้ยินเสียงคนข้างๆ หลุดหัวเราะออกมา
“คนอย่างมึงชอบเรื่องแบบนี้เหรอเนี่ย”
“อ่านเพราะต้องอ่านต่างหาก แต่ก็เขียนได้ดี”
“แล้วยังไง สุดท้ายหายไหม”
“ขังตัวอยู่ในห้องที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเป็นเดือน แถมโดนบังคับให้ ‘พัก’ อยู่เฉยๆ ต้องแอบเขียนไดอารี่เพราะพูดในสิ่งที่คิดให้ใครฟังไม่ได้ -- คิดว่าไงล่ะ”
“สติแตกชัวร์”
“ไม่แตกธรรมดาด้วย…”
“อึ๋ย” น้ำเสียงของมันแฝงแววขบขันอย่างเคย ได้ยินแล้วค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ความเงียบโรยตัวเข้ามาช้าๆ แต่บรรยากาศไม่ได้น่าอึดอัดดังเช่นก่อนหน้านี้ มีเพียงเสียงลมที่พัดลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาเป็นระลอก นานๆ ทีถึงจะมีเสียงพูดคุยจอแจของบรรดานักท่องราตรี เสียงล้อรถบดถนน และเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มจากด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้าง
เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะผล็อยหลับไป คือเสียงกระซิบที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
‘Muchas gracias.’
คืนนั้นผมฝันไปว่าโดนขังอยู่ในห้องปิดตายที่รายล้อมไปด้วยวอลล์เปเปอร์สีเหลืองชวนขนพองสยองเกล้า อากาศเย็นจัดราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวสักเท่าไหร่
เพราะในอ้อมแขนของผม มีลูกแมวตัวหนึ่งนอนขดเป็นก้อนกลมให้ความอบอุ่นกับผมอยู่ทั้งคืน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in