เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จดหมายจากลาดัคห์ปลายฝัน พันดาว
Day 0: จุดเริ่มต้น Beginning
  •  10 กรกฎาคม 2559          

    ปลายฝันที่รัก.                                                                              

    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นตัวพวกเราที่จุดกำเนิดมาจากความรักของพ่อแม่ นิทานที่ได้ฟังตอนเด็กๆก็มักเริ่มด้วยกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเธอเป็นฉบับแรก เพื่อเล่าเรื่องราวการเดินทางไปลาดัคห์ที่ฉันฝันถึงมานานแล้ว ให้เธอได้มีส่วนรับรู้                            

    เรื่องราวของฉันเริ่มขึ้น เมื่อตอนต้นปีนี้เอง เมื่อน้องน้ำ สมาชิกโยคะสายเที่ยวที่สนิทกันมาชวนว่า

      "พี่ๆ เพื่อนน้ำจะจัดไปเที่ยว เลห์ ลาดัค ตอนกลางปี ไปด้วยกันไหมคะ"                                                   

     ลาดัคห์เป็นเมืองในฝันของนักเดินทางที่รักการถ่ายรูปหลายๆคน รวมทั้งฉันด้วย แต่เป็นเมืองที่หาเพื่อนร่วมทางไปด้วยไม่ง่ายเลย  เนื่องด้วยลาดัคห์ตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย เพื่อนบางคนแค่ได้ยินคำว่าอินเดียก็เบ้ปากมองบนเสียแล้ว ส่วนเพื่อนที่หลงเสน่ห์สีสรร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอินเดียด้วยกัน ก็กลัวกิติศัพท์ของอาการร่างกายขาดออกซิเจนเมื่อขึ้นที่สูง (Acute Mountain Sickness) ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อ่อนแรง เบื่ออาหาร เมื่อร่างกายที่เคยชินกับความสูงระดับน้ำทะเลต้องไปใช้ชีวิตชั่วขณะบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำเป็นหลายพันเมตร เพื่อนสนิทของฉันคนนี้เคยมีประสบการณ์เมื่อครั้งไปเยือนแชงกรีล่าในประเทศจีนที่ระดับความสูง 2,000 เมตร และ หุบเขาในเขตยุมถังทางเหนือของสิกขิมที่ระดับความสูง 4,000 เมตร ทำให้เกิดอาการปวดศรีษะ อ่อนแรง เบื่ออาหาร พาลให้เที่ยวไม่สนุก                  

     ดังนั้นเมื่อได้ยินคำชวนของน้ำ ใจฉันก็สมัครร่วมทีมไปเสียเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว เหลือแต่จัดคิวงานนี่แหละ กลางเดือนมิถุนายนดูเป็นช่วงที่ไม่ค่อยเหมาะเอาเสียเลยสำหรับงานของฉัน.          

    ระหว่างนั้น น้ำทำหน้าที่ประสานงานเป็นระยะๆ                                            

     "พี่คะ เราบินไปลงนิวเดลี แล้วเที่ยวทัชมาฮาลก่อนนะคะ แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยบินไปเลห์".

     "พวกเราไปทัชมาฮาลไม่ได้แล้วค่ะ ต้องใช้เวลามากกว่านั้น ไม่งั้นต้องเพิ่มวัน".

      "เราจะเริ่มจองตั๋วกันแล้วนะคะ".                                                  

     "พี่ๆคะ ทัวร์เราล้มแล้วค่ะ"                                                        

     อ้าว.......     ฉันและเพื่อนอีก 4 คนหงายเงิบกันไปตามกัน. เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนของน้ำใช้วิธีติดต่อเอเย่นต์ในอินเดียให้จัดหารถและที่พักให้ แต่ปรากฏว่า ราคาที่แจ้งมาเปลี่ยนทุกวัน ยังกับราคาหุ้น โดยอ้างว่าคิดผิดบ้าง ช่วงเทศกาลบ้าง   น้ำและผองเพื่อนจึงไม่แน่ใจว่าโดนแขกหลอกเข้าให้แล้วหรือเปล่า เสียงในกลุ่มจึงแตก บางคนในกลุ่มตัดสินไปเสี่ยงเอาดาบหน้า ขณะที่บางคนตัดสินใจยกเลิกการเดินทางไปเลยรวมทั้งน้ำด้วย พวกเราที่หมายมั่นจะติดสอยห้อยตามน้ำไปด้วยก็เลยต้องเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง

     ระหว่างที่กำลังถกเถียงกันวุ่นวาย คุณรุ้ง ซึ่งนั่งวอร์มร่างกายอยู่เสื่อโยคะติดกัน หันมาขอแจมด้วย.

      "เลห์ เหรอ รุ้งกะว่าจะไปกับเพื่อนตอนเดือนกรกฎาคมพอดีเลย"

      พวกเราสี่คนที่กำลังชุลมุนกันหันขวับมามองหน้ากันแล้วยิ้ม เอาหล่ะ คราวนี้มีเพื่อนมาเพิ่มอีกหลายคนแล้ว พวกเราตั้งกลุ่มไลน์กัน ต่างช่วยกันหาทางเลือก บ้างว่าเราควรจะซื้อทัวร์ไปเลยดีกว่านะ ถ้าฉุกเฉินจาก AMS (Acute Mountain Sickness) ก็ยังมีตัวช่วย บ้างว่าไปลุยกันเองสนุกกว่านะ ดูตัวอย่างจากพันทิพย์ก็มีหลายคนไปกันได้

    น้องผู้ชายที่ฉันรู้จักคนหนึ่งก็ไปกันสองคนกับเพื่อน ซื้อตั๋วบินจากนิวเดลีไปเลห์เองแล้วหาคนขับรถตามสนามบิน ขับรถไปเรื่อยๆตามโปรแกรมที่ตั้งไว้คร่าวๆ ค่ำเมืองไหนก็พักตามบ้านชาวบ้าน แต่สำหรับกลุ่มที่มีมากกว่าสองอย่างพวกเราคงต้องมีการเตรียมการกันหน่อย

    ในที่สุดเมื่ออุดมการณ์ไม่ตรงกัน กลุ่มของเราก็แตกกลับมาเหลือ 4 คน ตามเดิม สุดท้ายพวกเราตัดสินเลือกทัวร์รายหนึ่งซึ่งระยะเวลาและงบประมาณดูเหมาะสมกับพวกเรามนุษย์เงินเดือน (เดือนทางในช่วงวันหยุดค่ะ)                                                                                                      

     และแล้วถึงวันที่ทัวร์นัดไปทำวีซ่า ณ ตึกแห่งหนึ่งแถวอโศก ระหว่างที่นั่งรอ พระรูปหนึ่งซึ่งดูเหมือนกำลังนั่งรอนักท่องเที่ยวที่จะไปพักที่วัดมาทำวีซ่าหันมาชวนพวกเราคุย ท่านเล่าให้ฟังว่าที่วัดไทยในอินเดียของท่านมีที่พักมากมาย นำเสนอในราคาย่อมเยาว์ ถ้าไปแถบนั้นก็ติดต่อพักได้ เอ้อ เพิ่งรู้ว่ามี่ที่พักแบบนี้ด้วย เคยได้ยินทัวร์ที่ไปสังเวชณียสถานในประเทศอินเดียแล้วพักกันตามวัดไทยเหมือนกัน 

     สักพักหนึ่งสตรีวัยกลางคนท่านหนึ่งเดินมาพร้อมสามี มานั่งแปะข้างๆฉันและน้องนุ่มนิ่ม หนึ่งสาวในกลุ่มที่ไปด้วยกัน พร้อมส่งเสียงทักทาย.                                                          

    "น้องๆไปเที่ยวเลห์ใช่ไหมคะ พี่นึกแล้วว่าต้องเป็นกลุ่มนี้ ไม่น่าจะใช่กลุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าโน่น ที่น่าจะไปสังเวชณียสถานมากกว่านะ".                                                                              

     เราพยักหน้ารับ และหันตามไปมองแทบไม่ทัน กลุ่มที่นั่งข้างหน้าดูเหมือนสูงวัยอยู่ไม่น้อย ท้ายสุดพวกเราก็ได้ทราบจากคุณพี่ผู้มีอัธยาศัยว่าเธอและสามีอายุเกือบ 70 ปีแล้วแต่ยังแข็งแรงอยู่ด้วยออกกำลังกายทุกวัน และพี่ๆกลุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้า ( ซึ่งภายหลังคุณพี่ผู้มีอัธยาศัยเข้าไปทักทาย)อายุราว 70-80 ปี แล้วเป็นเพื่อนร่วมทางไปลาดัคห์กับพวกเราด้วยเช่นกัน นั่นคือจากลูกทัวร์ทั้งหมด 16 ชีวิต มากกว่าครึ่งเป็นผู้สูงอายุ 70-80 ปี พวกเรามองหน้ากัน ด้วยความที่พวกเรากังวลกับอาการอย่าง AMS มาก เลยคิดไปว่าพวกเขาจะทนอาการเหล่านี้ได้ไหม แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เคยได้ยินว่า AMS ไม่เกี่ยวกับวัย เอาหล่ะจะได้พิสูจน์กันตอนนี้แหละ                            

     ใกล้ถึงวันเดินทางเข้ามาเต็มที ฉันรับหน้าที่จัดหายาไดอะม็อกซึ่งเป็นยารักษาต้อหิน แต่ใช้อาศัยผลข้างเคียงที่เป็นยาขับน้ำมาช่วยลดอาการ AMS (แหะ แหะ ถ้าถามว่าช่วยอย่างไร ไม่ทราบหรอกนะคะ หลายคนแนะนำให้ใช้ หมอที่รู้จักก็บอกว่าเคยใช้ตอนไปธิเบตก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร) ส่วนน้องเลี้ยงสมาชิกสุดหล่ออีกคนหนึ่ง ทำหน้าที่จัดหาเงินรูปีให้  ฉันเริ่มนับวันที่เหลือด้วยความตื่นเต้น.  

    จาก ฉันผู้ห่วงใยเธอเสมอ                                                        

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in