วันนี้มีนัดกับหมอจิต
“เป็นไงมั่งครับ ดีขึ้นมั้ย”
นี่คือประโยคแรกที่หมอจิตทักในทุกๆ ครั้งที่มีนัดกับนาง ช่วงแรกที่ไปหา คำตอบของเราก็จะแตกต่างกันไป แล้วแต่ยาที่กิน แต่โดยสรุปแล้วคือดี จนสุดท้ายหมอให้หยุดยา ซึ่งเราก็เขียนไปหมดแล้วในตอนเก่าๆ
ตั้งแต่ไปหาหมอรอบสอง (ช่วงหลังจากหยุดยา) คำตอบของเราต่อคำถามของหมอจะเหมือนกันทุกครั้งคือ ไม่โอเคเลยค่ะ ไม่ดีขึ้นเลยค่ะ หนูยังเบื่อเหมือนเดิม มันจะมาแนวนี้ทุกครั้ง และวันนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่หมอทักทายอย่างกระตือรือร้นด้วยคำถาม เราก็ทำปากคว่ำใส่หมอแล้วก็ส่ายหัวเบอร์แรง แต่หมอก็ดูจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นะ แปลก หมอคงชินกับอะไรแบบนี้แล้วล่ะมั้ง
หมอให้เราอธิบายสิ่งที่เรารู้สึก ว่าที่บอกว่าไม่ดีขึ้นเนี่ย มันเป็นยังไง เรารู้สึกยังไง เราก็บอกไปว่า ตื่นมามันก็ยังอึนๆ (หมอเข้าใจคำว่าอึนด้วยค่า) ระหว่างวันก็เบื่อ หงุดหงิด รู้สึกไม่อยากยิ้ม ไม่อยากหัวเราะ ไม่ค่อยมีอะไรตลก จะออกแนวรำคาญซะส่วนใหญ่ แล้วก็ยังรู้สึกอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่เหมือนเดิม หมอก็ถามว่า มันน้อยลงมั่งมั้ย ไอ้ความรู้สึกพวกนั้นน่ะ เราก็บอกว่าไม่ ถ้าเทียบกับคราวที่แล้วคือมันไม่ได้ลดลงเลย ถึงตรงนี้หมอถึงจะเริ่มมีอาการแปลกใจ
หมอถามถึงความเครียดของเรา เราก็พูดเรื่องที่เรารู้สึกกดดันที่เราหลังพังแล้วมันไปกระทบกับงาน ทำให้ทำงานได้ไม่ดี หมอก็จดๆๆ มันก็เรื่องเดิมๆ ไม่รู้หมอจะจดทำไม นี่ก็งง แต่ก็ขี้เกียจถาม
แล้วหมอก็ถามเรื่องการนอน นอนได้มั้ย นอนกี่โมง ตื่นกี่โมง เราก็ตอบๆ ไป แล้วก็บอกหมอเพิ่มไปด้วยว่า ยานอนหลับที่หมอให้มามันกินได้ผลแค่ช่วงแรกๆ พอกินไปสักพักมันจะไม่ง่วงเลย หมอก็รับฟังไป ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ อะไรวะ อุตส่าห์นึกออก หมอนี่!
สรุปวันนี้ก็ปรับยาอีกรอบ ลด escitalopram ลงเป็นวันละ 1 เม็ดยามเช้าเหมือนแต่ก่อน เพิ่มยาใหม่ให้เป็น lithium วันละเม็ดก่อนนอน แต่เดี๋ยวก่อนจ้า อย่าคิดนะจ๊ะว่าจะรับยาใหม่มากินแบบแฮปปี้ๆ หมอเตือนมาเป็นชุดเลยกับยาใหม่ ตั้งแต่ผลข้างเคียงที่กินแล้วอาจจะมึนหัว เวียนหัว
“…ในบางคนนะ ในบางคน' หมอย้ำ
วิธีแก้คือ ให้กินหลังอาหาร อย่ากินตอนท้องว่าง แต่หน้าซองดันเขียนว่า ‘ยานี้อาจทำให้ง่วงซึม’
...มันดูสับสนมะ หรือเราคิดไปเอง?
ยังค่ะ ยังไม่หมด หมอบอกด้วยว่าข้อเสียของยานี้คือ
“หนึ่ง” พร้อมนับนิ้วประกอบ “ห้ามกินตอนตั้งครรภ์”
แหม หมอก็รู้ว่าหนูไม่มีแฟน ไม่เห็นต้องบอกเลยอันนี้ เมื่อไหร่ที่มนุษย์โลกท้องกับแทมพอนได้ค่อยมาเตือนหนูนะหมอนะ
“และสอง” หมอพูดต่อ พร้อมนับนิ้ว “กินยานี้ติดต่อกันนานๆ ค่าตับไตอาจจะขึ้น ต้องไปตรวจทุกปีนะ…”
อันนี้ก็ไม่มายด์ค่ะ เพราะยังไงก็ตรวจสุขภาพทุกปี ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่
“...แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ไม่ได้กะจะให้กินยานี้ไปตลอด”
นี่เราควรจะเข้าใจหมอมั้ย หรือควรจะปล่อยให้มันงงๆ แบบนี้ อยากหายงงอ่ะ แต่ก็ขี้เกียจถาม หมอดูไม่อยากตอบ เราก็ไม่อยากฟังแล้วด้วย ก็ช่างเหอะ
หมอบอกว่ายาใหม่ที่ให้มามันใช้รักษาคนเป็นไบโพลาร์ เราก็เหวอดิ อ่าว นี่กูเป็นไบโพลาร์หรอ เมื่อกี้ก็ไม่ได้บอกหมอไปนะว่าเราอารมณ์ดีผิดปกติหรืออะไรแนวๆ นั้น หน้าเราคงเหวอชัดเจน หมอเลยบอกว่า “ไม่ๆ ยานี้มันใช้รักษาซึมเศร้าได้เหมือนกัน ไม่ต้องตกใจ”
ตกใจไปแล้ว หมอออ หนูตกใจไปแล้ววววว
เราถามหมอว่ายาที่หมอให้มันกินกับ ultracet ที่หมอออโธให้ได้มั้ย หมอก็บอกว่าได้ ไม่เป็นไรหรอก แล้วเราก็นึกออกว่าอียา ultracet นี่มันทำให้เราดีด เราเลยบอกหมอ (ค่ะ หมอจิตเข้าใจคำว่าดีดด้วยค่ะ) หมอได้ยินแล้วก็ขำ
“มันคึกคัก แบบมีเรี่ยวมีแรงใช่มั้ย” หมอถาม
เราก็ เออออออ งั้นเลย หมอก็ขำใหญ่ ขำไรวะ งง นี่ถ้าบอกว่ารู้สึกดีดจนอยากจะไปปีนเสาไฟฟ้านี่หมอจะยังขำอยู่มั้ย ตลกจริง
หรือว่าเราเป็นคนตลก เราหาหมอออโธทีไร หมอกับพยาบาลก็จะขำเราตลอด ไม่รู้ขำอะไรกัน นี่หมอจิตก็มาขำเราอีก ขำอะไรกันนักหนา นี่เป็นซึมเศร้านะ ไม่ได้เป็นตลก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in