เราชอบโปสเตอร์เวอร์ชั่นนี้ (ของ Sundance) ทำสวยดี
CAUTION: เราตั้งใจเขียนให้คนดูจบแล้วมาอ่าน *มีสปอย*
ว่าด้วยเรื่องสัพเพเหระ
- โรง SF โฆษณายาวนานม๊ากกกกกก - ดูจนเหนื่อยอะ หลังเพลงสรรเสริญจบยังมีโฆษณาแฝงในรูปแบบคำเตือนในโรงหนังพร้อมสปอนเซอร์ - แอพส้มเตือนให้ปิดมือถือเลิกแชทเลิกช้อป ดิจิตอลซาวด์เช็คโดยเสียงรถกระบะดริฟต์ เป็นต้น
- เล่าให้ฟังเฉยๆ ว่าโรงนี้มีคนยืนให้เพลงสรรเสริญ 1 คนถ้วน
- โควิดระบาดมา 2 ปี ค่าตั๋ววันนี้ 240 THB ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำยัง 300 THB เท่าเดิม - มาตรการในตอนนี้ให้นั่ง2ที่เว้น1ที่ เว้นระยะห่าง เลยเป็นเหตุผลที่ตั๋วแพงขึ้น?
FYI: ก่อนโควิดประมาณปี 2019 ค่าตั๋วไม่เกินสองร้อย ตอนนี้โรงเฮ้าส์น่าจะยังไม่เกินแต่โรงนายทุนใหญ่เกินหมดแล้ว
ภาพรวม
- ชื่อเรื่อง - ชื่อภาษาอังกฤษเมื่อทราบความหมายจากในเรื่องแล้วคิดว่าเท่มาก เผื่อมีคนไม่ทราบ One for the road เป็นชื่อค็อกเทล แก้วสุดท้ายก่อนจาก(กลับบ้าน) มีความผูกเรื่อง กิมมิคคิดมาอย่างดี / ส่วนชื่อภาษาไทย วันสุดท้าย..ก่อนบ่ายเธอ ก็เข้าใจว่าคงเป็นธรรมเนียมการตั้งชื่ออะเนอะ เก็บสารมาครบเสร็จสรรพ สปอยก่อนตลอด ไม่มีการฝากให้ทางบ้านไปคิดต่อใดๆ ทั้งสิ้น
- หนังหว่อง(ในฐานะอำนวยการสร้าง) แต่ไม่รู้สึกหว่องขนาดนั้น - หมายถึงว่าไม่ง่วงและไม่งง555555555555 ไม่เหงาด้วย แต่เรายังไม่เคยดูหนังหว่องแล้วรู้สึกเหงาด้วยอะนะ ออกแนว existential crisis ซะมากกว่า เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน etc.
- การกระทำการหว่อง(ไปเอาคำนี้มาจากไหนไม่ทราบเหมือนกัน) ที่สัมผัสได้ คือ คนเล็กในเมืองใหญ่, การต่อสู้ของปัจเจกในโลกทุนนิยม, เกิดมาไร้ค่าไร้ความหมายต่อคนทั้งโลก แต่มีความหมายในจังหวะใดจังหวะนึงของใครบางคน, บทและเนื้อเรื่องที่ผูกกันไปมาอย่างกลมเกลียว, แสงสีคุมโทนและภาพบางช็อต เช่น มุมที่บาสชงเหล้าแล้วถ่ายจากแก้วเหล้ามาที่บาส หรือ ช็อตที่บาสคุยกับพริมแล้วถ่ายพริมด้วยโฟกัสคนเมา - เป็นช็อตที่รู้สึกว่าโคตรจะหว่องเลย สรุปคนอื่นคิด แหะ ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เท่มากคร่าๆๆๆ
- อย่างไรก็ดีจะไปชมหว่องคนเดียวก็ไม่ได้ ขอปรบมือหนึ่งชุดเพื่อให้เครดิตผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วย อยากให้หนังไทยไปสู่เลเวลนี้ทุกเรื่อง(หมายถึงว่าออกจากกรอบเดิมๆ ที่ชอบทำวนไปวนมา ยกระดับให้มีคุณภาพมาตรฐานเกณฑ์ส่งออกสู่สายตาชาวโลกได้รับชมที่โรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ) เราทำได้ เรามีศักยภาพมากพอ และเราพิสูจน์ให้เห็นแล้ว คนไทยเก่ง อยากให้ได้โชว์ของกันเยอะๆ
ภาพพักสายตา - รถรุ่นเก่า+เทปคลาสเซ็ต+โทนสีซีเปีย = nostalgic sud2
- ตอนที่ดีเจคุณพ่อเปิดเพลงแล้วไม่ใช่เพลงไทยก็แอบเซ็งนิดหน่อย เข้าใจว่าใช้เพลงฝรั่งเพราะหนังน่าจะขายอินเตอร์ด้วย ถ้าได้หวนระลึกถึงวันวานไปกับเพลงไทยยุคเทปตลับคงอินน่าดู
- อีกอย่างหนึ่งที่น่าจะทำไว้ขายอินเตอร์คือสถานที่ aka บ้านแฟนเก่า - โคราชเอย สมุทรสาครเอย เชียงใหม่เอย พัทยาเอย - ต่างทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ฉากๆ หนึ่งที่ตัวละครแวะมาแล้วผ่านไป ไม่ได้มีความหมายสลักสำคัญอะไรมากกว่านั้น กล่าวคือสถานที่ไม่ได้หล่อหลอมตัวละครเหล่านั้นขึ้นมา อลิซจะอยู่โคราชหรือขอนแก่นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน คิดว่าคงเอาไว้โชว์โลเคชั่นสวยๆ ทั่วไทยและหาเรื่องให้ได้อยู่ด้วยกัน on the road มากกว่า
- ขออวยยศให้เพลงประกอบภาพยนตร์ไว้อีกหนึ่ง Bullet Point เราชอบทั้งเวอร์ไทยเวอร์อิ้งเลย ฟังทีไรก็เหมือนมีเสียงเพลงโอบกอดยามพระอาทิตย์ตก การเดินทางของชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปจะเจอกับอะไร ปลายทางจะไปจบลงที่ตรงไหนและเมื่อไหร่(ยกเว้นเป็นมะเร็งแล้วหมอบอก) ถ้าเราเลือกอีกทางจะเป็นอย่างไร(The Road Not Taken - Robert Frost) ทำได้แต่คิดถึงผู้ที่เคยร่วมเดินทางด้วยกัน - ส่วนจะได้กลับไปเจอกันอีกหรือไม่นั้น ถ้าไม่เริ่มออกเดินทางเองก็ Nobody knows
- จำได้ว่าในโรงมีเสียงหัวเราะเป็นพักๆ เป็นบรรยากาศที่ดีที่ได้เสพร่วมกัน
- ชอบการใช้เสียงของเรื่องนี้ หลายครั้งที่เรายังได้ยินเสียงของbackgroundแม้ว่าภาพที่เห็นจะเป็นมุมอื่นไปแล้ว หรือได้ยินบทสนทนา/เสียงเพลง/เสียงจากวิทยุคลอแทรกไปกับตอนที่ตัวละครคุยกันหรือทำอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าเป็นวิธีที่สื่อสารออกมาได้ดี ในขณะที่หนังกำลังtransitionเล่าเรื่องต่อไปแล้วเรายังมีaftertasteเหลือค้างอยู่ในหัวให้ตกตะกอนต่อไป (e.g. ซีนหนูนาสัมภาษณ์เสร็จเดินออกไปร้องไห้คนเดียว มันเจ็บกระดองใจจึ้กๆ)
- What a time to be alive -
เทปหน้า A - องก์ที่ 1
- เรารู้สึกว่าเรื่องนี้แยกองก์หนึ่งกับองก์สองออกจากกันอย่างชัดเจน องก์หนึ่งกุจะเล่าเรื่องนี้ ส่วนองก์สองกุจะเล่าเรื่องนี้นะ แต่ละพาร์ทมีเมนไอเดียของตัวเอง - สำหรับเทปหน้า A นี่ออกแนวปฐมบทปูพื้นให้คนดูเริ่มอินกับความรู้สึกของการจากลากันครั้งสุดท้าย ไม่เคยตายก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไง เหมือนได้มีthought experimentกับตัวเองหนึ่งกรุบ
- ซีนเปิดตัวบาร์เทนเดอร์พี่ต่อได้รับเสียงฮือฮาในโรงยกใหญ่ - เหมือนได้รับการอุ่นเครื่องว่าต่อจากนี้ไปจะได้เจอกับฟามยิ่งใหญ่ /เหยด หนังทุนใหญ่ว่ะ ไม่ทัมดา
- เทปหน้า A มีหน้าที่เล่าเรื่องของรูปแบบการจากลาทั้ง 3 รูปแบบ ผ่านตัวละครแฟนเก่าทั้ง 3 คนของอู๊ด ทำความเข้าใจง่ายๆ เพราะหนังเขาย่อยมาให้หมดแล้ว โดยตามที่เราเข้าใจมีดังนี้:
- จบกันไปด้วยดี (จบสวย, มี closure) = อลิซ
- จากกันไม่ดีเท่าไหร่ (จบแย่, มี closure) = หนูนา
- ยังคงค้างคาอยู่ในใจ (ถูกทิ้งไว้กลางทาง, ไม่มี closure) = พี่รุ้ง
เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำว่า Closure ตรงกัน เราขออ้างอิงจากการเสิร์ชกูเกิ้ลไว้ว่า:
"Closure is knowing the reason a romantic relationship was terminated and no longer feeling emotional attachment or pain, thereby allowing for the establishment of new and healthy relationships." - Psychologytoday
ดังนั้น Closure ในที่นี้จึงหมายถึง การจบกันโดยไม่มีอะไรค้างคา ได้รับบทสรุปเหมือนดูหนังปลายปิดไม่ต้องเก็บไปคิดเองคนเดียว นำไปสู่การอนุญาตให้ตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ หรือในที่นี้ก็คือตายอย่างไปสู่สุคติ ไปเกิดใหม่ได้โดยไม่ต้องไปเป็นผีมาหลอกหลอนให้เพื่อนช่วยอีกนั่นเอง
อลิซสาวผมแดง ครูสอนเต้นแห่งโคราช
1. จบกันไปด้วยดี (จบสวย, มี closure) = อลิซ
ก่อนที่เจอกับอลิซ แฟนเก่าคนแรกในการเดินทางครั้งนี้ เราในฐานะคนดูก็ได้แต่จินตนาการตามว่าในฐานะคนที่รู้ตัวดีว่าครั้งนี้(อาจ) เป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายแล้ว อู๊ดจะรู้สึกอย่างไร? ทำไมต้องแกล้งทำเป็นสบายดีด้วย(ระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็แอบเปรียบเทียบว่าถ้าถึงคราวของเราขึ้นมาเราจะวางแผนยังไง เราเห็นด้วยว่าวิธีของอู๊ดก็ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นกระอักกระอ่วนใจกันแย่) แล้วถ้าถ้าอลิซไม่ยอมขึ้นมาไปเจออู๊ดขึ้นมาจริงๆ แล้ว อู๊ดจะยอมบอกความจริงมั้ยว่าถ้าอยากเจออีกทีต้องตีตั๋วไปนรกแล้วเด้อ
เมื่อทั้งสองได้บอกลากันครั้งสุดท้าย เรื่องราวของทั้งคู่ก็จบลงด้วยดี สบายใจทั้งสองฝ่าย ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีก ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ได้รู้ว่าเราต่างเป็นความทรงจำที่ดีต่อกัน และได้สร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการจากลาในอุดมคติที่เราก็หวังว่าถ้าเป็นเรา เราก็อยากจะจบกันได้ดีกับคนอื่นในชีวิตแบบนี้เหมือนกัน
ออกกองที่สมุทรสาครกับหนูนา เจ้าของรางวัลออสการ์แฟนดีเด่น
2. จากกันไม่ดีเท่าไหร่ (จบแย่, มี closure) = หนูนา
พอมาเจอหนูนาแฟลชแบ็คไปถึงอดีตตอนที่ยังคบกับอู๊ดเราในฐานะคนดูก็ได้รับred flagครั้งแรกว่า นังผู้ชายคนนี้มันไม่ธรรมดา ชัดๆ เลยคือมันmanipulateแฟนตัวเอง คิดว่าเขาได้งานเพราะจะโดนหลอกฟัน=ไม่เชื่อในความสามารถ ไม่เชื่อใจ ไม่เคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่าย ผู้หญิงอย่างเธอมันจะไปรู้อะไร ผู้ชายเขาดูออก แหม กุก็ดูมึงออกค่ะว่ามึงมันแย่ อิคนเก่ง อิมองโลกเป็น อิดอกไม้ ไปทำลายความมั่นใจเขาแล้วยังทำลายเส้นสายในการทำงานของเขาอีก ทู่ซี้อยู่กับอินี่ต่อไปชีวิตต้องtoxicมากแน่
สำหรับเราแล้วถึงแม้ว่าจะไม่ได้จบสวยเหมือนกับตอนไปหาอลิซ ไม่ได้เปิดใจกัน(ไม่อยากจะเสวนาด้วย) ไม่มีความทรงจำสุดท้ายดีๆ ร่วมกัน แต่ในตอนที่รถของบอสกับอู๊ดขับผ่านแล้วเห็นหนูนาร้องไห้มันก็เหมือน closure ให้อู๊ดรู้แล้วว่าความสัมพันธ์นี้มันจบอย่างไร แถมอู๊ดยังได้ดูหนูนาสัมภาษณ์ว่าจะเอาอดีตไปพัฒนาการแสดงบลาๆ อีก หน็อย ทำชั่วกับเขาแล้วอย่าสะเออะมาเทคเครดิตนะนังหน้าด้าน
เมื่อวันที่เชียงใหม่ฝนตกแต่แดดไม่ออก รุ้งเลยไม่ยอมออกมาเจอผู้คน
3. ยังคงค้างคาอยู่ในใจ (ถูกทิ้งไว้กลางทาง, ไม่มี closure) = พี่รุ้ง
เราไม่ค่อยรู้อดีตในความสัมพันธ์ของพี่รุ้งกับอู๊ดซักเท่าไหร่ รู้แค่ว่าพี่รุ้งเล่นดีมาก (เอ๊อะ...) รู้สึกได้ว่าพี่รุ้งรักอู๊ดมาก อยากลงหลักปักฐานด้วยกัน ตัดสลับกับบ้านเชียงใหม่ของพี่รุ้งในปัจจุบัน มีผัวฝรั่ง มีลูกเล็กหนึ่งหน่วย ชีวิตที่ตั้งหลักได้แล้ว แค่คนที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เคยคุยกันไว้ในอดีต
จากภาพในความฝันที่แดดอ่อนๆ สีทองทอดลงมาสู่บ้านอันแสนอบอุ่น เจ้าบ้านเปิดประตูรอต้อนรับ ตัดภาพมาสู่ความจริงที่ผ้าม่านปิดทึบทั้งบ้าน ฝนตกเหมือนไล่แขก บรรยากาศอึมครึมเคล้าไปกับอารมณ์ขมุกขมัว ฝนตกแต่แดดไม่ออกแบบนี้ไม่เจอรุ้งก็ไม่แปลก สรุปแล้วคือโดนแกง ต้มเปรตหม้อใหญ่ทั้งโรงภาพยนตร์เพราะนังอู๊ดหลับฝันอู๊ดอี๊ดเป็นวรรคเป็นเวร
ซีนที่พี่รุ้งพูดว่า "เคยถามพี่บ้างมั้ย" นี่โคตรจุก โคตรเจ็บ เหมือนเราในฐานะคนดูก็โดนเขาจูงจมูกลากไปเรื่อยๆ จนมาสะดุ้งตื่นตรงซีนนี้เองว่า ไม่ใช่ว่าว่าแกป่วยแล้วแกจะได้สิทธิ์ในการยกมืออีฟความแย่ของแกไว้ แกไม่ใช่เหยื่อ เป็นคนใกล้ตายก็ไม่ได้หมายความว่าบาปกรรมที่ผ่านมาจะเซ็ตซีโร่ ถึงเวลานี้แกจะน่าเห็นอกเห็นใจก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้อภัยในสิ่งที่แกทำ เพราะพี่รุ้งเองก็เป็นคนๆ หนึ่งที่มีเรื่องราวของตัวเองเหมือนกัน ไม่ได้เกิดมาเป็นตัวประกอบเพื่อคลายปมชีวิตให้มึง ไม่ใช่ทุกเรื่องราวที่สมควรจะได้รับ closure และนั่นก็คือบทสรุปที่อู๊ดสมควรได้รับ
เมื่อเทปของพี่รุ้งเล่นจนจบหน้าแล้ว ความสัมพันธ์ของคนคู่นี้กลับไม่มีบทสรุปเหมือนโดนตัดจบไปเสียดื้อๆ อดีตที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป อู๊ดไม่มีโอกาสได้คลายปมในใจ และในฐานะคนดูเราก็ไม่ได้รับคำเฉลยจากเรื่องราวของพี่รุ้งเช่นเดียวกัน - and that's fair enough.
ป.ล. แอบคิดว่าถ้าเพิ่มไดอะล็อกเป็นพี่รุ้งออกปากไล่ว่า ไปคุยกับรากมะม่วงที่ไหนก็ไป คงจะพีคน่าดู
แปะมีมที่เกี่ยวข้องจาก BoJack Horseman1
แปะมีมที่เกี่ยวข้องจาก BoJack Horseman2 - ตัวละครนี้เป็นมะเร็งเหมือนอู๊ดเลย
เทปหน้า B - องก์ที่ 2 (พาร์ทนี้ขออนุญาตแบ่งออกเป็นพอยต์ๆ เพราะจำไม่ค่อยได้ ปะติดปะต่อไม่ถูก)
ป.ล. ช่วงเวลาที่เขียนเนื้อหาพาร์ทนี้คือผ่านจากการดูหนังหมาดๆ ไปสองเดือนแล้ว เรียกว่าแห้งสนิท กรอบจนไม่เหลืออะไรอยู่ในสมอง แต่จะเขียนให้เต็มที่จากที่ดราฟต์เอาไว้ TT" ข้อเสียของการดองคือจำอะไรไม่ค่อยได้เลย หรืออาจบอกได้ว่าอาฟเตอร์เทสของหนังเรื่องนี้มันจางซะเหลือเกิน หรือเป็นฉันที่ความจำสั้นแต่สันหลังยาวเอง -- ปัจจุบันเมษาหน้าหนาว 2022 รีบเขียนให้จบก่อนโลกแตก เลิกดองแล้วไปต่อค่ะ
- หน้าที่ขององก์ที่ 2 ก็คือชัดเจนมากว่ากุจะเฉลยแล้วนะ เป็นพาร์ทอดีตของเราสองสามคนล้วนๆ ในที่สุดแล้วเราก็จะได้รู้แล้วว่า ฮั่นแน่ นายเรียกเพื่อนมาเมืองไทยทำไมกันนะ เพราะอะไรถึงต้องเป็นเพื่อนคนนี้ คืนของแฟนเก่าหมดแล้วแล้วจะคืนอะไรเพื่อนนะ ประมาณนี้
- เราชอบที่วีเปลี่ยนสำเนียง แล้วก็ชอบพี่ต่อตอนวัยรุ่นหน้าเป็นสิว งานดีเทล
รักครั้งแรก หัวใจก็แตกสลายยยยยยยยยย
- เรื่องทุนนิยมที่แฝงอยู่เท่าที่นึกออก:
- ไม่แปลกใจที่พริมจะรับเงินจากแม่มา ในฐานะชนชั้นกลางเหมือนกัน เรียกได้ว่าโอกาสครั้งนี้ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1อีก เพราะที่นี่(ประเทศไทย)แทบจะไม่เห็นโอกาสให้พริมเดินตามความฝันการเป็นบาร์เทนเดอร์สาวอย่างภาคภูมิและดำรงชีพได้จริงๆ จังๆ เลย
- ไม่แปลกที่บาสจะโกรธพริม ตรงนี้อาจassumeได้ว่าบาสใช้ชีวิตแบบมีตังมาโดยตลอดเลยไม่เข้าใจว่าไปเมกาด้วยรายได้หาเช้ากินค่ำนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ต้องเก็บอีกกี่ปี ต้องทำอีกมากมายเท่าไหร่ ไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ว่าprivillegeของการเป็นคนมีตังนี่มันวิเศษขนาดไหน
- ไม่แปลกใจเลยที่อู๊ดจะอิจฉาจนทำตัวอู๊ดอี๊ดได้ถึงปานนั้น(แต่ไม่ได้แปลว่ามันทำถูกนะ) เท่าที่ดูจากบ้านและรถที่ใช้ก็พอจะดูออกว่าบ้านอู๊ดถึงแม้ว่าพอจะมีธุรกิจส่วนตัวแต่ก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง เข้าใจว่าอู๊ดยังต้องเก็บเงินไปให้พ่อ เราเดาเองว่าที่ไม่กลับมางานศพพ่อเพราะการกลับไปกลับมามันก็ไม่ใช่เรื่อง่ายอีก และบาสที่มีแม่จองตั๋วจัดการให้ทุกอย่างก็คงนึกไม่ถึงเรื่องนี้เช่นกัน
- เราก็เลยชอบที่ตัดสลับระหว่างNYกับไทย เรารู้สึกว่าภาพตอนพูดถึงอดีตของอู๊ดที่NYมันจะดูฟุ้งๆ เหมือนความฝัน ในขณะภาพของที่ไทยจะเป็นโทนเก่าๆ ซีเปียๆ ทั้งที่เป็นปัจจุบันแล้วกลับติดอยู่กับอดีต ไม่พัฒนาไปไหนตามชาวโลก สถานที่จึงได้ทำหน้าที่เป็นbackgroundความเหลื่อมล้ำของเด็กไทยที่มีความฝันว่าอยากไปทำมาหากินที่เมืองนอก ไม่มีหวังในการเติบโตในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
/กุมหัวกลุ้มใจกะลูกชาย
- ตอนพริมทะเลาะกับบาส เราคิดว่าบาสงี่เง่าเป็นเด็ก - อาจบอกได้ว่าเราไม่เห็นใจบาสเท่าไหร่เพราะเราเข้าใจว่าคนไม่มีตังมันคิดยังไง พูดแบบนี้ไปก็เหมือนลดทอนความรู้สึกเหมือนโดนแฟนหักหลังของบาสอีก มันก็ยังน่าเห็นใจนั่นแหละ แต่ที่งี่เง่าก็ยังจริงอยู่นะ
- ตอนพริมทะเลาะกับอู๊ด ตรงนี้ขอเปลี่ยนชื่อให้เป็นอิเหี้ยอู๊ด กุเป็นพริมกุกำหมัดอี๊แอๆ กับมึงไปแระ ผู้ชาย(not all)มันเป็นส้นตีนอะไร เขาไม่ชอบก็คือเขาไม่ชอบสิวะ แต่ละคำที่ออกจากปากมันนี่เฉาฉุย(แปล=ปากเสีย)จนอยากไล่ให้ไปตบปากตัวเอง เป็นซีนที่ผู้หญิงทุกคนต้องโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเพราะผู้ชายที่เห็นแก่ค-ยจนเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง
- มาถึงตรงนี้แล้วคงต้องแตะเรื่อง Patriarchy ซักกะหน่อย เดี๋ยวจะไม่ทันประเด็นสังคม
- หนังเรื่องนี้มีผู้ชายเป็นตัวเอกดำเนินเรื่องและมีผู้หญิงเป็นฉากหลัง เรารู้จักอู๊ดจากเรื่องราวแฟนเก่าแต่ละคน มองผู้หญิงเป็นทางผ่านแต่ละจังหวัดเป็นmissionให้เติบโตเรียนรู้ต่อไป ในขณะที่ผู้หญิงจะเป็นหอยอะไรก็เรื่องของมัน ไม่ได้มีหน้าที่อะไรนอกจากเป็นแค่ตัวประกอบในชีวิตของมึง
- ในขณะเดียวกันบทบาทของผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายในเรื่องนี้ก็เป็นรากฐานของตัวละครเอก ไม่แปลกใจที่โลกนี้จะกลัวผู้หญิง เพราะพวกเราไม่ได้มาเล่นๆ บทบาทของแม่-เมีย-พี่สาว-แม่เลี้ยง(พี่หญิง รฐา) บวกกับแฟนคนแรก-ความฝันแรก-รักครั้งแรก-เลิกครั้งแรกของพริม ประกอบสร้างให้ตัวละครบาสให้เป็นบาสคนนี้ที่มีร้านเหล้าเป็นของตัวเองใจกลางมหานครของโลก บาสที่เที่ยวหญิงเละเทะไม่อินกับความรัก บาสที่เกลียดครอบครัวพี่สาวที่ไทยเข้าไส้ กลายเป็นคาแรกเตอร์ผู้ชายมีปมtrust issue+mommy issueเพียวๆ ไม่ผสมโซดา
หากเราต้องจากกัน จะเป็นด้วยเหตุใด
- คืนของแฟนเก่าหมดแล้วก็ถึงคราวนำแฟนเก่ามาคืนเพื่อนบ้าง(?) พอพูดแบบนี้แล้วก็ยิ่งทำให้คิดว่าแล้วถามเขา(พริม)บ้างหรือยัง555555555 เหมือนที่พี่รุ้งได้พูดกับบาสไว้ว่าแล้วเคยถามกันบ้างมั้ยว่าต้องการหรือเปล่า อะไรดีอู๊ดก็ว่าดีแต่อู๊ดไม่ถามคนอื่นเลยว่าเขาอยากรู้เรื่องด้วยมั้ย มันเป็นแผลใจที่เขาไม่อยากจะไปแงะให้มันถลอกปอกเปิกหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการรับผิดชอบในหัวอู๊ดเลย(?) หรือคิดมาแล้วแล้วคิดว่ามันต้องแบบนี้แหละ! ชั้นก็ไม่ทราบ ชั้นไม่ใช่นางอู๊ด
- เท่าที่ดูมานังอู๊ดอี๊ดไม่เคยได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้อยู่แล้วด้วยอะนะ ขอโฟกัสที่ตัวเองก่อนหนึ่ง เวลามันก็จำกัดด้วย หนังเรื่องนึงแค่สองชั่วโมง จะตายห่าตอนไหนก็ไม่รู้
- และมันก็ไม่ใช่หน้าที่กงการอะไรของอู๊ดที่จะมาต้องมาเป็นนางพ่อสื่อพ่อใจ ที่พริมกับบาสห่างกันไปส่วนหนึ่งก็เกิดจากสองคนนั้นที่ไม่คิดจะหาทางกลับไปติดต่อกันเองด้วย แต่แทนที่อู๊ดจะใช้คำว่าฉันยังมีเรื่องต้องบอกนายนะเพื่อนบาส หรืออะไรก็ว่าไป อู๊ดกลับเลือกใช้คำว่า กุจะเอาพริมมาคืนมึง อันนี้สื่อให้เห็นเลยว่าอู๊ดมองว่าตัวเองต้องรับผิดชอบความสัมพันธ์ของบาสกับพริมและมองผู้หญิงว่าคืนไปคืนมาได้ มันเลยพูดออกมาแบบนี้ มันไม่ใช่อะอู๊ด ปรับปรุงด้วยนะเรื่องนี้
- พอมาถึงตรงนี้จากหลายๆ การกระทำรวมกันแล้วอาจทำให้หลายคน(= เรากับพี่รุ้ง) รวมหัวกันสาปส่งมันไปเฝ้ารากมะม่วง แต่อู๊ดก็ไม่ใช่คนเลวร้ายไปเสียทั้งหมด อู๊ดก็เป็นคนธรรมดาสีเทาๆ คนหนึ่ง บางทีเราอาจไปเป็นอิอู๊ดในชีวิตของพี่รุ้งบางคนด้วยเหมือนกัน
ขอโทษที่สุดท้ายกลายเป็นคนทำให้เสียเธอไป
เราจึงอาจกล่าวได้ว่าการนำของไปคืนแฟนเก่าของอู๊ดเป็นการไถ่บาป(redemption) ให้กับตัวเองก่อนตาย ของที่นำไปคืนจึงเปรียบได้เหมือนบาปของอู๊ด or สิ่งที่อู๊ดรู้สึกผิด/ยังค้า่งคาใจ ไม่บอกไปจะเป็นผีที่ไม่สู่สุคติเพราะมีภารกิจในใจอยู่
Therefore, การที่อู๊ดพูดว่าจะเอาพริมคืนให้บาส = รู้สึกผิดกับบาสเรื่องพริมนั่นเอง พอคิดถึงตรงนี้แล้วก็ทำให้เรากลับไปคิดถึงของที่แฟนเก่าได้รับ และลองตีความแบ๊ะๆ ในแบบของเราดู ออกมาได้ดังนี้:
1. กระเป๋า = ภาชนะที่ใส่ของ ต่อไปนี้ฉันจะไม่แบกเรื่องเธอ(กระเป๋า)ไว้อีกแล้ว เลยเอามาคืนนะ
2. ตุ๊กตาออสการ์แฟนดีเด่น = สัญลักษณ์แทนคำขอโทษที่ไปทำลายความมั่นใจเรื่องการแสดงของหนูนา ยอมรับความสามารการแสดงของหนูนาแล้ว + หนูนาเป็นแฟนที่ดี อิอู๊ดเหี้ยเอง
3. ฟิล์ม = อดีตที่ถูกบรรจุเอาไว้ อยากจะเอามาเปิดดูอีกครั้งด้วยกันอีกครั้ง
- อาจสรุปได้ว่าการกระทำของอู๊ดเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว ถ้าบาสไม่ต้องมารู้เรื่องนี้มันจะดีกับบาสมากกว่ามั้ย หรืออาจเป็นความหวังดีจากอู๊ดจริงๆ ก็ได้ อู๊ดยอมให้เพื่อเกลียดดีกว่าปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป สุดท้ายแล้วเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่ใช่อู๊ดคงไปพูดแทนไม่ได้ว่าอู๊ดจะคิดยังไง และอาจไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยว่าเบื้องหลังจริงๆ แล้วอู๊ดคิดอย่างไร เพราะมนุษย์นั้นช่างแสนซับซ้อนและไม่ได้ใช้เหตุผลตลอดไปเสียทุกเรื่อง
- แล้วมันก็น่าคิดนะว่าทำไมต้องรอถึงก่อนตายถึงจะพูดออกมาได้ ที่ผ่านมาทำไมไม่บอก เธอไม่รักทำไมไม่บอก เราใช้ชีวิตจนหลงลืมเรื่องสำคัญที่ควรทำจริงๆ ไปหรือเปล่า ก็คงเป็นแมสเสจจากหนังให้เรานั่นแหละว่าอย่ารอให้ตายก่อนแล้วค่อยพูด เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีกะเวลาแบบนังอู๊ดได้ และถึงแม้จะขอโทษไปแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบ ทุกคำขอโทษไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการให้อภัยเสมอไป ทุกอย่างที่บอกว่าทำเพื่อคนอื่นสุดท้ายจุดหมายปลายทางเราต่างก็ทำเพื่อตัวเอง = นี่คือ bottom line ที่เราได้จากหนังเรื่องนี้
Maybe we'll meet up again in the next life
ตอนจบ
เราไม่แน่ใจว่าเพราะอู๊ดได้แอบฟังบาสด้วยหรือเปล่าทำให้เกิดอาการวงวารเพื่อนและตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้บาสฟัง(หมายถึงว่าอาจจะไม่ได้วางแผนจะเล่าให้บาสฟังตั้งแต่แรก) ในช่วงสุดท้ายของชีวิตอู๊ดได้ทบทวนตัวเอง ได้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไรต่อไป และเอาเรื่องราวในอดีตมาเป็นบทเรียนเหมือนที่หนูนาให้สัมภาษณ์
ตอนจบที่เราเข้าใจคือหลังจากที่แพแว้ดใส่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อู๊ดที่ฮึบสู้ก็ต้องตายจากไปคนเดียว ก่อนไปก็อัดเสียงไว้ส่งให้บาส ที่บาสไปเจอพริมแล้วอู๊ดไปส่งเป็นความคิดอู๊ดเอง ไม่ใช่เรื่องจริง ที่เราคิดแบบนี้เพราะบาสใส่ชุดเดิมเหมือนตอนที่ขับรถไปส่งอู๊ด และการที่พริมกับบาสได้เจอกันอีกครั้ง ก็คือการที่อู๊ดได้ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์อย่างที่ตั้งใจเอาไว้คือการให้เพื่อนมีความสุข(ในแบบที่ตัวเองคิด)นั่นเอง
สุดท้ายแล้วดูจากที่บาสเปิดเทปอู๊ดฟัง เราคิดว่าบาสคงทำใจและให้อภัยอู๊ดได้แล้ว และยังอยากรับฟังเรื่องราวของอู๊ดอีกครั้ง มันคงไม่สำคัญแล้วว่าพริมกับบาสจะได้กลับมาเจอกันมั้ย เรื่องราวของพริมกับบาสมันจบไปแล้ว หรือยังไม่ได้มีโอกาสไปเริ่มต้นใหม่ และเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของอู๊ด
เพราะเรื่องที่อู๊ดเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของบาสและได้พยายามจะแก้ไขในแบบของตัวเองนั้นคือเรื่องราวสำคัญในตอนจบของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวที่อู๊ดอยากเล่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากกันจึงเป็นสิ่งที่บาสยังอยากจะรับฟัง
- I'm so lucky that I found the path back to you -
ก่อนจากกัน
- ขอบคุณเพื่อนร่วมทางและเพื่อนร่วมโรง อยู่กันมาตั้งแต่สมัยมัธยมผมเปียจนตอนนี้มีการมีงานกันแล้ว จะคอยติดตามกันต่อไปในทุกๆ รสชาติชีวิตของชีวิต สัญญาว่าจะไม่หายหัวไปไหนและจะไม่รอจนถึงก่อนตายแล้วค่อยบอกในสิ่งที่อยากให้รู้เอาไว้
- ขอบคุณน้องเค้ก ตั้งใจว่าจะเขียนให้เสร็จก่อนคัมแบคจะได้ถือว่าช่วยโปรโมต ปัจจุบันGoodbye Stageไปแล้ว อัลบั้มก็ยังไม่มาส่งที่บ้าน ขอพื้นที่โฆษณาเพลงพระราชนิพนธ์ชั้นสูง
- ขอบคุณการเขียนที่ทำให้เราได้ปลดปล่อยความคิดจากสิ่งที่อยู่ในสมองของเราคนเดียวผ่านกระบวนการเรียบเรียงจนกลายมาเป็นประโยคที่จับต้องและสื่อสารกับโลกใบนี้ได้ ตอนที่เขียนอยู่เรารู้สึกราวกับว่าเวลาเป็นเรื่องสมมติ ขอบคุณที่อนุญาตให้เราที่อยู่ในเวลานี้และคนอ่านในอนาคตได้มาอยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน สัญญากับตัวเองว่าจะเขียนอีกบ่อยๆ เมื่อมีโอกาส
- ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ไม่ว่าจะหลงทางมาเจอกันได้อย่างไร ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะเรื่องราวของเรายังมีคนรับฟัง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in