เมื่อวันจันทร์ที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา เป็นเวลาเเห่งความยิ่งใหญ่ของวงการภาพยนตร์ Hollywood ไม่สิ พูดผิดไป ต้องพูดว่า ระดับโลกจะใช่กว่า เพราะเวที Oscar คือเวทีที่คนทั่วโลกต่างชื่นชอบเเละให้ความสนใจ เเละยิ่งไปกว่านั้นยังเป็น เวทีประกาศรางวัลภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมามากกว่า 93 ปี อีกด้วย ซึ่งเเต่ละปีก็จะได้รับความนิยมจากผู้ชมที่คอยเชียร์ภาพยนตร์เรื่องโปรดเเละน้กเเสดงที่ตนเองชื่นชอบ ทำให้เรตติ้งการได้ถอดสดพุ่งทยานสูงทุกปี เเต่น่าเสียดายที่ปีนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
เนื่องจากวิกฤตการเเพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้เวทีประกาศรางวัลอันทรงเกียรติทางภาพยนตร์หลายเวที ต้องหยุดชะงัก เเละเปลี่ยนเเนวการประกาศ เป็นออนไลน์เเทน เเต่สำหรับเวที Oscar มาเหนือกว่า จะไม่มีการประกาศรางวัลเเบบออนไลน์ เเต่จะต้องให้ผู้เข้าได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมารับรางวัลด้วยตนเอง ห้ามมีการส่งตัวเเทนในการรับเด็ดขาด โดยปกติเเล้ว สถานที่จัดงานของทุกปีจะอยู่ที่ โรงภาพยนตร์ดอลบีเธียเตอร์ เเต่ในปีนี้ได้กำหนดจัดขึ้น 2 สถานที่พร้อมกันคือ สถานีรถไฟยูเนียนสเตชั่น เเละดอลบี้เธียเตอร์ โดยสถานที่หลักจะอยู่ที่สถานีรถไฟยูเนียนสเตชั่น ซึ่งห้องขายตั๋วรถไฟเก่าถูกใช้เป็นสถานที่หลักสำหรับพิธีมอบรางวัล เเละงานออกเเบบงานสร้างสำหรับการประกาศครั้งนี้ ได้เเรงบันดาลใจมาจาก การประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 1 เมื่อปี ค.ศ 1929 ณ. โรงเเรม Hollywood Roosevelt ถึงเเม้ว่างานด้านโปรดักชั่นดีไซน์ในปีนี้จะค่อนข้างมีข้อจำกัดมากมาย เเต่งานก็ยังคงรักษามาตรการการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 หรือ Social Distancing
(สถานที่จัดงานหลัก: สถานีรถไฟยูเนี่ยนสเตชั่น)
(งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 1 ณ. โรงเเรม Hollywood Roosevelt)
เนื่องจากปีนี้นั้น การเเพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ส่งผลต่อการฉายภาพยนตร์เเละธุรกิจโรงภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ส่งผลให้ผู้จัดงานประกาศรางวัลออสการ์ ต้องเปลี่ยนเเปลงกฏการพิจารณาใหม่ ซึ่งระบุไว้ว่า “ ภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงในปี 2021 ไม่จำเป็นต้องถูกฉายในโรงภาพยนตร์” เเละได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ เเม้ว่าภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงจะไม่ต้องฉายในโรงภาพยตร์ เเต่ภาพยนตร์ที่เข้าชิงจะต้องเคยวางเเผนมาก่อนหน้านี้ว่าจะฉายในโรงภาพยนตร์ เเต่ต้องโดนเลื่อน เเละเปลี่ยนเเปลงเเพลตฟอร์มการฉาย” เเละด้วยเหตุนี้เองทำให้เราสามารถที่จะเข้าชมภาพยนตร์ที่เข้าชิงผ่านทาง เเพลตฟอร์ม Netflix เเละ Prime Amazon ได้ เเต่ก็ยังคงมีภาพยนตร์บางเรื่องที่ยังคงฉายในในโรงภาพยนตร์ตามเดิม
ซึ่งในปีนี้มีสาขารางวัลทั้งหมด 22 สาขา ดังนี้
1. Best Picture (สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
2. Best Director (สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม)
3. Best Actor (สาขานักเเสดงนำชายยอดเยี่ยม)
4. Best Actress (สาขานักเเสดงนำหญิงยอดเยี่ยม)
5. Best Adapted Screenplay (สาขาบทภาพยนตร์ดัดเเปลงยอดเยี่ยม)
6. Best Original Screenplay (สาขาบทภาพยนตร์ดัดเเปลงยอดเยี่ยม)
7. Best Supporting Actor (สาขานักเเสดงสบทบชายยอดเยี่ยม)
8. Best Supporting Actress (สาขานักเเสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม)
9. Best International Feature Film (สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม)
10. Best Production Design (สาขาการออกเเบบการผลิตยอดเยี่ยม)
11. Best Film Editing (สาขาตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
12. Best Sound (สาขาเสียงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
13. Best Score (สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
14. Best Visual Effects (สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม)
15. Best Make-Up and Hairstyling (สาขาเเต่งหน้าทำผมยอดเยี่ยม)
16. Best Original Song (สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
17. Best Cinematography (สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม)
18. Best Animation (สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม)
19. Best Animated Short Film (สาขาภาพยนตร์สั้นเเนวเเอนิเมชั่นยอดเยี่ยม)
20. Best Short Film (สาขาภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยม)
21. Best Documentary (สาขาสารคดียอดเยี่ยม)
22. Best Documentary Short (สาขาสารคดีสั้นยอดเยี่ยม)
สำหรับปีนี้ ภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงสาขา Best Picture มีทั้งหมด 8 เรื่อง คือ
1. The Father เข้าชิง 6 สาขา
2. The Trial of the Chicago 7 เข้าชิง 6 สาขา
3. Sound of Metal เข้าชิง 6 สาขา
4. Judas and the Black Messiah เข้าชิง 5 สาขา
5. Nomadland เข้าชิง 6 สาขา
6. Promising Young Women เข้าชิง 5 สาขา
7. Mank เข้าชิง 10 สาขา
8. Minari เข้าชิง 6 สาขา
เเละในปีนี้เองได้ชื่อว่า เป็นปีเเห่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เเห่งเวทีประกาศรางวัลอันทรงคุณค่าให้เเก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเเละเบื้องหน้าของภาพยนตร์ สาเหตุที่เรียกปีนี้เป็นปีเเห่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เพราะว่า ปีนี้เป็นปีที่ออสการ์ได้ตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องจากผู้คนทางด้านความหลากหลายของเชื้อชาติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ทั้ง ผู้หญิง คนผิวสี เเละคนเอเชีย ซึ่งจากรายชื่อผู้เข้าชิงนั้นสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้เฝ้ารอผลทั่วโลกที่ต่างเฝ้ารอกับการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพยานในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่บนเวที Oscar
ในที่สุดปีนี้ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับเวที Oscar อย่างเเท้จริง
สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ผู้ชนะคือ โคลเอ ฉาว ผู้กำกับหญิงชาวเอเชีย จากภาพยนตร์เรื่อง Nomadland ผู้สร้างประวัติศาตร์หน้าใหม่ให้กับเวทีออสการ์ด้วยการรับรางวัลสาขาผู้กำกับหญิงยอดเยี่ยม คนที่ 2 ต่อจาก เเคทเธอรีน บิโกโลว์ ผู้กำกับ The Hurt Locker เเละยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นผู้กำกับหญิงชาวเอเชียคนเเรก เเละเป็นชาวเอเชียคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ต่อจาก อังลี่ ผู้กำกับ Life of Pie เเละ บง จุน โฮ ผู้กำกับ Parasite
( โคลเอ ฉาว ผู้ชนะรางวัลสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 93 จากเรื่อง Nomadland)
เเละทางด้านสาขานักเเสดงสบทบหญิงยอดเยี่ยม ผู้ชนะคือ ยูน ยอ จอง จากภาพยนตร์เรื่อง Minari ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็นดาราเกาหลีหญิงคนเเรกที่ได้รับรางวัลสาขานักเเสดงสบทบหญิงยอดเยี่ยม เเละเป็นนักเเสดงหญิงชาวเอเชียคนที่ 2 ที่ได้รับรางวัลสาขา สมทบหญิงต่อจาก มิโยชิ อูเมกิ จากเรื่อง ซาโยนาระ ปี 1958 เเละเป็นนักเเสดงชาวเอเชียคนที่สามที่ได้รับรางวัลนักเเสดงสมทบ ต่อจาก Haing S.Ngor นักเเสดงชาวกัมพูชา จากเรื่อง The Killing Fields
(ยูน ยอ จอง นักเเสดงชาวเกาหลีใต้ ผู้ชนะรางวัลสาขานักเเสดงสบทบหญิงยอดเยี่ยม จาก Minari)
ทางด้านสาขานักเเสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ผู้ชนะคือ ฟรานเชส เเมคดอร์มานด์ จากเรื่อง Nomadland ผู้สร้างสถิติให้กับเวทีออสการ์ด้วยการรับรางวัลสาขานักเเสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ถึง 3 ครั้ง เป็นรอง นักเเสดงหญิงในตำนานเเห่งวงการ Hollywood เเคทเธอรีน เเฮปเบิร์น เพียงเเค่รางวัลเดียว เเต่การรับรางวัลของเธอในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าฝีมือทางด้านการเเสดงของเธอนั้นเป็นที่ยอมรับเเละไม่เป็นสองรองใครเลย
ทางด้านนักเเสดงนำชายยอดเยี่ยม ผู้ชนะคือ Anthony Hopkins จากเรื่อง The Father ซึ่งการรับรางวัลครั้งนี้ถือว่าสร้างความเห็นเเตกออกเป็น 2 ฝั่ง เพราะหลายคนคิดว่าทางฝั่ง Academy จะต้องมอบรางวัลให้กับ Chadwick Boseman จากภาพยนตร์เรื่อง Marainy’s Black Bottom ผู้ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้เเต่อีกฝั่งนึงก็คิดว่า Anthony Hopkins จะต้องได้รับรางวัลเเน่นอน เพราะฝีมือทางการเเสดงที่เขาได้ถ่ายทอดในเรื่อง The Father นั้นคือการเเสดงที่ทรงพลัง เเละยอดเยี่ยม จนในที่สุดผลที่ออกมาคือ Anthony Hopkins คือผู้ได้รับรางวัลไป ซึ่งรางวัลในครั้งนี้เป็นรางวัลนักเเสดงนำชาย ตัวที่ 2 ของลุงเเอนโธนี โดยครั้งเเรกลุงได้รับจากการรับบทเป็น ดอกเตอร์ ฮันนิบาล จากเรื่อง Silence of the lamps
โดยครั้งนี้ Anthony ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการเป็นผู้ชนะรางวัล Oscar สาขานักเเสดงนำชายยอดเยี่ยม ที่มีอายุมากที่สุด ในวัย 83 ปี เเต่เป็นที่น่าเสียดายที่ Anthony ไม่สามารถมารับรางวัลได้ด้วยตัวเอง เราจึงไม่ได้ฟังสุนทรพจน์ เเละ ชมการรับรางวัลด้วยท่าทีอันทรงพลังเหมือนตอนรับรางวัลในครั้งก่อน
(Anthony Hopkins จากการรับรางวัลสาขานักเเสดงนำชายยอดเยี่ยม จากSilence of the Lamps)
ส่วนทางด้านสตรีมมิ่ง Netflix สตรีมมิ่งภาพยนตร์ที่มีผู้คนรู้จักทั่วโลกก็ได้สร้างประวัติศาตร์หน้าใหม่ด้วยการเป็นเเพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่คว้ารางวัลไปกอดได้ ถึง 7 รางวัล 7 สาขา ดังนี้
1. สาขา Best Make-up and Hairstyling จากเรื่อง Marainy’s Black Bottom
2. สาขา Best Costume Design จากเรื่อง Marainy’s Black Bottom
3. สาขา Best Short Film จากเรื่อง Two Distant Strangers
4. สาขา Best Animated Short Film จากเรื่อง If anything happens love you
5. สาขา Best Documentary จากเรื่อง My Octopus Teacher
6. สาขา Best Production Design จากเรื่อง Mank
7. สาขา Best Cinematography จากเรื่อง Mank
ต้องขอยอมรับว่าปีนี้ Netflix โดดเด่นมากจริๆบนเวทีออสการ์นี้ก็อาจจะเป็นอีกข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ว่า สตูดิโอสตรีมมิ่งอย่าง Netflix ก็สามารถโดดเด่นเเละทำหนังดีๆออกมาให้ผู้ชมทั่วโลกได้รับชมเหมือนกับสตูดิโอยักษ์ใหญ่ต่างๆ ใน Hollywood ได้เช่นกัน
ส่วนทางด้านรางวัล Best Animation ผู้ชนะคือ Soul ตามที่ทุกคนคาดเอาไว้ ซึ่งการรับรางวัลในครั้งนี้ได้สร้างประวัติศาตร์หน้าใหม่เเก่รางวัลแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ เพราะ Soul เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นจากสตูดิโอแอนิเมชั่น Pixar ที่กวาดรางวัลในสาขานี้เป็นรางวัลที่ 12 ซึ่งถือว่าเป็น สตูดิโอแอนิเมชั่นที่ได้รับรางวัลเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งชนะ สตูดิโออันโด่งดัง อย่าง Disney เเละ Dreamwork ไปได้ตั้งเเต่มีการเเจกรางวัลมาตั้งเเต่ปี 2001
(ภาพจาก แอนิเมชั่น เรื่อง Soul ผู้ชนะสาขาแอนิเมชั่นยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 93)
จากที่กล่าวไปนั้นยังเป็นเพียงเเค่ส่วนหนึ่งที่เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเวที่ Oscar ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่เรานำมาพูดได้ต่อไปเเบบไม่รู้จบ ซึ่งการประกาศรางวัลในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยิ่งใหญ่เเห่งการมอบรางวัล Oscar ครั้งที่ 93 เเละเป็นปีที่ผู้คนจะต้องจดจำเเละพูดถึงไปอีกนานเเสนนาน เเต่เป็นที่น่าผิดหวังที่ถึงเเม้ปีนี้จะเป็นปีเเห่งความยิ่งใหญ่มากเเค่ไหน เเต่ปีนี้ก็เป็นปีเเห่งความน่าผิดหวังเเละอาจจะเป็นปีเเห่งการเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากปีนี้ยังคงอยู่ในสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้การประกาศรางวัลออสการ์ในครั้งนี้จัดไม่ยิ่งใหญ่เท่าที่ควร ส่งผลให้เรตติ้งการประกาศรางวัลนั้นตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาตร์โดยมีผู้ชมการถ่ายทอดสดการประกาศรางวัลเพียงเเค่ 10.4 ล้านคนเท่านั้น เเละอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนทั่วโลกเเละตัวเราเป็นอย่างยิ่ง คือ การประกาศรางวัล Best Picture ก่อนรางวัล Best Actress เเละ Best Actor ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ร่วมงานเเละผู้ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลก ทั้งที่ความเป็นจริง รางวัล Best Picture ควรจะเป็นรางวัลปิดท้าย เเละเป็นการกล่าวสุทรพจน์เพื่อเป็นการปิดงานให้ยิ่งใหญ่ เเต่เป็นที่น่าผิดหวังที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เเม้เเต่รางวัลสุดท้ายที่ประกาศ คือ รางวัล Best Actor เเอนโธนี ฮอปกิ้น ไม่สามารถมารับรางวัลได้ ทำให้งานประกาศรางวัลนั้นจบลงเเบบไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ ซึ่งอาจส่งผลให้การประกาศรางวัลในปีนี้เป็นปีที่ยิ่งใหญ่เเห่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เเละเป็นปีที่น่าผิดหวังในประวัติศาตร์เช่นกัน
เเล้วทุกคนละครับมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างสำหรับงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 93 ในครั้งนี้
สามารถเเสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in