เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พฤษภาไม่กลับมาsipthesmokeairs
lost


  • การที่เราสูญเสียตัวตนในเวลาที่ตกหลุมรัก มันยังเรียกว่ารักอยู่หรือเปล่านะ


    ในวันที่อากาศร้อนจัด ของเดือนพฤษภาคมที่ถูกจัดระเบียบให้อยู่ในหน้าฝน
    เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเขา....


    แค่คำว่าถูกใจยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อได้สบเข้ากับดวงตาเป็นประกายราวกับสีของคาราเมลที่เคลือบบนคานาเล่ยามสะท้อนแสงไฟ ผมจำไม่ได้เลยว่าพูดอะไรออกไปบ้างในตอนที่เขาถามเกี่ยวกับงานตรงหน้า และใช่แล้วครับ เขาเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัทของเราเมื่อไม่นานมานี้ และถึงแม้ว่าเราจะอยู่กันคนละแผนก แต่ก็ยังมีโอกาสได้เห็นหน้าเห็นตากันอยู่บ้าง ผมไม่คิดว่าจะได้คุยกับเขามากไปกว่าคำทักทายที่แสบเรียบง่ายในตอนที่เดินสวนกัน หรือบังเอิญเจอที่ร้านกาแฟใต้บริษัท จนกระทั่ง…
    “พี่พักอยู่ที่นี่หรอครับ”
    เสียงทักทายที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินที่นี่
    ที่คอนโดของผม...
    “อาห้ะ” ตอบกลับไป พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้ามากจนเกินไปนัก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหูของผมจะไม่ได้กำลังแดงอยู่ “อย่าบอกนะว่าเราก็...”
    เขายิ้ม พยักหน้าเหมือนลูกหมาเวลาเห็นเจ้าของ “ครับ บังเอิญจังอยู่ที่เดียวกับพี่ด้วย”
    และเพราะเหตุนั้น เหตุผลที่เราทำงานที่เดียวกัน อยู่คอนโดที่เดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกบัญญัติสถานะจึงได้เริ่มก่อตัวขึ้น




    ‘พี่ไม่คิดจะชวนผมออกกำลังกายเองบ้างเลยหรอ’
    ผมอ่านโนติฟิเคชั่นที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาชอบน้อยใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประมาณว่า ผมไม่เคยไปหาเขาก่อน ไม่เคยชวนเขาไปกินข้าวหรือดื่มกาแฟก่อน มีแต่เขาที่ชวนผมก่อนอยู่ฝายเดียว
    ‘ไปออกกำลังกายกันงั้น’
    แล้วผมก็ดันเป็นพวกชอบตามใจซะด้วยสิ
    ‘วิ่งสวนนะ’
    ‘วิ่งลู่เห่อะ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป ‘ข้างนอกมันร้อน’
    ‘โอเคคับ’
    บทสนทนาที่แสนเรียบง่าย
    ‘ผมรอนะ’
    ที่ดันทำให้ใจเต้นขึ้นมาซะอย่างงั้น




    ‘ทำอะไรอยู่ครับ’
    ประโยคคำถามข้างบนกลายเป็นสิ่งที่ผมเห็นบ่อยจนชินตาและมักจะเด้งขึ้นมาในแอพลิเคชั่นสีเขียวๆ อยู่เป็นประจำ คล้ายกับคำกล่าวสวัสดีทักทาย แต่แค่เป็นการเปิดการทักทายที่ทำให้หาเรื่องอื่นคุยต่อได้เท่านั้น
    ‘กำลังจะสั่งข้าว’
    ‘สั่งเผื่อผมด้วยได้ป่าว’
    ‘จะลงมาเอาหรอ’
    ‘ป่าวครับ’
    ผมขมวดคิ้ว ก่อนที่ประโยคถัดมาจะทำให้ผมเริ่มมือไม้อยู่ไม่เป็นสุข
    ‘จะไปกินห้องพี่’





    และตั้งแต่ข้าวกลางวันในวันอาทิตย์ของเดือนพฤษภาคมมื้อนั้น เขาก็เริ่มมาที่ห้องของผมบ่อยขึ้น
    ‘พี่’
    ‘ว่า?’
    ‘ฝนตกอ่ะ’
    ‘อ่าห้ะ แล้ว?’
    ‘เหงา’
    ‘- -’
    ‘ไปเล่นกีต้าร์ห้องพี่นะ’
    บ่อยขึ้น
    ‘พี่’
    ‘ว่าไง’
    ‘หัวหมดอ่ะ’
    ‘ไม่มีโค้ก’
    ‘เอาของพี่ก็ได้’
    ‘เป็นแตงโมนะ’
    ‘5555555’
    ‘สูบซะกลิ่นน่ารักเลยอ่ะ’
    ‘ก็ชอบ’
    ‘ผมก็ชอบ’
    ‘ขึ้นมา’
    ‘ไม่ถามต่อหรอ’
    บอกแล้วว่าผมมันเป็นพวกชอบตามใจ
    ‘ชอบกลิ่นแตงโม?’
    ‘ไม่เล่นดีกว่า’
    เป็นซะงั้นไป




    และบ่อยมากขึ้น
    ‘พี่’
    ‘ครับ?’
    ‘กินเหล้ากัน’
    ‘กินเสร็จ เราเก็บห้องนะ ไม่เอาเหมือนครั้งที่แล้ว’
    ‘คร้าบบบ’




    ‘พี่’
    ‘ว่าไง’
    ‘วันนี้วันเกิดผม ไม่แฮปหน่อยอ่อ’
    ‘HBD’
    ‘ไม่เอางี้’
    ‘อะไรอีก อย่าเยอะ’
    ‘ไม่เอา เย็นชาจังอ่ะ’
    ‘ไม่อยู่กับแฟนหรอ’
    ‘เลิกกันแล้ว’
    ‘เดี๋ยวก็ดีกัน’
    ‘ไม่กลับไปแล้ว เลิกขาด’
    ‘จะนอน’
    ‘ไปหานะ’
    ‘- -’
    ‘วันนี้ผมไม่อยากอยู่คนเดียว’
    ผมถอนหายใจ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
    ‘ขึ้นมาครับ’




    เมื่อเปิดประตูห้อง ก็ต้องคิ้วขมวดให้กับขวดไวน์ในมือของเจ้าลูกหมาที่ยืมแผล่อยู่ตรงหน้า
    “ทำไมทำหน้างั้น”
    “ก็รู้ว่านี่แพ้ไวน์”
    ผมตอบกลับไป เบี่ยงตัวให้เขาเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตู
    “แต่อันนี้ของดีจริง อยากให้พี่ได้ลอง”
    “กินแล้วเมาจัด”
    “ชอบนะ”
    “ห้ะ”
    “เวลาพี่เมาโคตรน่ารัก”
    ผมแสร้งทำเป็นเดินไปหยิบแก้วไวน์ในห้องครัว พยายามทำตัวไม่สนใจในสิ่งที่เด็กตรงหน้าพูด พยายามไม่รู้สึกอะไร พยายามบอกตัวเองว่าเด็กมันพูดไม่คิด พยายามเตือนตัวเอง ว่าน้องมันมีแฟนแล้ว
    ‘เลิกกันแล้ว’
    เชื่อไหมว่าตอนที่ได้อ่านครั้งแรก มันมีความดีใจที่แสนจะน่าไม่อายอยู่ในนั้น



    ในประโยคสั้นๆ ที่พิมพ์ตอบเขากลับไป..
    ในทุกการกระทำที่เหมือนไม่ได้สนใจอะไรเขามากมาย..
    แต่แพ้ให้เขาทุกทางอย่างยับเยิน...





    บทสนทนาที่เรียบง่ายแต่หาที่จบลงได้ยากเกิดขึ้นอย่างทุกที ท่ามกลางแสงไฟสลัว และเหล้ารัมในมือ นาฬิกาบอกเวลาตีสองสิบสี่นาที พร้อมกับฝนด้านนอกที่โปรยปรายลงมา ขาสองข้างของเราสองคนยื่นออกไปตรงระเบียง เพราะโครงสร้างของคอนโดทำให้หยดน้ำฝนไม่กระเด็นจนทำพื้นระเบียงห้องเฉอะแฉะ เขาเริ่มเอานิ้วหัวแม่เท้ามาแตะที่นิ้วหัวแม่เท้าผม ผมแตะคืนอย่างไม่ลดราวาศอก เราเล่นกันแบบนั้นเหมือนเด็กๆ อยู่สักพักและเริ่มหัวเราะ จนกระทั่งที่เขาเริ่มวางแก้วไวน์ของตัวเองและลงมือแกล้งผมอย่างจริงจังด้วยการจี้เอว ผมเป็นพวกบ้าจี้ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนในตอนที่ผมดิ้น ไวน์ในมือก็กระฉอกเปรอะเสื้อผ้าเต็มไปหมด
    “เอาแล้วไง”
    เขามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถส่งยิ้มระรื่นหน้าหมันไส้มาให้
    “เนี่ย เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”
    ผมบ่น
    “เลอะเทอะ” พูดพลางหยิบทิชชู่มาซับน้ำที่เปื้อนเสื้อนอนของตัวเอง เชิ้ตขาวเปื้อนคราบสีแดงเห็นชัดจนเสียดายชุดนอน ผมหงุดหงิดบ่นกระปอดกระแปดจนเขาคว้ามือผมที่กำลังเช็ดเสื้อตัวเองเอาไว้
    “อยู่นิ่งๆสิครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้”
    ผมขมวดคิ้ว หรี่ตามองเด็กตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ เขาพูดพลางทำหน้าที่เช็ดเสื้อแทนผม แต่เมื่อเห็นว่ายิ่งแก้ยิ่งแย่ เด็กตรงหน้าเลยเลื่อนมือขึ้นมา ก่อนที่จะ...
    “เฮ้ย ทำไรเนี่ย”
    “พี่สะดุ้งอะไรขนาดนั้น แค่จะปลดกระดุมเสื้อ”
    “ปลดทำไม”
    “เปียกขนาดนี้เปลี่ยนเสื้อเหอะพี่”
    “เออ รู้แล้ว เดี๋ยวเปลี่ยนเอง”
    “พี่อายอะไร”
    “ไม่ได้อาย มีอะไรต้องอาย”
    “หน้าแดงทำไมก่อน”
    “เมาไง ปกติป้ะ”
    “ทำไม พุงมันโย้หรือไง”
    “ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน เบื่อเด็ก”
    ผมที่พยายามหนี
    หมับ
    แต่กลับไม่ได้รับอนุญาต
    เขาคว้ามือผมไว้ ออกแรงเพียงนิดหน่อย ตัวผมก็ร่วงลงไปนั่งเกือบจะเกยตักเขาอยู่แล้ว สาบานว่าความสูงที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตรของผมไม่สามารถเรียกได้ว่าตัวเล็ก แต่ระยะห่างระหว่างสิบเซนติเมตรกับความสูงของเด็กตรงหน้าทำให้ผมดูเป็นพวกอ่อนปวกเปียกไปเลยเมื่อเทียบกับเขา
    “ก็ไม่เห็นโย้เลยนิ่”
    เพราะมัวแต่ตกใจหรือมัวแต่หลงอยู่ในนัยน์ตาที่เหมือนเป็นเจ้าของท้องฟ้ายามค่ำคืนในวันนี้หรือด้วยอะไรก็ตาม แต่คืนนี้ฝนตก และฝนก็ดันบังเอิญตกในนัยน์ตาของเด็กตรงหน้าด้วยเหมือนกัน ผมเห็นร่องรอยของฝน ร่องรอยความบวมช้ำของเปลือกตา ในระยะห้าเซนติเมตรที่ห่างกันแค่นี้ ผมเห็นร่องรอยความเสียใจที่เขาไม่ได้พูดมันออกมา และเพราะมัวแต่คิดว่าอีกคนคงเสียใจมากแค่ไหน เลยไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อที่เปื้อนไวน์ของผมโดนถอดออกไปแล้ว
    “เฮ้ย”
    ผมสะดุ้ง เมื่อเขาใช้มือสัมผัสหน้าท้องผมตรงๆ
    “เอวบางขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”
    ถึงแม้พักหลังๆ มาจะตัวติดกันหรือสนิทกันมากขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสกันตรงๆ ขนาดนี้มาก่อน นอกจากความตกใจที่มีอาการใจสั่นร่วมด้วยแล้ว ผมพยายามเรียกสติตัวเองและสะบัดข้อมือออก แต่ก็ดันถูกกุมไว้แน่นกว่าเดิม
    “จะปล่อยได้หรือยัง”
    “พี่”
    “อะไรอีก”
    “จูบได้หรือเปล่า”
    นี่ผมเมาจนประสาทการรับฟังผิดเพี้ยนไปหรือเปล่านะ
    “เป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
    “พี่”
    เขาเรียกผม ด้วยน้ำเสียงที่เว้าวอนกว่าทุกวันที่ผ่านมา
    “จูบได้หรือเปล่า”
    ผมรู้ว่าวันนี้เขาแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว ผมรู้ว่ามันไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้น ทว่า...
    “เราเมามากแล้ว ปล่อยก่อน เดี๋ยวจะไปเปลี่ยนเสื้อ”
    ผมที่พยายามจะหนี
    “นะครับ”
    แต่ดันกลับไม่ได้รับอนุญาตเอาซะเลย



    “อืม”






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in