"เมื่อเรา “เงินเราหาย...ตั้งแต่ต้นเดือน” เราต้องใช้เงินวันละ ร้อยแปดสิบบาทต่อวัน
แต่ตอนนี้เหลือร้อยหกสิบบาทต่อวันแล้วนะ"
---------------------------------------
หลังผ่านวันศุกร์ เงิน ซื้อ เวลา คิดว่าตัวเองจะได้หยุด พักร่างตัวเอง แต่กลับไม่ใช่ เมื่อเราต้องมาทำงาน ซึ่งเรารู้สึกเบื่อมากๆ กลับต้องมาทำงานวันหยุดเบื่อเพระอะไรนะเหรอ หนึ่ง ยึดวันพักผ่อนเราไปอีกัน สอง วันเสียเงินเยอะกว่าวันธรรมดาเสียเงินแบบไหนนะเหรอ ก็วันเสาร์เริ่มมาทำงาน สิบโมงเช้า เรายังพอมีเวลาตื่นสายได้บาง แต่ต้องแรกด้วย เสียเงิน ค่ารถไปทำงาน...ยอม ยอม !!!!
สรุปเอาง่ายๆ เลยนะ เราต้องเสียค่าเดินทาง ไป-กลับ รวม หกสิบสองบาท และ ซื้อข้าว เช้า กลางวัน และเย็น รวมเก้าสิห้าบาท แค่ขยับตัวแบบกิจวัตรพื้นฐานของคนเรานะ หมดไปแล้ว หนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดบาท เหลือทานขนม สามบาท “โธ่ชีวิต จะไปเดินห้างสยามก็ไม่ได้ ,จะกินโดนัทสักชิ้นยังต้องอดใจ, จะดูหนังสักเรื่องต้องปล่อยวาง หรือจะทำอะไรที่เสียเงินมากกว่าสามบาท ยังต้องคิดมากไปหลายเท่า”
เหมือนเรื่องเล่าที่พ่อชอบพูดก่อนเราจะเข้ามาทำงานในเมืองหลวง “มาอยู่กรุงเทพฯ เงินสำคัญที่สุด” ว่าแล้วก็ขอเล่าเรื่องที่พ่อชอบเล่าให้เราฟังดีกว่า คือ เรื่องมีอยู่ว่า...สมัยหนุ่มพ่อเคยเขามาทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งหลังปลูกข่าวเสร็จ แรงงานผู้ชายจะว่าง ส่วนผู้หญิงจะไปดูแลข้าวที่ปลูกไว้ พ่อและเพื่อนพ่อ ก็แอบขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ
พ่อ : สมัยนั้นจะไปกรุงเทพฯได้ต้องมีเงิน สัก 50 บาท เอาไว้เป็นค่าอาหาร ส่วนการเดินทาง แอบขึ้นรถไฟ พอโดนจับได้ก็หนีแล้วมาโบกรถไป ต้องใช้เวลาถึง 2-3วันกว่าจะถึงกรุงเทพฯ
เรา : แล้วพ่อไปนอนกันยังไง ไปหางานกันยังไง
พ่อ : นอนวัด สถานีขนส่ง ตามสะพานลอย นี้แหละชีวิตคนต่างแดน...มึงจำไว้นะไปกรุงเทพฯ ชีวิตมีแต่ลำบาก ขยับตัวอะไรก็เป็นเงิน เป็นทองหมด...ยิ่งตอนไปหางานไม่มีใครรับคนไม่มีการศึกษาหรอก เด็กบ้านนอก การศึกษาต่ำ สมัยนั้นทำได้ก็งานก่อสร้าง ส่วนพ่อก็เดินไปสมัครเอา มีอะไรทำหมด ไปทำงานกับพวกเจ๊ก เป็นคนงานก่อสร้าง แบกข้าวสาร ฯลฯ ทำทุกอย่าง
เรา : เศร้าแปบ..เอ้อแล้วพ่อได้เงินมาเท่าไหร่
พ่อ : 40 บาท ขาดทุนไป 10 บาท
เรา : ฮะ…!!
พ่อ : อยู่ไปนานๆ ตบะมันแตก...มึงเอ๋ยสมัยนั้น มีทั้งฝิ่น กัญชา ผู้หญิง เหล้า ใครมาทำงานในกรุงเทพฯ ไม่เคยเสพพวกนี้ พ่อเอาหัวเป็นประกัน...มึงเห็นรอยแผลเป็นหลังไหล่ซ้าย ของพ่อไหม(พ่อหันหลังให้ดู)...ยายมึงเอามีดฟัน โทษฐานไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วไม่มีเงินเก็บ
เรา : แสดงว่า สมัยนั้นพ่อก็ติดพวกนี้ใช่ปะ (พ่อนี้ก็เลว เหมือนผมเลย คิดในใจ)
พ่อ : ป่าว กูเอาเงินที่เก็บได้ ไปขอแม่มึงแต่งงาน กูจำได้เลย ได้เงินมา 500 บาท ไปหาซื้อแหวนไปแม่มึง 100 บาท ซื้อชุดหล่อให้กู และชุดสวยๆ ให้แม่มึง หมดไป 50 บาท แล้วเงินที่เหลือก็ค่าสินสอด 200 บาท แอบเอาเงินใส่ให้ยายมึง 110 บาท เก็บไว้กับตัว 40 บาท...กูกำลังจะบอกเรื่องขอแม่มึงแต่งงานกับยายมึง แต่ไม่ทันควันยายมมึงไปค้นกระเป๋าสตางค์ เห็นเงินมี 40 บาท มีดก็รอยมาละ...อ๋อ ตั้งแต่นั้นมากูก็ไม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีกเลย ครั้งเดียว“จบ”
เราฟังเรื่องนี้ก็ได้แอบยิ้ม กับความน่ารักของพ่อผม ซึ่งนั้นแหละคือเรื่องเล่าของพ่อ ที่ป้อนความคิดให้ผมมาถึงทุกวันนี้ คือ ไปกรุงเทพฯ อยู่แบบอดอยาก ขยับตัวก็เป็นเงินเป็นทอง, มีแต่ราตรี พลอยให้เราเสียเงินเสียทอง “ซึ่งมันก็จริง”
“....ว่าแล้วอาบน้ำดูหนัง นอน ดีกว่า พรุ่งนี้วันอาทิตย์เริ่มต้นไหม....”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in