เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
กบฏไร้เดียงสาccttiana
20 ฝันร้ายที่สมจริง (2/2)
  • เกรเทลเริ่มรู้สึกตัวหลังจากเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทว่ารอบตัวของเธอตอนนี้กลายเป็นถนนสองฝั่งที่มีเกาะกลางถนนเป็นต้นไม้และพุ่มไม้เล็ก ๆ เรียงราย

    นอกจากนี้ยังมีร้านค้าต่าง ๆ ทยอยเปิดไฟให้สว่างไสวในช่วงยามเย็น ผู้คนมากมายต่างทยอยเลิกงานกำลังเดินสวนกันไปมาจนน่าเวียนหัว

    มันเป็นสถานที่ดูคุ้นตามากสำหรับเกรเทล พอผ่านไปสักพักเมื่อเธอประมวลผลเสร็จถึงรู้ว่าที่นี่คือแถวละแวกร้านกาแฟที่เธอและเฮลก้ามักนัดมาเจอกันเสมอ

    “หนูเหนื่อยอ่ะพี่ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไรแต่มันเหนื่อยอ่ะ”

    เสียงหวานคุ้นหูเรียกความสนใจให้คนอย่างเธอจำต้องหันไปมองยังทิศทางของเสียง ซึ่งมันคือฝั่งตรงข้ามถนนที่เธอยืนอยู่นั่นเอง

    เกรเทลขมวดคิ้วแน่นกับภาพตรงหน้าที่เธอกำลังมองเห็นในขณะนี้ เด็กสาวผมสีบลอนด์ตัดสั้นกำลังยืนอยู่ริมถนนตรงป้ายรถเมล์ปะปนกับผู้คนที่มายืนรอรถเช่นกัน

     

    …นั่น…มันฉันไม่ใช่หรือไง….

     

    ไม่ผิดแน่เด็กสาวที่ยืนถือโทรศัพท์คือเธอแน่นอน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากระทั่งการแต่งกายล้วนเป็นสไตล์ที่เธอชื่นชอบ ดูเหมือนว่าในมือของเธอกำลังถือโทรศัพท์คุยกับใครบางคนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    เกรเทลรีบหันกลับมามองที่ตัวเองอีกครั้ง จึงพบว่าสภาพร่างกายของตนดูโปร่งแสงใสจนมองทะลุผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

     

    …เรื่องบ้าอะไรเนี่ย? …

     

    แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะมีตัวเธอสองคนอยู่ที่นี่ เกรเทลตื่นตระหนกจนมือสั่น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะถ้าเธอตายแล้วก็ไม่น่าจะมาเห็นตัวเองยืนอยู่ได้สิ

    กระทั่งเสียงหวานจากฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นอีกครั้งทำให้เธอต้องเงยหน้าหันกลับไปมอง

    “ชีวิตหนูเหมือนไม่ใช่ชีวิตหนู หนูแค่อยากได้ชีวิตหนูแค่นั้นเอง”

    ‘…’

    แม้จะยืนห่างกันหลายเมตรแต่เธอก็ได้ยินเสียงพูดของตนเองเหมือนยืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม จนต้องเพ่งสายตามองดูอีกครั้งว่าเธอไม่ได้หูฝาดไป

    เสียงคนในสายคือพี่ฮันเซล

    “ตลอดหลายปีมานี้หนูพยายามทำตามที่ป๊าบอกแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าชีวิตเราไม่ลองทำอะไรเลยมันก็จะเอาตัวไม่รอด เรื่องนี้พี่รู้ดีกว่าใครนะ”

    ตอนนี้เกรเทลยืนอยู่ถนนฝั่งตรงกันข้าม พลันหัวสมองนึกออกแล้วว่าวันนั้นเธอทะเลาะกับป๊าเรื่องแฟนแล้วต่อด้วยพี่ชายตนเอง เธอน้อยใจกับความไม่มีเหตุผลของคนทั้งคู่จึงแสดงออกด้วยทีท่าต่อต้านเอาแต่ใจ

    “หนูน่ะ…”

    เธอเห็นเด็กสาวตรงหน้าเอามือปาดขอบตาที่เริ่มมีน้ำใสซึมออกอย่างลวก ๆ เกรเทลรู้สึกว่าขอบตาตนเองมีน้ำไหลออกมาด้วยเช่นกัน

    ไม่รู้ว่าจะห้ามความรู้สึกพวกนี้ได้อย่างไรเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มทะลักปริแตกเอ่อล้นออกมาทีละน้อย

    “หนูน่ะอิจฉาพี่มากเลยรู้ตัวไหม”

    ยิ่งฟังไปเรื่อย ๆ เธอยิ่งรู้สึกไม่ดีจึงตัดสินใจที่จะข้ามไปถนนฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อพอจะก้าวขาออกไปไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ก้าวขาไม่ออกเสียที เหมือนกับว่าขาถูกยึดติดอยู่กับพื้นแน่นเหมือนรากต้นไม้ใหญ่

     

    …ทำไมขาฉันขยับไม่ได้…

     

    ไม่ว่าเกรเทลจะพยายามดึงขาตนเองหรือขยับมันอย่างรุนแรงเพียงใด เธอก็ไม่สามารถก้าวขาออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว

    “พี่ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่มีใครกล้ามารังแก ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงจนเกินไปเหมือนผู้หญิง อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ”

    ‘เกรเทลพี่…’

    เธอได้ยินเสียงพี่ฮันเซลพูดอยู่ข้างหูอย่างชัดเจน ทั้งที่เขาอยู่ในสายโทรศัพท์ห่างไกลจากตัวเธอในตอนนี้มากนัก หัวใจเริ่มบีบแน่นกว่าเดิมความรู้สึกต่าง ๆ เริ่มตีตื้นขึ้นมาคับคอ เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาเพื่อหายใจ

    “พี่ฟังนะผู้หญิงนะไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจหรอกและหนูก็รู้ด้วยว่าผู้ชายก็ไม่ได้สบายเช่นกันต่างคนต่างมีความยากไม่เหมือนกัน”

    ‘…’

    “พี่ก็พยายามในส่วนของพี่ หนูก็พยายามในส่วนของหนู”

    ทั้งหมดนี้คือภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก่อนวันที่เธอจะตื่นขึ้นมาในโลกใหม่ ภายในอกเหมือนกำลังถูกฉีกออกมาทีละนิดทีละน้อย ความทรงจำที่ก่อนหน้านี้นึกไม่ออกค่อย ๆ เปิดประตูแง้มเผยให้เห็น

     

    …พี่ฮันเซล…

     

    ความโศกเศร้าถาโถมเข้าใส่เหมือนพายุจนข้างแก้มเปียกชื้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงหยุดความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เลย มันเริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสายตาพร่าเลือน

    “ดูงี่เง่าเนอะพี่ที่หนูพูดแบบนี้ แต่ถ้าหนูไม่พูดออกมาคงอึดอัดจนขาดใจตายเข้าสักวัน”

    “หนูไม่รู้หรอกว่าพวกพี่คิดยังไง แต่หนูเบื่อแล้วนะ…ฮึก”

    ร่างโปร่งใสยกมือลูบหน้าตนเองอย่างหมดแรง สายตายังคงจับจ้องเฝ้ามองตรงไปยังเด็กสาวฝั่งตรงข้าม ฟังบทสนทนาที่เธอไม่มีทางเข้าไปแทรกได้

    ‘พี่มีเหตุผล’

    “เหตุผล? พอเถอะพี่ฮันเซล ตอนนี้หนูไม่พร้อมฟังคำแก้ตัวหรือข้ออ้างของใครทั้งนั้น”

    เธอส่ายหัวไม่เข้าใจสถานการณ์ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมเธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ทำไมต้องมาเห็นภาพที่เธอจำได้เพียงเลือนราง เหมือนเด็กน้อยที่ทำชิ้นส่วนจิ๊กซอว์หายไปสองสามชิ้นจนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่เต็มที่

    ‘เกรเทลฟังพี่ก่อน’

    หลายครั้งที่ปากพยายามตะโกนเรียกชื่อตนเองจากฝั่งตรงข้าม แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามตะโกนพูดเสียงดังออกไปเท่าไร ล้วนไม่มีเสียงเธอออกมาแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเจ้าต้องการเพียงให้เธอเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น

    หูยังคงได้ยินเสียงพี่ชายที่เหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ซึ่งเด็กสาวที่ยืนถือโทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามกลับไม่รับฟังมันแม้แต่น้อย เกรเทลไม่อยากเห็นภาพนี้แล้วทำไมมันถึงได้ปวดใจขนาดนี้ก็ไม่รู้

    ทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่ยอมฟังสิ่งที่พี่ชายจะบอก ทำไมเธอทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลแบบนี้

    “พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้หนูขออยู่คนเดียว”

     

    …ไม่! หยุดนะ...

     

    เกรเทลตะโกนร้องเรียกภายในใจทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน เธอไม่คิดว่าตนเองจะงี่เง่าได้ขนาดนี้จนอยากวิ่งเข้าไปตบกบาลตนเองให้จบ ๆ ไป มือบางขยุ้มหัวและขยี้ผมบนศีรษะตัวเองด้วยความหงุดหงิด

    พี่ชายกำลังจะบอกอะไรกับเธอกันแน่

    เธอในตอนนั้นเหมือนคนไม่มีสติไม่ฟังอะไรเลยสักอย่าง เอาแต่ยืนตัวสั่นอดทนอดกลั้นร้องไห้เงียบ ๆ หน้าป้ายรถเมล์ท่ามกลางผู้คนที่ทยอยออกมารอรถเหมือนกัน

    แต่ไม่นานความทรงจำที่ขาดหายไปก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางของมัน เกรเทลเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น

    แสงจ้าที่สาดเข้ามายังจุดที่ตัวเธอยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์เนื่องจากความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน เด็กนักเรียน นักศึกษา มนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเลิกงานต่างไม่ทันได้เตรียมตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน

    ‘เกรเทลพี่แค่…’

     

    โครม! เคร้ง!

     

    เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินแจ่มชัดที่สุดนอกจากเสียงพี่ชายในสายก็คือเสียงกรีดร้องของตัวเธอเอง

    มือบางสั่นเทายกขึ้นปิดปากกับภาพที่รถบรรทุกพุ่งเข้าชนกวาดเอาผู้คนทั้งหมดที่ยืนอยู่บริเวณนั้นกระเด็นกระจัดกระจายไปไกลด้วยความแรง

    ตัวเธอที่ยืนชิดติดริมถนนมากจนเกินไปจึงโดนหน้ารถบรรทุกชนเข้าอย่างเต็มแรงเป็นคนแรก ตามมาด้วยเหล่าผู้คนที่ยืนรอรถเมล์ตามลำดับ ภาพของเหล่าผู้บาดเจ็บสาหัสมีเลือดไหลติดตาเกรเทล ร่างบางไม่คาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้มาเห็นสถานการณ์ชวนขนลุกเกิดขึ้นตรงหน้า

    แข้งขาอ่อนแรงล้มลงไปนั่งที่พื้นน้ำตาไหลเต็มหน้า มือไม้สั่นรุนแรงเพราะทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นแรงมากจนหายใจไม่ออกเหมือนว่าตนเองกำลังตายจริง ๆ

    ทว่าพอเหลือบหางตามองไปยังร่างตนเองที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงริมฟุตบาทใกล้ ๆ กับเสาไฟฟ้า สภาพโชกเลือดทั้งตัวแขนขาหักผิดรูปจนน่าสยดสยอง ข้าวของกระจัดกระจาย มือถือตกอยู่ไม่ห่างจากตัว

    เสียงฮันเซลที่เอาแต่ตะโกนเรียกชื่อเธอดังออกมาจากสายโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นระยะ เขาดูตกใจและกระวนกระวายมากที่สุด แม้ว่าเขาจะเรียกเธอมากแค่ไหนก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับอยู่ดี

    “ฮึก…”

    เกรเทลปล่อยร้องโฮทันที ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยกเสียงแหบเสียงแห้ง ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงเริ่มรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่

    งั้นแสดงว่าวิญญาณเธอหลุดออกมาจากร่างเดิมแล้วใช่ไหม เธอจะไม่มีโอกาสได้กลับไปหาพี่ชายอีกแล้วใช่ไหม หรือแม้แต่กลับไปหาป๊าและแม่

    คำถามก่อเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนจนปวดหัว มันตีรวนสับสน สภาพจิตใจพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันสมจริงมากเกินไป เธอไม่อยากจะเชื่อแต่สัญชาตญาณกู่ร้องดังว่ามันคือเรื่องจริง

    จากนั้นภาพก็ตัดดำมืดจนมองอะไรไม่เห็น เธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม น้ำตายังคงรินไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ

    “ทำไมกัน…ฮือ”

    “หนูทำอะไรผิด…”

    “ฮึกหนูขอโทษ”

    เกรเทลเอาแต่กล่าวโทษตัวเองซ้ำวนไปวนมาไม่หยุด ขดตัวโอบกอดตนเองให้ได้มากที่สุด

    “พี่ฮันเซล ป๊า แม่คะ”

    หนึ่งในคำภาวนาที่เธอขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาเธอจะได้เจอพี่ชายที่คอยดูแลเอาใจตามใจ ป๊าที่วัน ๆ เอาแต่บ่นเธอว่าเธอไม่ค่อยสนใจเขา หรือแม่เบลที่มักคอยถามไถ่เธอว่าเหนื่อยไหมหิวข้าวหรือยัง

    ขอไม่ให้มันเป็นเรื่องจริง ขอแค่พระเจ้าเล่นตลกกับเธอ เธอเริ่มหายใจไม่ทันจนเจ็บหน้าอกไปหมด

    ไม่รู้ว่าร้องไห้มานานแค่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เป็นนรกหรือสวรรค์ รอบด้านยังคงมืดสนิทจนมองไม่เห็นมือตนเอง เธอจะเดินไปทางไหนก็ไม่กล้าลุกไป

    มนุษย์มักกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น

    “ไม่เป็นไร”

    แว่วเสียงเบาบางเหมือนลอยมาตามสายลม เพียงแค่คำสั้น ๆ ไม่ได้สำคัญอะไรกลับปลอบประโลมจิตใจชโลมให้ชุ่มชื่นกลับมา

    หยาดน้ำตาที่เคยรินไหลอย่างห้ามไม่ได้ค่อย ๆ หยุดลงเพราะเสียงที่เธอได้ยิน

    “ฮึก”

    “เจ้าจะไม่เป็นอะไร”

    ไออุ่นบางอย่างสัมผัสลงมาบนเส้นผมอย่างนุ่มนวล เกรเทลอยากรู้ว่ามันคืออะไรจึงพยายามลืมตาขึ้น

    สิ่งที่ปรากฏมันช่างเป็นภาพที่เบลอเลือนรางเหมือนถูกหมอกหนาบดบังไม่แจ่มชัดเช่นปกติ อาจจะเพราะหยาดน้ำตาหรือสติสัมปชัญญะที่ขาด ๆ หาย ๆ ของเธอเอง

    เมื่อเห็นไม่ชัดเธอจึงพยายามเพ่งมองไปยังตรงหน้าแต่เปลือกตาของเธอมันช่างหนักเหลือเกิน ส่วนฝ่ามือบางที่เคยเย็นบัดนี้กลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

    “ข้าจะอยู่กับเจ้า”

    ทว่าสิ้นเสียงคำพูดนั้นก้อนหินที่เคยกดทับตัวเธอได้ถูกยกออกจนหายใจได้ดีขึ้น แทนที่ด้วยความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่

    “ทุกอย่างจะดีเอง”

    ขณะนี้เธอรู้แค่ว่ารู้สึกปลอดภัย เธอหยุดร้องไห้ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มั่นใจและไออุ่นยังคงอยู่กับเธอไม่ห่างไปไหน ไม่ว่าจะแรงบีบน้อย ๆ ที่ฝ่ามือ สัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก หรือคำพูดไม่กี่คำส่งผลให้เธอสงบลงได้

    “เจ้าพักได้แล้ว”

    ในที่สุดภาพทุกอย่างก็ถูกตัดไปเหมือนม้วนหนังเรื่องหนึ่งที่รอเวลาคนมาเปลี่ยนม้วนฟิล์มใหม่ให้ แว่วเสียงที่อ่อนโยน สัมผัสที่หวานละมุน ชโลมความบอบช้ำที่แตกสลายให้กลับมายืนหยัดได้

    แม้มันจะต้องใช้เวลาประกอบขึ้นมาใหม่ แต่เกรเทลรู้สึกได้ว่ามันจะไม่เป็นไรอย่างที่เธอได้ยินจากเสียงที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป

     

    ------

    กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ

    หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ

     

    Talk with writer

    พล็อตตลาดมากจนแบบเขียนลบเขียนลบหลายรอบแต่ก็เขียนไปแล้ว ฮ่า ไม่เป็นไรนะคะคุณรี้ดปล่อยจอยกับฉากนี้ สัญญาว่าเรื่องหน้าเราจะเขียนแนวทะลุมิติแบบใหม่ ๆ แปลก ๆ ให้ได้ค่ะ และวันนี้ไรต์ขอแวะมาแจ้งข่าวดีและข่าวร้ายด้วยค่ะ

     

    แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่

    Facebook : C.T.Tiana

    X (Twitter) : @Ccttiana

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in