เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cinematic Nillionaireview0326
My Academy Awards: หนังดีในดวงใจประจำปี 2018
  • เนื่องในโอกาสที่ปีเก่าจะผ่านไปและปีใหม่กำลังมา CINEMATIC NILLIONAIRE ขอนำเสนอผลรางวัล "My Academy Awards หนังดีในดวงใจฉัน" ประจำปี 2018 ซึ่งให้คะแนนโดยอิงจากความชอบส่วนตัวของผู้เขียนล้วน ๆ จากภาพยนตร์ทั้งหมดที่ได้ดูภายในปี 2018 มีรายการดังต่อไปนี้


    • แต่งหน้าและออกแบบทรงผมยอดเยี่ยม (Best Makeup and Hairstyling)

    "Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald"


    ที่จริง The Crimes of Grindelwald โดดเด่นมากเรื่องการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วย แต่ที่ให้เรื่องการแต่งหน้าและออกแบบทรงผมเพราะชอบทรงผมของกรินเดลวัลด์มาก ๆ มองยังไงก็เท่ แถมยังส่งเสริมให้ตัวละครดูมีรสนิยม เป็นตัวร้ายที่มีเสน่ห์ให้คนดูหลงรักได้ไม่ยาก นอกจากกรินเดลวัลด์แล้วก็ยังชอบทรงผมของทีน่าด้วย ภาคนี้ทีน่าได้เป็นมือปราบแล้วทรงผมสั้นขึ้นไปอีกทำให้ดูกระฉับกระเฉง ส่วนทรงผมของควีนนี่ และโดยเฉพาะของนิวท์เป็นทรงที่เข้ากับลักษณะนิสัยของตัวละครได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องการแต่งหน้านั้นผู้เขียนไม่มีความรู้ แทบจะเรียกได้ว่ายกรางวัลนี้ให้ก็เพราะทรงผมของกรินเดลวัลด์เลย

    • ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (Best Costume Design)

    "The Legend of Muay Thai: 9 Satra"


    9 ศาสตราต่างจากเรื่องอื่นตรงที่เป็นแอนิเมชันทำให้ต้องออกแแบบตัวละครโดยทั้งหมด ก่อนชม 9 ศาสตราไม่ได้คาดหวังอะไรมากแต่กลับรู้สึกประทับใจการออกแบบตัวละครมาก โดยเฉพาะตัวอ๊อดที่อาจจะนุ่งโจงทั้งเรื่องแต่ว่ารายละเอียดของรอยสักทำได้สวยงาม (จริง ๆ ไม่แน่ใจว่านับเป็นเครื่องแต่งกายไหม อาจจะเป็นการแต่งหน้า) ยิ่งตอนต่อสู้รอยสักจะเปล่งแสงทำให้ตัวละครดูเก่งและมีพลัง ส่วนเกราะที่เกิดจาก 9 ศาสตราก็น่าประทับใจ ตอนที่ดูอยู่ถึงกับอึ้งไปเลยเพราะมันเท่จริง ๆ นอกจากนี้ทารคาและพรานทมิฬก็ออกแบบเสื้อผ้า เช่น เครื่องหัวและหน้ากากออกมาได้ดี เป็นตัวร้ายที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ

    • ภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม (Best Animated Feature Film)

    "Fireworks"


    เรื่องนี้มีเนื้อหาแปลกดี และมีภาพสวยงาม โดยเฉพาะรายละเอียดของแสงและประกายต่าง ๆ ในเรื่อง มีฉากที่เหนือจริง (surreal) เยอะมาก ตัวพลุในช่วงท้ายเรื่องก็ทำออกมาแบบเหนือจริง แต่ก็ต้องยอมรับตรงนี้เลยว่าดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ไม่ค่อยแน่ใจว่าด้วยว่าตัวหนังต้องการจะสื่ออะไร แต่เดา ๆ เอาว่าเกี่ยวกับเรื่อง space and time หรือเปล่า แต่ก็คิดว่าเป็นธรรมดาเพราะผู้เขียนมีปัญหากับภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เพราะดูไม่ค่อยรู้เรื่องตลอดเลย แต่ที่ชอบเรื่อง Fireworks เพราะเนื้อหาที่แปลกใหม่ และถึงแม้จะดูไม่ค่อยรู้เรื่องแต่สุดท้ายก็ยังทำให้รู้สึกประทับใจไปกับเรื่องราวของตัวละคร

    • เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม (Best Visual Effects)

    "Ready Player One"


    เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก และแม้ว่าจะไม่เติบโตมาใน pop culture ยุคเดียวกับที่นำเสนอในเรื่องแต่ก็ดูสนุกดี โลกใน Ready Player One จะออกเป็นดิสโทเปียที่ผู้คนไม่สนใจจะมีชีวิตอยู่ในโลกความเป็นจริง แต่จะใช้ชีวิตในโลกเสมือนจริงกัน ทำให้ต้องใช้ visual effect เป็นส่วนใหญ่ของเรื่องเลย ทั้งส่วนของโลกเสมือนจริงที่เรียกว่า ดิ โอเอซิส และอวตารของตัวละครซึ่งทำออกมาได้มีรายละเอียดและตื่นตาตื่นใจสมกับเป็นโลกของเกม แต่พอเห็นชื่อผู้กำกับเป็น "สตีเวน สปีลเบิร์ก" แล้วก็เข้าใจได้ ถือว่ามีเทคนิคพิเศษที่ยอดเยี่ยมสมชื่อพ่อมดแห่งฮอลลีวูด

    • บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay)

    "Peter Rabbit"


    ความจริงบทดัดแปลงของ Peter Rabbit ก็ไม่มีอะไรมากในส่วนของแก่นเรื่องก็เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันในธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง ภาพรวมก็ดำเนินไปตามหนังครอบครัวทั่วไป แบบเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี มีบางช่วงที่แทรกมุกที่มีแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะเข้าใจมาแบบเนียน ๆ แต่บทพูด (dialog) ของพวกกระต่ายทำให้หนังมีชีวิตชีวามากและดูไม่ติดขัด เป็นหนังที่ดูได้เรื่อย ๆ และประทับใจ ส่วนตัวละครทุกตัวมีการพัฒนาจากต้นจนจบเรื่อง ทั้งตัวคนและกระต่าย ตอนสุดท้ายทุกตัวละครจะตกผลึกบทเรียนในชีวิตของแต่ละคน

    • บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Original Screenplay)

    "A Quiet Place"


    บทดั้งเดิมต้องให้ A Quiet Place จริง ๆ ตอนที่ดู teaser หรือแม้แต่ trailer ก็เดาไม่ถูกเลยว่าปมของเรื่องที่ทำให้เป็น A Quiet Place มันคืออะไร ก็เข้าไปนั่งดูด้วยความรู้สึกสงสัยแบบนั้น แต่บทแปลกใหม่ ดูเป็นหนัง cult แต่ก็มีองค์ประกอบที่ดึงดูดให้คนทั่ว ๆ ไปดูได้ เช่น มีเรื่องของการเอาตัวรอดในภาวะที่มีข้อจำกัด และชูเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ปมปัญหาทุกปมในเรื่องร้อยเรียงผูกโยงมาสอดรับเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ทำให้หนังไม่ดูสุดโต่งหรือไร้เหตุผลมารองรับเกินไปจนเป็นหนัง cult เมื่อดูจบผู้ชมจึงได้ความรู้สึกที่เต็มอิ่มกับภาพยนตร์เรื่องนี้

    • กำกับภาพยอดเยี่ยม (Best Cinematography)

    "The Shape of Water"


    ให้เป็นภาพยนตร์ที่ cinematography สวยที่สุดในปีนี้ การกวาดกล้องก็เหมือนจงใจให้ผู้ชมได้เห็นถึงรายละเอียดที่อยู่ในแต่ละฉาก โทนสีที่ใช้ก็เป็นโทนที่สื่อถึงน้ำซึ่งเชื่อมโยงกับธีมของเรื่อง ผู้เขียนชอบการออกแบบและสรรหาสถานที่ในเรื่องมากเพราะทำให้นึกถึงศิลปะแนว steampunk ซึ่งช่วยให้หนังมีโทนดิสโทเปีย ส่วนตัวดูแล้วนึกถึงภาพยนตร์อีกเรื่องคือ Metropolis แสงและเงาที่ใช้กับตัวละครในบางฉากก็เหมือนกับหนังขาว-ดำทำให้เน้นอารมณ์และความรู้สึกได้ดี มีหลายฉากที่ดูแล้วสวยจนอึ้งไปเลย เช่น ฉากในโรงภาพยนตร์ที่มีสีแดงแทรกเข้ามาเพื่อแสดงถึงอารมณ์รัก และทุกฉากที่อยู่ใต้น้ำก็สวยงามมาก

    • เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Original Song)

    "Ashes - Céline Dion"


    การที่หนังเรท R มีเพลงประกอบสเกลใหญ่มันไม่เข้ากันเอาเสียเลย แต่ความที่มันไม่เข้ากันนี่แหละที่ทำให้ยิ่งตลก พอดูให้ลึกเข้าไปในเนื้อเพลงจะพบว่าสื่อถึงแก่นของเรื่องโดยตรง จากตัวละคร Russell มีพลังที่สามารถเผาผลาญทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ซึ่งตรงกับชื่อเพลง ในขณะเดียวกันตัวละครต่างก็มีปูมหลังที่แทบจะเรียกได้ว่าเหลือตัวคนเดียว เนื้อเพลงก็ตั้งคำถามว่าถึงจะเป็นแค่เศษเถ้าถ่านแต่จะสามารถก่อให้เกิดอะไรที่สวยงามขึ้นมาได้บ้างไหมนะ เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องที่ถึงแม้จะผ่านชีวิตที่พังทลายไม่ต่างจากเถ้าถ่าน แต่ว่าสุดท้ายจะสามารถมีชีวิตที่สวยงามและมีความสุขต่อไปได้บ้างไหม
    ( แปลเพลง Ashes : https://minimore.com/b/TLCL7/8 )

    • ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Director)

    "James Wan -  Aquaman"


    แม้มีการวิเคราะห์ถึงช่องโหว่งต่าง ๆ ใน Aquaman แต่ตัวผู้เขียนกลับชื่นชมผู้กำกับเจมส์ วานอย่างมาก อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าสถานการณ์ของหนังซุปเปอร์ฮีโร่จาก DCEU ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่ดูเหมือนว่าหนังเดี่ยวจะทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะ Wonder Woman ที่ดีทั้งในแง่คำวิจารณ์และรายได้ องค์ประกอบเหล่านี้อาจทำให้ทีมสร้าง Aquaman ได้รับแรงกดดันมากมาย อีกทั้งตัวผู้กำกับเองก็ถนัดทำแนวสยองขวัญมาตลอด แต่เมื่อดูหนังจบแล้วก็ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี เพราะสามารถทำให้หนังเข้าถึงกลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่ได้ แม้ว่าโทนหนังโดยรวมอาจจะแตกต่างจากหนังในจักรวาลนี้ไปบ้าง

    • นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Actor in Supporting Role)

    "Christopher Plummer (J. Paul Getty) - All the Money in the World"


    คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์เป็นนักแสดงที่มีผลงานในวงการจอเงินมากว่า 7 ทศวรรษ และใน All the Money in the World เขารับบทเป็น พอล เก็ตตี้ มหาเศรษฐีธุรกิจน้ำมันที่ในยุคนั้นแทบจะเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก ในหนังมีฉากที่ลูกสะใภ้พูดถึงว่า "He has all the money in the world..." ตามชื่อเรื่อง แต่กลับไม่ช่วยเหลือหลานชายของตัวเองที่ถูกเรียกค่าไถ่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี 1973 แม้การแสดงของพลัมเมอร์อาจจะดูเรียบ ๆ แต่ก็แสดงออกถึงวิธีการคิดและความเจ็บปวดของมหาเศรษฐีให้คนธรรมดารับรู้ได้อย่างทรงพลัง

    • นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Best Actress in Supporting Role)

    "Daisy Ridley (Cottontail Rabbit) - Peter Rabbit"


    จริงอยู่ที่บทของคอตตอนเทลเป็นแค่บทที่ใช้เสียงพากย์ (Voice acting) แต่เพราะชื่นชอบตัวละครนี้มากที่สุดจากในเรื่อง Peter Rabbit ก็เลยอยากจะยกความดีความชอบให้กับนักแสดงผู้เป็นเจ้าของเสียง คือ เดซี่ ริดลี่ย์ ซึ่งคอตตอนเทลเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เป็นตัวละครที่มีพลังงานล้นเหลือ ชอบทำอะไรตามแต่ใจ ออกแนวรั่ว ๆ และเป็นตัวละครที่สื่อสารกับปีเตอร์มากที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด การพากย์เสียงให้จึงน่าจะใช้พลังงานและจิตนาการมากตามไปด้วย และผู้เขียนเห็นว่าเดซี่ทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติเลย

    • นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ฺBest Actor in Leading Role)

    "Doug Jones (Amphibian Man) - The Shape of Water"


    มนุษย์ปลาใน The Shape of Water อาจจะไม่มีบทพูดแต่ผู้เขียนคิดว่าเป็นบทที่จะต้องใช้ความอดทนและจิตนาการสูงมากบทหนึ่งในบรรดาตัวละครจากภาพยนตร์ในปี 2018 นอกจากจะต้องใช้ความอดทนในการนั่งให้ช่างประกอบชุดและแต่งหน้าแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องอดทนแสดงอยู่ในชุดนั้นอีกหลายชั่วโมง ส่วนในเรื่องการแสดงบทนี้เชื่อว่าคนที่ได้ชมก็เชื่ออย่างหมดใจว่ามนุษย์ปลานั้นมีชีวิตอยู่ในหนังจริง ๆ และสามารถมีความรักกับสิ่งมีชีวิตในสปีชี่ส์ที่แตกต่างกันได้ การทำให้มนุษย์ปลามีชีวิตในโลกภาพยนตร์ส่วนหนึ่งแล้วก็ต้องชื่นชมความเป็นมืออาชีพของดัก โจนส์ที่แสดงในบทมนุษย์ปลา

    • นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Best Actor in Leading Role)

    "Alicia Vikander (Lara Croft) - Tomb Raider"


    หนังที่สร้างจากเกมชื่อดังมีอลิเซีย วิกันเดอร์รับบท ลาร่า ครอฟต์ ซึ่งอาจคิดว่าเป็นบทที่ไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วตัวลาร่าเองก็พอจะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง เพราะเป็นทายาทมหาเศรษฐีแต่กลับมาใช้ชีวิตอย่างปากกัดตีนถีบ บุคลิกภายนอกจะเป็นคนแข็ง ๆ ลุย ๆ แต่ภายในใจก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โหยหาพ่อที่หายตัวไป จุดที่ต้องให้คะแนนนี้มาจากวิถีชีวิตที่ต่างจากผู้หญิงทั่วไปของลาร่าที่รักการผจญภัยและชอบเล่นกีฬา ในเรื่องอาจจะต้องชกมวย ปั่นจักรยาน และปีนป่าย จริงอยู่ที่คงจะใช้ตัวแสดงแทน แต่ในเบื้องต้นก็มีหลายสิ่งที่ตัวนักแสดงต้องเตรียมตัวเพื่อให้สมบทบาทในเรื่องนี้

    • ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture)

    "A Quiet Place"


    A Quiet Place ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตัวหนังเลย แต่พอดูไปแล้วกลับเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมและเป็นเรื่องที่ชอบที่สุดในปีนี้ โดยเฉพาะการผสมเสียงต่าง ๆ ในเรื่อง ทั้งเสียงธรรมชาติหรือเสียงการขยับเคลื่อนไหว แม้ว่าหนังแทบจะไม่มีบทพูดเลย แต่ทำเสียงอื่น ๆ ได้ชัดเจนและมีจังหวะที่ลุ้นระทึก เมื่อดูหนังในภาพรวมหรือแม้แต่ในรายละเอียดก็จะเห็นถึงความตั้งใจของผู้กำกับและทีมสร้าง ทั้งจากในบท การดำเนินเรื่อง และภาพที่ออกมา ตัวนักแสดงเองที่ถึงแม้จะมีน้อยแต่ว่าได้คุณภาพ เมื่อดูองค์ประกอบทุกอย่างแล้วไม่แปลกใจเลยว่าเป็นภาพยนต์แนวใหม่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้


    ปี 2018 ยังมีภาพยนตร์ดี ๆ อีกมากมายที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในที่นี้ เชื่อว่าทุก ๆ คนก็อาจจะมีหนังดีในดวงใจประจำปีนี้ที่ต่างกันออกไป แต่สำหรับคนที่รักการชมภาพยนตร์การได้ดูหนังดี ๆ สักเรื่องในวันที่เหนื่อยล้านั้น ถือเป็นกำไรชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะให้กับตัวเองได้ หวังว่าทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้จะมีความสุขและได้ดูหนังทุกเรื่องที่ตั้งตารอดูในปี 2019 ที่กำลังจะมาถึง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in