เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Earwormfray_04
ประสบการณ์Eargasm หูฟัง และ หลังเปียก Damien Rice Live in Bangkok 2016
  • อิพี่ข้าวแม่งบ้าไปแล้ว! 

    คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิด หลังจากได้ดูการเล่นสดเพลง It takes a lot to know a man เพลงสุดท้ายใน setlist ก่อนจะมีอังกอร์ และเมื่อโชว์จบลงไปแล้ว เราก็ยังขอยืนยันคำเดิมว่าชายคนนี้บ้าไปแล้ว He is insane, insanely good. จริงๆ ให้ตายสิ 

    ขอสารภาพว่าตอนได้ยินข้าวว่าพี่ข้าวจะมาเปิดคอนเสิร์ตที่ไทย เรานี่สติแตกไปเลย แล้วยิ่งได้ยินว่าพี่มาแบบไม่มีสปอนเซอร์ ดังนั้นบัตรมีน้อย เรายิ่งหวั่นใจว่าจะได้ตั๋วมาไหม แต่ในที่สุดก็ได้อะนะ (แหงสิ ไม่งั้นแกจะไปดูยังไง) 

    ความคิดเราตอนที่ตัดสินใจซื้อตั๋วพี่ข้าวเนี่ย เพราะความอยากฟังดนตรีสดล้วนๆ เพลงของพี่แกที่เราร้องตามได้เป๊ะๆก็มีแค่เพลงเดียว ใช่แล้ว เพลง The Blower's Daughter ที่ประกอบเรื่อง Closer นั้นแหละ 
    แล้วบัตรพี่ถูกสุดคือ 1,000 เราเลยตัดสินใจว่าเอาแค่เนี่ยแหละ ไปนั่งหลับตา ใช้หูฟังให้พี่เขาขับกล่อมลำนำความโศกตามแบบฉบับชาวไอริชให้ฟัง เพราะเราคิดว่าเราจะใช้โอกาสนี้ล่ะที่จะได้รู้จักเพลงพี่เขาให้ดีขึ้น แล้วจะได้ปวารณาตัวเป็นแฟนเพลงแบบจริงจัง และเรามีความเชื่อว่า ศิลปินที่เทพจริง ต้องสามารถทำกล่อมเราให้อยู่หมัดได้ในการแสดงสดล่ะนะ  แล้วจะให้พีคไปกว่านั้น คือเราไปคนเดียว ชีวิตจะเหงาอะไรขนาดนี้

    พอมาถึงวันงาน เราไปถึง นึกว่ามาผิดงาน คือมีแต่คนแต่งตัวเท่ๆกันเต็มไปหมด นึกว่างานรวมตัวฮิปเต้อ ณ กรุงเทพฯ (หยอกเล่นหรอกน้า) พอสองทุ่ม เข้าไปในฮอลล์ที่มีแสงสลัว แล้วก็เก้าอี้ที่อยู่ชิด(กันโคตรๆ) นั่งฟังเพลง Leonard Cohen เพลินๆรอเวลากันไป จนกระทั่งสองทุ่มครึ่ง แสงไฟที่มีอยู่เพียงน้อยนิดแต่แรกอยู่แล้วก็ดับลง พร้อมเสียงประกาศให้ทุกคนประจำที่นั่ง ถ้าไม่มีที่นั่งก็ยืนนะ ตามสบาย (เขาพูดงี้จริงๆ 555) แล้วก็ขอให้ปิดมือถือหรือเครื่องมือสื่อสารอะไรก็ว่าไป จบจากเสียงประกาศ ก็เหลือเพียงความเงียบงันและมืดมิดของฮอลล์

    แล้วพี่ข้าวก็ขึ้นเวทีมา...พร้อมกับเพลงแรก Older Chests  
    เราประทับใจการเปิดตัวพี่ตรงที่ ไม่มีการจัดแสงเปิดตัวศิลปินอย่างคอนเสิร์ตอื่นๆที่เราเคยไปมา 
    พี่โผล่มาในเป็นเงา พร้อมกีต้าร์โปร่งคู่กาย แล้วเริ่มบทเพลงขับกล่อมผู้ชมอย่างเราๆ ที่ต่างตั้งใจฟังอย่างสงบนิ่ง ไม่มีเสียงถ่ายรูปหรือแสงไฟจากหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ต 

    แค่เพียงเพลงแรก พี่ก็ทำเราน้ำตารื้นและร้องไห้ออกมาเงียบๆ 
    พี่เป็นศิลปินที่สามารถทำสะกดคนดูทั้งฮอลล์ให้หยุดนิ่ง เหมือนกาลเวลาหยุดหมุนอยู่ตรงนั้น เหมือนเราไม่ได้อยู้ในBCC Hall หากเป็นที่ไหนสักแห่ง ที่มีแค่พี่และพวกเรา เสียงเดียวที่ได้ยิน คือเสียงสะอื้นที่พร้อมกันโดยไม่รู้ตัวของเราและคนอื่นๆ

    เดเมี่ยน ไรซ์ คือศิลปินที่สามารถทำให้ผู้ชมสามารถหลั่งน้ำตาและสะอื้นไห้อย่างพร้อมเพรียงกันได้ โดยใช้แค่เสียงของเขาและกีต้าร์หนึ่งตัว 
    ขณะที่น้ำตาเราที่ไหลออกมายังไม่แห้งสนิทดี และคนข้างๆตัวเรายังสะอื้นไม่หยุด พี่ก็ตั้งท่าจะเล่นเพลงต่อไป แต่เอ๊ะ ดูเหมือนไมค์จะมีปัญหานะ! ต้องรีเซ็ตระบบหน่อยแล้ว ขอโทษด้วยจริงๆ (พี่เขาว่างั้น)
    เราก็นั่งรอไป ก็คิดว่าแป๊ปเดียวก็ได้แล้วล่ะมั้ง อดทนรอหน่อย

    แต่พี่ข้าวไม่รอด้วยนะสิ... 
    พี่อุ้มกีต้าร์ออกมาแล้วเริ่มเล่นมันสดๆ unplugged ตรงนั้นเลย มีแค่เสียงพี่กับกีต้าร์ ไม่มีไมค์หรืออะไรทั้งนั้น
    และเริ่มบรรเลงเพลง Cannonball เพลงโปรดเราอีกเพลงหนึ่ง ท่ามกลางความมึนงงของผู้ชมในตอนเริ่ม สักพักก็เริ่มร้องคลอตามไปจนจบเพลง เราที่นัั่งแถบชายขอบของฮอลล์ก็ยังได้ยินเสียงพี่ชัดแจ๋ว ยอมแล้ว ซึ่งเราว่าไอ่ที่ไมค์เสียนี้เป็นมุกของพี่เขาแหละ ซึ่งเป็นมุกที่เรา!ชอบ!มาก! ฟังจบแล้วรักเพลงนี้มากขึ้นกว่าเดิม 
    เซ็ตระบบแล้ว ก็มาต่อกันที่อีกเพลงฮิตอย่าง 9 crimes และเพลงเศร้าอย่าง My Favourite Faded Fantasy ซึ่งเพลงหลังก็ทำเราน้ำตาซึมอีกตามเคย 

    แต่ช้าก่อน สำหรับคนที่คิดว่าคอนฯพี่ข้าวจะเหงา เศร้าเป็นชุมนุมคนเศร้าน้ำตาท่วมฮอลล์ อยากจะบอกว่า คุณคิดผิดแล้ว! เพราะเห็นพี่เดเมี่ยนร้องเพลงได้เศร้า กัดกินจิตใจคนขนาดนี้ ตัวจริงพี่แกตลก และน่ารักสุดๆ คือคนที่คิดว่ามาที่คอนนี้แล้วจะมานั่งหลับ นั่งซึมไปกับเพลงช้าๆเนิบๆ ขอบอกว่าเดเมี่ยน ไรซ์ที่คุณวาดภาพไว้ในหัวนะ ตรงข้ามกับทุกอย่างที่พี่เขาเป็นในคืนวันคอนฯเลย พี่แกหยอดมุก ทำคนดูขำได้ตลอดการแสดงกว่าสองชั่วโมง อย่างก่อนที่จะเข้าเพลง The Professor พี่ก็เล่านิทานเกี่ยวกับหีบใส่เงินล้าน ที่สุดท้ายหักมุมเป็นเรื่องเกี่ยวกับสเปิร์มซะได้! เกือบเคลิ้มแล้วค่ะพี่ 
    แล้วไหนจะมีช่วงพักที่พี่บอกว่า มีใครจะไปเข้าห้องน้ำมั้ย คนดูก็ยึกยักกัน ไม่รู้พี่พูดจริงพูดเล่น พอมี2-3 เริ่มลุก พี่ก็บอก "I'll wait" น่ารักไปอี๊กกก แล้วเหมือนมีคนตะโกนถามพี่ว่าแล้วพี่ไม่เข้าหรอ
    พี่ก็ตอบเสียงดังฟังชัดว่า "I don't need to go to a fucking toilet!" โอเคค่ะพี่ ฮ่าๆ

    แต่ไฮไลต์ที่แท้จริงของงานเพิ่งจะเริ่มขึ้นตรงนี้ ตอนที่พี่ถามคนดูว่า Thank you ภาษาไทยพูดว่ายังไง
    ทุกคนตะโกนออกไปว่า "ขอบคุณ" พี่คงพยายามฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลยพูดว่า "One person says it" แงง น่ารักค่ะพี่ พอเขาบอกไป พี่ก็ฟังได้ว่า "ขอกคุงง" แล้วพี่ก็บอกจะแต่งเพลงเกี่ยวกับขอบคุณกัน
    เราก็นึกว่าพี่จะเก็บไปแต่งทีหลังงี้ แต่คือพี่แต่งเลยเว้ย! ตรงนั้นเลย

    "Pick a chord" จนได้ C กับ B Minor มา ซึ่งพี่บอกว่าคอร์ดหลังนี่แม่ง weird อะ มันไม่เข้ากัน เลือกใหม่ได้มั้ย แต่สุดท้ายพี่ก็ทำจนมันลื่นไหลไปด้วยกันได้ พี่ก็จัดเต็มบรรเลงเพลงไทยเพลงแรกในชีวิตพี่เขา ที่ชื่อว่า "ขอกคุง" ที่ทำเอาคนดูทั้งฮอลล์แทบหยุดหายใจไปกับความบ้าคลั่งของพี่ พอจบเพลง ก็มีคนดูที่มาช้า เพิ่งได้เข้ามา พี่ก็ทักทายว่า "You're late" 
     เรามารู้ทีหลังว่าพี่ขอทางผู้จัดไว้ว่า คนที่มาสายเนี่ยจะปล่อยให้เข้าได้หลังเพลงจบเท่านั้น จะได้ไม่ทำลายบรรยากาศของคนดูในฮอลล์  พี่แม่งละเอียดมากเรื่องนี้ ยกนิ้วให้เลยฮะ 

    แล้วโชว์ก็ดำเนินมาเรื่อยด้วยบรรยากาศสบายๆ และพี่แทบไม่มีSetlist เลย พี่เล่นเพลงตามคนขอ!
    พี่บอกอยากฟังอะไร เพราะต่อไปนี้มันจะเป็นเพลงที่พวกคุณไม่รู้จักกันแล้วนะ เลยเปิดช่องให้ขอได้
    ก็มีคนดูตะโกนขึ้นไปว่า "Insane!" ซึ่งเป็นเพลงจากวงเก่าพี่ ชื่อ Juniper พี่ก็แบบ เพลงนี้คนในฮอลล์ไม่เกิน10คนหรอกมั้งที่รู้จัก แต่อยากฟังก็จัดให้ เย้!! ซึ่งเราฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรกแล้วรู้สึกตกหลุมรักทันที ต้องไปตามฟังแล้วล่ะ หลังจากนั้นพอจบ ก็มีคนตะโกนขึ้นไปอีกว่า "Amie!" ซึ่งพี่ก็แบบ "Sure, At your service" แล้วก็โค้งตัวก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงตามคำขอนั้น 

    การเดี่ยวไมโครโฟนของพี่เดเมี่ยนยังดำเนินต่อไปจนมาถึงก่อนจะเข้าเพลง Delicate ซึ่งเป็นเพลงเศร้ามากๆ พี่เขาก็พูดว่า มีใครที่ซึมเศร้าหรืออกหัก ฟังเพลงพี่แล้วรู้สึกอินมั้งมั้ย ก่อนจะร้องท่อน"fuck you, fuck you" จากเพลง Rootless Tree แบบสะอึกสะอื้น เรียกเสียงฮาได้อีกระลอก พี่บอกว่าคนอย่างเขา ที่มีความเศร้ามากมายนี้ มีไว้ให้คนอื่นที่ชีวิตกำลังย่ำแย่มองมาเห็นแล้วพูดว่า ชีวิตเราไมไ่ด้แย่เท่าหมอนั่นเว้ย! 
    อีกเรื่องที่พี่พูดคือ คนชอบคิดว่าศิลปินที่ร้องเพลงเศร้าเยอะๆอย่างพี่เนี่ย ชีิวิตจริงคงขมขื่น แต่พี่บอกว่าไม่ใช่เลย ชีวิตจริงพวกเขามีความสุขกันดีมาก! เหมือนพวกนักแสดงตลกไง ที่บนเวทีเฮฮามากมาย แต่ในชีวิตจริงพวกเขามีความทุกข์ที่เก็บซ่อนเอาไว้ แต่สำหรับพวกศิลปินที่ร้องเพลงโคตรจะเศร้าแบบเขาเนี่ย ชีวิตจริงนะ "We're fucking happy!" ก่อนพี่จะอธิบายว่า วิธีการสร้างสรรค์เพลงของเขาก็เหมือนการกินอาหาร รับประทานเข้าไป เคี้ยว แล้วก็ดูดซึึมเลือกเอาแต่สิ่งที่ต้องการ ที่จำเป็นและดีต่อร่างกาย ซึ่งสิ่งไหนที่ไม่ดี ไม่ต้องการ เรื่องเศร้าๆทั้งหาย ก็อึมันออกมา 
    เหมือนที่พี่ทำอยู่เนี่ย พี่ก็อึเอาความเศร้าออกมา ใส่คนดูอย่างพวกเรานี้แหละ 
    แต่ก็ทำในวิธีแบบนุ่มนวล delicate หรอกนะ! แล้วพี่ก็เข้าเพลง Delicate 

    เราอยากจะบอกพี่มากว่า เราโคตรจะชอบ metaphorical shit ที่พี่อึออกมาใส่พวกเรามากเลย ขอบคุณนะ!

    เพลงสุดท้ายในsetlistคือ It Takes A Lot to Know A Man เพลงที่เปิดโสตประสาทเราอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่เคยไปรับชมคอนเสิร์ตมา

    เพลงนี้เป็นเพลงที่พี่เล่นขนเครื่องดนตรีมาหมดบ้าน มาทั้งกีต้าร์โปร่ง กีต้าร์ไฟฟ้า มีเครื่องเป่าที่มองไม่เห็นว่าเป็นอะไร แล้วยังมีฉิ่งอีก! กลองและฉาบก็มา แล้วเล่นคนเดียว!!! นี่ขอสารภาพว่านั่งไกลมากๆ แล้วเวทีมืดมากๆ ก็นึกว่าที่มืดๆนั้นตามเครื่องดนตรี จะมีคนเล่นช่วยพี่ ไม่เลยๆๆๆ พี่เล่นคนเดียว แล้วอัด pedal loop ไว้ ซึ่งการจะเล่นpedal ได้นี่มันต้องจังหวะแม่นมากๆๆๆ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นประสบการณ์ที่น่ารำคาญ(มาก)และทรมานของคนดูไปเลย 
    ซึ่งพี่ข้าวทำได้!!!!!!!!!!!!!!!! บ้าแล้ว เพลงเดียวพี่ล่อสิบนาที!!!!! เพลงนี้เริ่มต้นด้วยเพลงปกติแล้วตอนท้ายเป็นการโซโล่ของเครื่องดนตรีทั้งหลายแหล่ที่พูดมาทั้งหมด พร้อมด้วยการจัดแสงไฟและเทคนิคเสียงลำโพงแตกตามสไตล์ของพี่ พี่อัดแบบจัดเต็ม เราที่เป็นคนดูต้องพยายามรับทุกอย่างเข้ามาให้หมด ประทับใจมาก พอจบเพลงนี้แล้ว เรารู้สึก Eargasm ไปเลย นั่งนิ่งตัวสั่นคนเดียว นี่มันไม่ใช่ acoustic concert แล้วค่ะพี่ นี่มันคอนเสิร์ตสไตล์ post-rock ชัดๆ 
    เหลือเชื่อจริงๆ

    It takes a lot to know a man like Damien Rice!

    พี่ลงจากเวทีไปแล้ว คนดูก็ร้องขออังกอร์กัน ก่อนพี่จะกลับมาด้วยเพลง The Box ก่อนพี่จะขอให้คนดูมาออกันที่หน้าเวทีด้วย เราก็วิ่งเลยจ้า ก่อนจะมาต่อกันที่เพลง Volcano เพลงรักของเราอีกเพลง ที่พี่แบ่งให้คนดูร้องเป็นท่อนๆกันไป ฟังแล้วขนลุกมาก ตรงที่เรายืนอยู่ได้ท่อน "What I am to you is not real, What i am to you, you do not need" ก็ร้องกันไป เริ่มจากช้าๆก่อนจะโดนบิ้วขึ้นเรื่อยๆ จนถึง climax ไปด้วยกัน ตามคำบอกของพี่ข้าวเขา... ครึกครื้นกันเสร็จ ก็สลับกับมาหาหาเพลงช้าอีกครั้งกับเพลง I remember และ The Greatest Bastard และตบท้ายด้วยเพลงดังที่ทุกคนรอคอยอยู่อย่าง The Blower's Daughter ที่แม้จะไม่มีเสียงของ Lisa Hannigan มาร้องคู่ แต่ก็ได้เสียงของสาวๆในฮอลช่วยกันร้อง ที่เราฟังแล้วยังขนลุกเลย เพราะมาก ไม่ได้เว่อร์ TvT/ 
    พี่ลงเวทีไปอีกรอบแล้ว... พวกเราก็ยังปักหลักกันอยู่หน้าเวที ร้องเรียกชื่อพี่เดเมี่ยนอยู่สักพัก และพี่ก็กลับขึ้นมาอีก เย้ๆๆๆ c:

    This has got to die

    This has got to stop.. 

    พี่กลับขึ้นเวทีมาพร้อมเพลง Elephant ที่ท่อนแรกก็เรียกเสียงหัวเราะจากเราได้ เพราะมันช่างเหมาะสมกับช่วงเวลาเสียเหลือเกิน และคนข้างๆเราก็คงคิดแบบเดียวกัน เพราะเขาพูดขึ้นมาลอยๆว่า "stop อะไรนะ พี่หมายถึงโชว์นี้รึเปล่านะ นังพวกขี้ตื้อ 555555" 
    ก็เล่นกันจนจบ และลงเวทีไป พร้อมคำสัญญาของพี่ที่บอกว่า "See You Next Year" 

    เราก็เดินออกจากฮอลล์มาพร้อมหลังที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พร้อมความคิดที่ว่าอากาศมันร้อนละมั้ง
    มารู้ทีหลังว่า พี่ข้าวสั่งปิดแอร์ในฮอลล์ O(---------( เพราะเสียงแอร์มันดัง ทำลายสมาธิพี่เขา ยอมใจเลยศิลปินคนนี้ พี่แทบจะฆ่าคนทั้งฮอลล์ตายนะคะพี่รู้ตัวมั้ย นี่มันเมืองร้อนนะคะพี่

    Setlist ของเพลงที่เล่นในวันนี้ เราทำเป็นเพลย์ลิสท์ไว้ให้ตามไปฟังกันแล้วนะ c:
    ปล. น่าเสียดายที่พี่ไม่ได้เล่น Cheers Darlin ทั้งๆที่มีขวดไวน์ตั้งโต๊ะไว้แล้วแท้ๆ :/ 
    ปลล. ที่มีคนบ่นว่าซาวด์ไม่ดี ทำไมเสียงเหมือนลำโพงแตกนั้น มันเป็นสไตล์ของพี่ข้าวเขาเองนะ เครื่องเสียงไม่ได้พังแต่อย่างใด 

     --------------------------------------------------------------------

    ความรู้สึกเราหลังจากจบคอนเสิร์ตของเดเมี่ยน ไรซ์ในครั้งนี้ 
    เรารู้สึกว่าเราไม่ได้มาชมคอนเสิร์ต แต่เป็นการมาเสพย์ผลงานInteractive Art ของศิลปินที่มีชื่อว่า     เดเมี่ยน ไรซ์ ชายหนุ่มที่มาพร้อมเสียงรวดร้าว และบทเพลงที่เราฟังทีไรก็เกิดคำถามว่า Who Hurt You? ใครกันที่ทำให้พี่เขาเจ็บปวดจนถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงที่ฟังแล้วจับจิตและรวดร้าวได้ถึงขนาดนี้  แต่เป็นความรวดร้าวที่มีความจริงอยู่ในนั้น 

    เพลงของเดเมี่ยน ไรซ์ สำหรับเรา เป็นเพลงแบบ Music for the soul จริงๆ ฟังแล้วไม่ได้แค่ทำให้เกิดความรู้สึกชอบที่สมอง แต่มันเข้าไปสัมผัสถึงหัวใจของผู้ฟังอย่างเราจริงๆ

    You are my favourite taste to touch my tongue.. and there's still a little bit of your taste in my mouth

    เราขอลงท้ายไว้ตรงนี้ว่า That's what I said "ขอกคูง" นะพี่ข้าว 



    ลงท้ายอีกหน่อย อันนี้เราไม่รู้ว่าทางผู้จัดตั้งใจรึเปล่า แต่เราชอบบัตรการแสดงมากเลย ตรงที่ด้านบนมันมีรอยตัดที่เป็นหยักๆนิดนึง เราว่ามันให้ความรู้สึกดิบๆดี แบบ imperfection ประทับใจฮะ 



    ขอบคุณภาพจาก VIJI CORP และ Yodapixด้วยนะคะ





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in