เรื่องมันเริ่มมาจากเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว...วันที่ทำงานวันสุดท้ายของปี 2560 นั่นแหละ เราเอาหนังสือ depression diary ให้หัวหน้า หวังจะให้หัวหน้าอ่าน หวังลึกๆ ว่าจะให้หัวหน้าเข้าใจ หัวหน้ารับไปแล้วถามเราว่าเอาให้เค้าทำไม
“ก็วันก่อนบอสถาม ก็เลยเอามาให้อ่าน”
หัวหน้าอ่านปกดูแล้วก็บอกเราว่า ขอบคุณ ...แล้วเราก็กลับบ้าน
วันนี้ทำงานวันแรกหลังจากหยุดยาว 5 วัน ไปทักหัวหน้าตอนเช้าก็เห็นหนังสือเล่มที่เราให้วางอยู่บนโต๊ะหัวหน้า หัวหน้าเห็นเราก็ยื่นหนังสือให้ บอกว่าอ่านจบแล้ว แล้วก็ขอบคุณเราอีกรอบ
“บอสอ่านด้วยหรอ... นึกว่าจะไม่อ่านซะอีก”
“อ่านสิ เจนให้ผมมาผมก็อ่านจบคืนนั้นเลย”
หลังจากนั้นตอนสาย เราก็ออกไปประชุมกับหัวหน้า ไปกันสองคน ตลอดทางหัวหน้าขับรถโดยไม่พูดถึงหนังสือเล่มนั้นหรือความป่วยของเราเลย ไปถึงที่ประชุม เข้าประชุม ประชุมเสร็จ หัวหน้าก็ขับรถกลับเงียบๆ ...แล้วก็เป็นเราที่ทนไม่ไหวซะเอง
“บอสอ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้วไม่หลอนเจนใช่มะ”
“ทำไมอ่ะ ...ก็ไม่หนิ”
“...”
“ผมอ่านแล้วผมรู้สึกว่าผมเคยเป็นนะ ตอนนั้นผมเจอเรื่องแย่มากๆ ผมก็รู้สึกทำนองนี้ อยากตาย ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร”
“...”
“เจนเครียดเรื่องอะไร บอกผมได้นะ”
“...” เราเริ่มน้ำตาซึม ในใจก็คิดว่าหัวหน้าพูดงี้อีกแล้ว หัวหน้าไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด
“ที่รู้สึกว่าเป็นเอเลี่ยน เป็นตัวประหลาดนี่ เจนรู้สึกแบบนั้นไหม”
“ใช่”
“เจน ทุกคนก็มีความไม่ปกติกันทั้งนั้น แค่เราคิดไม่เหมือนคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเราเป็นตัวประหลาดหรือเป็นบ้านะ เจนไม่ได้แปลกประหลาดไปจากคนอื่เลยนะ”
“แต่เจนก็ไม่ได้เป็นหนักขนาดเค้าใช่ไหม”
“ยัง”
“ก็ยังดีนะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“อื้อ” ปาดน้ำตาจนรองพื้นจะหลุดหมดละ
“แล้วหมอนัดเจนยังไง นานมั้ย”
“ตอนนี้นัดเดือนนึงละ”
“แล้วนี่หมอก็ให้กินยาไปเรื่อยๆ หรอ”
“อือ เคยหยุดยาแล้วมันกลับมาเป็นหนัก”
“ผมว่าหลักๆ เจนต้องเปลี่ยนวิธีคิดตัวเองด้วยนะ ยามันไม่สามารถช่วยเจนไปได้ตลอดหรอก ยามันแค่คุมอาการไว้เท่านั้น”
“มันมีเหตุผลที่เจนเป็นนะ ผมว่าผมพอจะรู้ว่าเจนเป็นเพราะอะไร เจนเจอเรื่องแย่ๆ มาตอนเด็ก ทั้งๆ ที่เด็กไม่สมควรเจอเรื่องอะไรแบบนั้น—“
โอยยยยยยยย
“—ผมอ่านแล้วผมก็ยังรู้สึกโกรธพ่อเจนอยู่เลยที่ส่งเจนไปอยู่โรงเรียนประจำ ไม่ควรเลย มันทำให้เจนรู้สึกโดดเดี่ยวเข้าไปอีกใช่ไหม”
เราพยักหน้าแล้วก็พยายามอย่างมากที่จะไม่สะอื้น คือร้องไห้จนหายใจไม่ทันแล้วอ่ะตอนนั้น กราบหัวหน้าที่รถติดฟิล์มมืด กราบบบบบ
“ถ้าเจนไว้ใจผม เจนคุยกับผมได้นะ บอกผมได้หมด เรื่องที่ไม่สบายใจ ผมก็เห็นเจนเป็นลูกเป็นหลาน ไม่สิ ผมมองว่าเจนก็เป็นเหมือนลูกของผมคนนึง—“
โอ๊ยยยย บอสสสสส
“—หลายๆ ครั้งผมก็อยากจะถามเจนนะว่ามีอะไร หรือไม่สบายใจอะไรรึเปล่า แต่ผมก็กลัวว่ามันจะเป็นการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเจน ผมเลยไม่กล้าถาม”
เชี้ยยยยยยยยย
“เจนบอกเรื่องพวกนี้กับพ่อมั่งมั้ย”
“ไม่อ่ะ”
“ผมว่าถ้าเจนเปิดใจกับพ่อมันอาจจะดีขึ้นนะ...”
“...”
“แล้วหมอจิตล่ะ เจนบอกเค้าไหม”
“บอก ...บางเรื่อง”
“อ่าว ทำไมไม่บอกให้หมดล่ะ”
“...”
“บอกหมอไปเถอะ อย่างน้อยเจนก็ได้ระบายนะ”
นี่ย้อนไปคิดถึงวันที่เราสติแตกแล้วพรั่งพรูทุกอย่างใส่น้องที่ทำวิจัย ถามว่าเราสบายใจขึ้นไหมวันนั้น ไม่เลย กลับรู้สึกอับอายด้วยซ้ำ เฮ้อ
...แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่อง เพราะหัวหน้าบอกจะไปประชุมต่ออีกที่ เราเลยไม่อยากพูดต่อ เราต้องหยุดร้องไห้ก่อนถึงที่ประชุม แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องลงจากรถไปพบโลกทั้งที่ตาแดงๆ สูดขี้มูกไปด้วยอีก สวยมากเลยค่ะวันนี้ สวยมากจริงๆ
สุดท้ายนี้ เจนก็ต้องขอขอบคุณอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เจนขี้เกียจปัดมาสคาร่าเมื่อเช้านี้นะคะ ขอบคุณค่ะ
แต่มันไม่เคยง่ายเลย
โชคดีที่คลินีิคที่ตัวเองปรึกษาค่อนข้างเน้นความเป็นส่วนตัวของคนไข้ บางเดือนไปคอนเซาท์คือน้ำตาแตกกันตั้งแต่ประโยคแรก บางเดือนไปก็เริ่มเรื่องแพนิค วิตกกังวล บางเดือนหอบปัญหาไปให้หมอช่วยแก้ด้วยนะ ทำไงจะรับมือมันได้เยี่ยมกว่านี้
อ้อ หมีเป็น perfectionism ที่ย้อนแย้งน่ะค่ะ เป็นะวกอยากสมบูรณ์ แต่ไร้ความสามารถ มันเลยดิ่งกับความคาดหวังของตัวเองซ้ำซาก