วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ
นั่นคือสิ่งที่เรารู้ และเชื่อว่าทุกๆคนก็รู้
แต่สิ่งที่เราเพิ่งจะรู้ก็คือ นอกจากวันที่ ๑๐ ธันวา ของทุกปี จะเป็นวันรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็น วันนักกลอน อีกด้วย เหตุที่รู้ก็เพราะรุ่นน้องที่สนิทกันแชร์กลอนที่อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้แต่งไว้เนื่องในวันนักกลอน มาให้อ่าน
น้องคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวในเฟสบุ๊ค ที่มากดไลค์กลอนที่เราแต่งและโพสต์ในวันพ่อนั่นเอง
แล้วเราก็คุยกันต่อเรื่องกวี ตอนแรก น้องพูดถึงนักกลอนสองท่าน คือ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และ อาจารย์อังคาร กัลยาณพงษ์ เราบอกว่า เราอ่านงานของอาจารย์เนาวรัตน์บ่อย แต่ไม่ค่อยได้อ่านงานของอาจารย์อังคารเท่าใดนัก
แล้วน้องก็พูดถึงศิลปินอีกท่านหนึ่ง นั่นคือ อาจารย์ประยอม ซองทอง น้องบอกว่า แต่ก่อนนี้ กลอนอาจารย์จะลงในตำราเรียนภาษาไทย แต่รุ่นของพวกเรา (คือตั้งแต่รุ่นเราลงไป) ไม่มีแล้ว แต่เหตุที่น้องรู้จักก็เพราะว่า น้องไปอ่านตำราเรียนเก่าๆของพี่สาว
ด้วยความที่ไม่รู้จัก เราจึงไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่าอาจารย์ประยอมมีเฟสบุ๊คด้วย เราจึงเข้าไปกดติดตาม เพื่อว่าจะได้ตามผลงานและได้อ่านกลอนของท่านต่อๆไป
และน้องก็ได้นำบทกวีชื่อ "ธารทอง" มาให้อ่าน ดังนี้
ฟ้าที่นี่แผ้วผ่องก่องประภาส
ริ้วทองลาดแรรอบขอบคิ้วหาว
น้ำในธารสะท้อนแพรวดั่งแววดาว
กระพริบพราวเพียงภาพทาบเปลวทอง
แด่ผู้ที่เจ็บช้ำระกำรัก
ที่ทุกข์หนักพักตร์พริ้มมาปริ่มหมอง
ผู้สูญสิ้นดินฟ้าจะคว้าครอง
น้ำเนตรนองท่วมหทัยไร้ญาติมิตร
เพื่อพำนักพักนอนรอนความเศร้า
ที่รุมเร้าเรือนกายเป็นนายจิต
เพื่อวันใหม่ทางใหม่ในชีวิต
เลิกครุ่นคิดคร่ำโศกกับโลกลวง
เพื่อพักผ่อนนอนหลับในทับทิพย์
ชมดาววิบแวมวอมในอ้อมสรวง
รื่นรสรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
ลิ้มผึ้งรวงหวานลิ้นด้วยยินดี
เพื่ออาบน้ำชำระกายในธารทอง
ฟังไผ่พร้องเสียงสังคีตขับดีดสี
ฟังลำนำนกร้อยถ้อยพาที
ระเรื่อยรี่จักจั่นกังวานไพร
เพราะถิ่นนี้มีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
มีความมืดที่เวิ้งว้างสว่างไสว
เป็นป่าเถื่อนแต่เป็นที่ไม่มีภัย
อยู่ห่างไกลแต่ก็ใกล้ในคุณธรรม
ผู้ประพันธ์ : ประยอม ซองทอง
อ่านแล้วก็ เอ้อ ศัพท์สวยจัง อาจจะไม่ได้สัมผัสกันหมดแบบกลอนในอุดมคติของเรา (ซึ่งทั่วไปก็ไม่มีใครเขายึดอุดมคตินี้กัน) แต่ก็ไพเราะทีเดียว
และแล้ว ในวันเดียวกันกับที่เรากดติดตามเฟสบุ๊คของอาจารย์ประยอมนั้นเอง เราก็ได้ทราบว่าท่านได้ลาจากโลกนี้ไปเสียแล้ว
เรากับรุ่นน้องมาคุยกันต่อในไลน์ (เป็นเครื่องยืนยันว่าสนิทกันระดับหนึ่ง ตามไปก่อกวนกันได้หลายที่ ฮ่า) น้องบอกว่า ใจหายมาก เพิ่งจะนึกถึงไปหยกๆ (นี่ก็เพิ่งไปกดติดตามไม่ถึงวัน ฮือ) เราจึงว่า ท่านก็อายุมากแล้ว (เท่าที่ค้นข้อมูลคือ อายุ ๘๗ ปี) ท่านก็คงไปตามอายุขัยของท่าน
แต่ก็ใจหาย
และไม่ว่าอย่างไร ประเทศเราก็เสียนักกวีไปอีกคนหนึ่งแล้ว
หลับให้สบายนะคะอาจารย์ ขอให้อาจารย์ไปสู่สุคติ
คนที่กำลังเขียนอยู่คนนี้ ขอเป็นหน่วยเล็กๆหนึ่งคน ที่ยังตั้งใจจะสืบสานบทกวีของไทย ให้คงอยู่ต่อไป ตราบชั่วอายุขัยของตัวเอง
จะยังคงแต่งกลอน อ่านกลอน และแชร์กลอนบ้างตามโอกาสจะเอื้ออำนวย
อย่างไรก็ดี หากหวังจะให้ถ่ายทอดทักษะนี้สู่ลูกหลาน อาจารย์อาจต้องผิดหวัง เพราะโอกาสที่จะแต่งงานของคนแถวนี้นั้น ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง(ศูนย์หรือติดลบ)
แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเชื่อเสมอว่า จะมีคนรุ่นใหม่ๆที่เกิดมาเพื่อจะสืบสานบทกวีของไทยให้คงอยู่ต่อไปได้แน่ๆ
อย่างน้อยก็คนๆนี้อีกหนึ่งคน ขอให้คำมั่นไว้ตรงนี้
และในวันนักกลอนนี้เองเราก็แต่งกลอนได้หนึ่งบท เป็นกลอนเกี่ยวกับตัวเราเอง ความว่า
ฉันป่วยไข้ ตามระเบียบ ไปเรียบร้อย
ตาลอยลอย คอยจะหลับ คล้ายจับไข้
ระคายคอ ก็มันคัน ขยันไอ
น้ำมูกไหล ไม่ผ่อนพัก หนักหัวจริง
เอาลงเฟสแล้วก็มีรุ่นพี่มากดห่วงใยสองคน ขอบคุณนะคะ
จริงๆก็รู้แหละว่าเนื้อหามันไม่น่าเอามาแต่งกลอนสักเท่าไหร่นัก แต่ตอนที่กำลังปวดหัวอยู่นั้น จู่ๆมันก็แวบเข้ามา แถมสัมผัสกันเกือบทุกจุดเสียด้วย ปล่อยให้ลืมไปเสียดายแย่
อาจมีนักกลอนบนฟ้าที่กำลังมองลงมาที่เรา แล้วนั่งกุมขมับว่า "ยัยนี่มันจะพากลอนไทยไปรอดจริงๆมั้ยเนี่ย???"
เอาน่า...
I try my best ก็แล้วกันนะคะ
ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่
สวัสดีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in