เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
KyuMin FictionKwannoyz
'Faded'
  • KyuMin Short Fiction

    'Faded'


    ลมเย็นที่พัดผ่านกายเรียกให้คนที่เคยทิ้งสายตาเหม่อมองทุ่งหญ้ากว้างไกลตรงหน้าค่อยๆหลับตาลง ..รอยยิ้มบางเบาเผยบนใบหน้าภายใต้ฮู้ดสีดำสนิทที่ปกคลุมเรือนผมสีทองสว่าง รองเท้าบูทหนังขยับก้าวไปด้านหน้าตามไออากาศที่ลอยวนรอบตัวอย่างเชื่องช้า ..กว่าสิบปีที่จากไป ไม่เคยทำให้ 'โจคยูฮยอน' ลืมคำสัญญา เขายังคงระลึกถึงคำมั่นเดิมในความทรงจำครั้งเก่า แม้จะเลือนลางตามรูปถ่ายสีเทาเพียงหนึ่งใบที่ติดตัว ทว่าความหม่นมัวในกระดาษแผ่นนั้นกลับสะท้อนภาพรอยยิ้มสดใสของใครอีกคนหน้าบานประตูใหญ่ของสถานที่ที่คยูฮยอนเคยเรียกว่า..บ้าน

    เปลือกตาปรือขึ้นเชื่องช้ายามได้รับกำลังใจอันไร้เสียงจากธรรมชาติ มือใหญ่กระชับสายเป้สะพายหลังก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปตามทางคับแคบราวกับเส้นด้ายที่พาดผ่านผืนผ้าสีเขียวอ่อนซึ่งลู่เอนไปตามสายลมนั้น..

    .
    .
    .
    .
    .

    เด็กชายเงยหน้าขึ้นตอนได้รับสัมผัสถี่ๆบนต้นแขน เมื่อหันไปมองก็ได้รู้ว่าพื้นที่ว่างข้างกายหน้าประตูบ้านถูกใครอีกคนจับจองไว้โดยไม่รู้ตัว มือยังประสานกันบนเข่าที่ตั้งชัน พลางใช้สายตาจ้องใบหน้ากลมอิ่มของคนที่เคยใช้ปลายนิ้วสะกิดเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าคยูฮยอนกำลังไม่พอใจที่โดนรบกวน แววตากลมใสจึงแสร้งเบนมองไปรอบตัวแทน.. คิ้วของเด็กชายมุ่นลงยามร่างน้อยข้างกายไม่เอ่ยอะไรต่อจากนั้น ทว่ากลับขยับตัวยุกยิกและล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้น ก่อนที่มือเล็กจะยื่นมาตรงหน้าเขา..

    "รู้จักที่นี่มั้ย?"

    คยูฮยอนมองสายตาที่คล้ายจะรบเร้าเอาคำตอบ เจ้าของใบหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่จึงเริ่มผ่อนคลายลงแล้วก้มดูสิ่งของในฝ่ามือขาว เด็กชายเห็นเศษหนังสือพิมพ์ที่คล้ายจะถูกฉีกออกมาจนขอบกระดาษขาดวิ่น ภาพของบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งที่รายล้อมด้วยรั้วไม้กลางทุ่งหญ้าโดยรอบเรียกให้คยูฮยอนสบแววตากลมใสที่จ้องเขาอยู่อีกครั้ง

    ..และคำตอบของเด็กชาย คือการส่ายหน้า

    ทันทีที่เขาทำแบบนั้น คนข้างกายก็ทำปากบิดเบ้ราวกับไม่ได้รับคำตอบที่ถูกใจ พลางเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิมและลุกขึ้นยืน คยูฮยอนมองตามร่างเล็กที่หมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านในแต่ยังไม่วายหันมาแลบลิ้นใส่เขาก่อนที่แผ่นหลังนั้นจะลับสายตา ..เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆอย่างไม่เข้าใจในอากัปกิริยานั้นนัก เขาจึงถอนหายใจแล้วหันไปยังทิศทางเดิม

    โดยไม่รู้ว่ายามที่กำลังเหม่อมองยังด้านหน้านั้น ..กลับมีใบหน้าของใครอีกคนที่เอียงคอผ่านกำแพงห้องและลอบมองตัวเองอยู่เช่นกัน

    .
    .
    .

    "คยูฮยอน ไปกินข้าวกัน" เสียงอ่อนโยนที่เอ่ยเรียก ไม่ทำให้เด็กชายผู้จับจองที่นั่งหน้าประตูบ้านในทุกเช้าสนใจ คยูฮยอนยังคงนั่งชันเข่า สองมือวางประสานท่าเดิม จนเขาได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเบาจากหญิงสาวคนนั้น

    "จีวอน มาช่วยทางนี้เถอะ ถ้าหิวเดี๋ยวก็มากินเองล่ะ"

    "ค่ะ.."

    เด็กชายเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินเสียงจากผู้หญิงอีกคนที่พูดและคำขานรับจากคนที่ยังยืนอยู่ข้างเขา คนชื่อจีวอนโน้มตัวลง ก่อนจะวางมือลูบบนเรือนผมเบาๆ

    "อย่าลืมไปกินข้าวนะจ๊ะ"

    คำตอบที่คยูฮยอนมอบให้ยังคงเป็นความนิ่งเฉยกระทั่งหญิงสาวเดินจากไป เด็กชายจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงซบบนเข่า ความอึดอัดใจที่รุมเร้ามาร่วมสัปดาห์ได้ถูกระบายออกมาเป็นหยดน้ำเปียกเปื้อนใบหน้าไปทั่ว

    ..จากชีวิตของบุตรชายนักธุรกิจ แปรเปลี่ยนเป็นเด็กกำพร้าในชั่วข้ามคืน คยูฮยอนยังคงจำภาพที่พ่อกับแม่นอนนิ่งอยู่กลางห้องรับแขกหลังจากเขาถูกพี่เลี้ยงพาไปซ่อนตัวในห้องเก็บของชั้นบนทันทีที่มีคนบุกรุก พี่โบนาให้คยูฮยอนหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าเก่า ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหลบออกไปอีกทางพร้อมประโยคสุดท้ายที่คยูฮยอนได้ยินว่าจะออกไปโทรเรียกตำรวจ ..และพี่โบนาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

    เด็กชายนั่งกอดเข่าอยู่กลางห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะพาร่างมอมแมมของตัวเองเดินออกไปหน้าบ้าน และตะโกนเรียกหาตำรวจ..ทั้งน้ำตา

    นั่นคือสิ่งเดียวที่คยูฮยอนจำได้ในวันนั้น.. วันที่เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 7 ปีของเขา..

    คยูฮยอนถูกรับไปเลี้ยงดูโดยครอบครัวของญาติห่างๆที่เขาไม่เคยรู้จักอยู่ร่วมปี ทว่าความรู้สึกแปลกแยกและเก็บตัวเพียงลำพังทำให้เขากลายเป็นเด็กสร้างปัญหา ..สุดท้าย ชีวิตในวัย 9 ขวบของคยูฮยอนจึงมาจบที่บ้านอุปการะเด็กแห่งหนึ่งย่านชานเมืองที่ห่างไกล..

    แรงสะกิดเบาบนไหล่เรียกให้คนที่ยังจมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปยังคนที่มารบกวน เจ้าของแววตากลมใสคนเดิมยังเอียงคอมองเขาแทนความสงสัยที่อาจมาจากคราบน้ำตาบนใบหน้า คยูฮยอนจึงรีบยกมือปาดหยดน้ำออกลวกๆ และจ้องกลับอีกฝ่ายแทนคำถามไปบ้าง

    "ไม่หิวเหรอ?" เสียงเล็กถามออกมาอย่างไม่มีทีท่าสนใจว่าคยูฮยอนกำลังทำสีหน้าบูดบึ้งเช่นไร เมื่อเด็กชายให้คำตอบเป็นความเงียบ ร่างน้อยจึงทำปากบิดเบ้ให้คยูฮยอนเห็นเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะหมุนตัวและวิ่งเข้าในบ้านไป

    คยูฮยอนถอนหายใจยาว และมองไปยังรั้วเหล็กด้านหน้าอีกครั้ง ถึงจะมานั่งหน้าประตูบ้านนี้ทุกวันราวกับหวังว่าจะมีใครสักคนมารับเขาไปอยู่ด้วย แต่ในเมื่อภาพจำสุดท้ายของคำว่าครอบครัวยังมีเพียงสายตาเอือมระอา คยูฮยอนจึงไม่แน่ใจนักว่าเขามานั่งอยู่ตรงนี้ไปเพื่ออะไร

    ทว่าไม่นานนัก สิ่งที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กชายได้ กลับเป็นกลิ่นหอมที่โชยมาเตะจมูกในระยะใกล้ พร้อมจานข้าวใบเล็กที่มีน่องไก่ทอดหนึ่งชิ้นวางด้านบน..

    คยูฮยอนมองตามมือขาวที่ถือจานและยื่นส่งมาให้ตรงหน้าเขา ร่างน้อยคนเดิมทิ้งตัวลงนั่งพลางวางจานข้าวลงบนพื้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับไปถือไว้เอง แววตากลมใสสบคนข้างกายเพียงชั่วครู่ก่อนจะลงมือหยิบน่องไก่หนึ่งชิ้นในจานที่อยู่ในมือขึ้นมากัดกิน

    "พี่จีวอนให้มานั่งกินเป็นเพื่อน"

    "..." คยูฮยอนมองจานข้าวของตัวเองที่ยังวางนิ่งบนพื้น แล้วเงยขึ้นมองคนที่ยังอร่อยอยู่กับการกินไก่ทอดจนทำให้ตัวเขาเองรู้สึกหิวขึ้นมาอย่างง่ายดาย

    "ไม่กินเหรอ? ถ้าไม่กินเรากินเอง" ว่าจบพลางยื่นมือสั้นป้อมมายังจานข้าวตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องรอคำอนุญาตใด คยูฮยอนจึงรีบหยิบจานของตนขึ้นมาถือและเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางอย่างคนหวงของ

    "กิน" คำตอบของคยูฮยอนเรียกให้เจ้าของมือที่ยื่นมานั้นบิดริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นเจ้าตัวจึงก้มหน้าลงให้ความสนใจกับน่องไก่ที่ยังกัดคาไว้จนแหว่งต่อไป

    คยูฮยอนมองภาพนั้นเพียงไม่นาน ก่อนจะพาจานข้าวของตัวเองกลับมายังทิศทางเดิม แล้วใช้มือหยิบน่องไก่ขึ้นมากินบ้าง..

    และเด็กชายก็คงไม่รู้ตัวอีกเช่นเคย ว่าในระหว่างที่เขาก้มหน้าตักข้าวใส่ปากพร้อมเนื้อไก่ทอดนั้น..คนข้างกันกำลังลอบมองแล้วอมยิ้มให้อยู่นานเพียงใด

    .
    .
    .

    "อ่ะ" จานข้าวใบเดิมถูกยื่นมาตรงหน้าคยูฮยอนอีกครั้ง และเขาก็ได้เห็นว่าในอาหารในวันนี้เป็นหมูทอดกับผักลวก คยูฮยอนหันไปมองเจ้าของร่างเล็กที่ทิ้งตัวนั่งลงหน้าประตูบ้านก่อนจะรับจานใบนั้นมาพลางเอ่ยพึมพำ

    "เราไม่ชอบกินผัก" เมื่อพูดไปแบบนั้น ก็มีช้อนจากคนข้างตัวยื่นมายังจานของเขาทันที ..คยูฮยอนมองมือน้อยที่ตักผักจากจานของเขาไปกว่าครึ่งเพื่อใส่ในจานของตัวเอง แล้วหั่นเสี้ยวหมูทอดเป็นชิ้นบิดเบี้ยวมาวางให้

    "แลกกัน" เสียงสดใสว่าพลางตักข้าวกับผักลวกเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆและยิ้มให้เขาไปด้วย

    "ทำไมไม่เอาผักไปให้หมด" คยูฮยอนถามอย่างไม่เข้าใจนักก่อนตักผักลวกส่วนที่เหลือคิดจะยื่นวางใส่จานของคนข้างกันบ้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับพาจานของตนเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว

    "ไม่ได้ นายต้องกินผักด้วย"

    เด็กชายมุ่นคิ้วอย่างคล้ายจะถูกขัดใจเมื่อได้ยินคนตัวเล็กว่าแบบนั้น แต่ดูเหมือนความไม่สบอารมณ์จะแสดงออกผ่านหน้าตาอย่างปิดไม่มิด เจ้าของแววตากลมใสจึงค่อยพาจานข้าวของตัวเองกลับมายังทิศทางเดิมและเอ่ยเบาๆ

    "ก็พี่จีวอนบอกว่าต้องกินผักกับหมูแล้วก็นม ถึงจะแข็งแรงนี่นา.."

    คยูฮยอนมองใบหน้าที่เจื่อนลงนั้นอย่างที่ทำให้ความรู้สึกของตนหม่นตามอย่างง่ายดาย ..และเด็กชายก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมในวันนั้น ตัวเองจึงตัดสินใจตักผักลวกเข้าปากก่อนจะพยายามเคี้ยวกลืนอย่างรวดเร็ว..

    .
    .
    .

    "อ่ะ" เป็นวันแรกที่คยูฮยอนเดินถือจานข้าวและยื่นมาตรงหน้าคนที่นั่งขัดสมาธิรอเขาบนพื้นหน้าประตูบ้าน ร่างน้อยยิ้มกว้างพร้อมรับจานมาถือไว้ในมือ ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นว่าอาหารวันนี้เป็นข้าวผัด มีทั้งไก่ทอดกับไข่ดาวใบเล็กวางด้านบน

    "พี่จีวอนบอกว่าวันนี้มีคนทำอาหารมาเลี้ยง" คยูฮยอนว่าพลางทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นข้างกัน เจ้าของใบหน้าอิ่มนั้นผงกหัวรับ และลงมือตักข้าวใส่ปากพร้อมส่งยิ้มมาให้จนคนมองได้แต่แสร้งทำหน้าเรียบเฉยกลบเกลื่อน แล้วก้มลงจัดการอาหารในจานของตัวเองบ้าง

    "ฮยอน" เสียงอู้อี้ที่เอ่ยเรียกทั้งที่ยังมีข้าวอยู่เต็มแก้มเรียกให้เจ้าของชื่อพูดเสียงเข้ม

    "คยูฮยอน"

    "ก็จะเรียกฮยอน" เมื่อได้ยินชื่อพยางค์เดียวของตัวเองเป็นครั้งที่สอง เด็กชายจึงใช้แววตาขึงดุจ้องอีกฝ่าย ทว่ากลับเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เพิ่งกลืนข้าวคำล่าสุดจนทำให้เจ้าของชื่อ 'ฮยอน' นั้นได้แต่มุ่นคิ้วลงพร้อมก้มหน้าตักข้าวคำโตเข้าปาก

    และแก้มที่พองขึ้นของเขายิ่งทำให้คนข้างกายเปล่งเสียงหัวเราะออกมาสดใสกว่าเดิม..

    .
    .
    .

    คยูฮยอนมองร่างกระทัดรัดที่วิ่งวุ่นอยู่ในสนามหญ้าข้างบ้าน ลูกฟุตบอลที่ถูกส่งสลับไปมาอย่างไม่ต้องใช้ทักษะใดให้มากความเรียกให้เด็กชายดูตามอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่เจ้าของเสียงเล็กจะตะโกนเรียกพร้อมกวักมือให้เขาลงไปเล่นด้วยกัน

    ในระหว่างที่เขายังไม่ให้คำตอบ และร่างน้อยก็ยืนมองมาทางเขานั้น ลูกฟุตบอลที่ถูกส่งต่อกลับลอยเข้ากระแทกบนหัวของใครคนนั้นอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวล้มลง ..ภาพนั้นเรียกให้คนที่เมินเฉยในตอนแรกรีบวิ่งตรงเข้าไปกลางสนามหญ้าอย่างไม่รีรอ

    "เจ็บมั้ย?"

    คยูฮยอนถาม ก่อนจะสอดแขนประคองคนที่ยังนอนหรี่ตายกมือกุมหัวให้ค่อยๆลุกนั่ง เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าคยูฮยอนจึงใช้แรงทั้งหมดพาร่างของคนตัวเล็กลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินเข้ามาภายในบ้าน ..เด็กชายให้เจ้าตัวนั่งรอบนเก้าอี้ในระหว่างที่เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนู เปิดตู้เย็นหยิบก้อนน้ำแข็งในกระติกออกมาใส่ในผ้าผืนนั้น กระทั่งเดินกลับมาถึงก็พบว่าคนที่นั่งรออยู่กำลังก้มหน้าลง..และยกมือขึ้นมาปาดรอบตาไวๆโดยไม่ยอมเงยขึ้นมองกัน

    เจ้าของผ้าขนหนูหุ้มน้ำแข็งยืนนิ่งเพียงไม่นาน ก่อนจะขยับก้าวเข้าไปใกล้แล้วค่อยๆวางผ้าเย็นเฉียบนั้นลงกลางกระหม่อมที่บวมโนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ..ยิ่งเด็กชายทำแบบนั้น คนที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างกันกลับร้องสะอึกสะอื้นหนัก ยกมือขึ้นเช็ดหน้าซ้ำไปซ้ำมา แต่นั่นไม่ทำให้คนที่ต้องยืนวางมือประคบผ้าเย็นพูดอะไร..และเขาก็ไม่ได้เดินจากอีกฝ่ายไปไหนจนเสียงร้องไห้นั้นสงบลงเช่นกัน

    .
    .
    .

    "รู้ได้ไงว่าหัวโนต้องใช้น้ำแข็ง" เจ้าของเสียงสดใสเอ่ยถามหลังจากอาการบวมนั้นหายไปภายในไม่กี่วัน

    "แม่เคยทำให้" คยูฮยอนตอบสั้นๆระหว่างที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้านหน้าประตูบ้านเช่นเดิม .. คนฟังลอบมองเด็กชายเพียงชั่วครู่ ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ใบเดิมออกมา

    "พี่จีวอนบอกว่านี่เป็นบ้านของเรา" มือน้อยยื่นส่งกระดาษขาดวิ่นนั้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้คยูฮยอนกลับหยิบเศษหนังสือพิมพ์แล้วคลี่ให้ความยับย่นคลายออกเพียงแม้สักนิดก็ยังดี และการกระทำดังกล่าวก็ทำให้คนนั่งข้างกันเผลอยิ้มกว้าง

    "โตขึ้นเราจะไปอยู่บ้านหลังนี้ล่ะ"

    แววตาของเด็กชายผู้รับฟังยังก้มมองบ้านหลังเดิมบนแผ่นกระดาษ ครั้งนี้คยูฮยอนได้สังเกตเห็นว่ามีข้อความประกาศขายบ้านพร้อมที่ดินเป็นตัวหนังสือเล็กๆและชื่อเมืองที่เขาไม่คุ้นเคย

    "ฮยอนมาจากในเมือง รู้มั้ยว่าที่นี่อยู่ตรงไหน?"

    คำถามไม่ต่างจากเดิมถูกเอ่ยอีกครั้ง แม้คำตอบที่กระจ่างชัดในความคิดคือการปฏิเสธ แต่เขารู้ดีว่าเราทุกคนที่นี่ต่างอยู่ได้ด้วยความหวัง แม้เพียงเศษเสี้ยวที่มีโอกาสเป็นจริง ก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสให้คิดฝันได้เลย..

    "ในเมืองไม่มีหญ้าแบบนี้" คยูฮยอนตอบไม่ตรงคำถาม แต่นั่นกลับทำให้คนตัวเล็กข้างๆพยักหน้ารับอย่างใจจดใจจ่อ แววตากลมใสที่ยังอยากฟังเขาเล่าต่อก็ทำให้เด็กชายพูดน้อยยอมเอ่ยคำออกมา

    "มีแต่ตึกสูงๆ ทุกคนขับรถยนต์ หรือไม่ก็นั่งรถไฟฟ้า"

    "รถไฟฟ้า?"

    "อืม..ก็เป็นรถไฟที่วิ่งไวๆ"

    คำถามคำตอบที่ผลัดกันเอ่ย เรียกให้หญิงสาวที่บังเอิญเดินผ่านมาต้องหยุดมองทั้งรอยยิ้มบาง จีวอนทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย เพราะเธอเองก็เป็นเด็กที่ไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นจากพ่อกับแม่ จีวอนจึงเข้าใจว่าเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกผลักไสให้ต้องมาอยู่ที่นี่อย่างจำใจจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างไร ..และเด็กชายอีกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวังจากกระดาษแผ่นเดียวจะเหงาใจเพียงใด..

    ทว่าในตอนนี้..ทั้งคู่กำลังค่อยๆเติมเต็มความขาดหายของกันและกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ..

    .
    .
    .

    "ซองมินไม่ไปยืนตรงกลางเหรอ?" เสียงของพี่จีวอนที่ยืนขนาบข้างขวาของเขาเรียกให้คยูฮยอนหันไปมองร่างน้อยด้านซ้ายมือผู้เป็นเจ้าของชื่อนั้น และเด็กชายที่มีความสูงมากกว่าใครกลับต้องเผลอเม้มปากเพราะกลัวจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบจากเสียงสดใส

    "จะยืนข้างฮยอน"

    "ตามใจ" หญิงสาวพูดทั้งรอยยิ้ม แล้วยกมือให้สัญญาณกับช่างภาพที่ยืนตรงหน้า

    "ยิ้มกันนะทุกคน" เมื่อพี่จีวอนเอ่ยสำทับอีกครั้ง เด็กชายนับสิบชีวิตที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานด้านหน้าของบ้านจึงพร้อมใจกันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะมีเสียงจากชายวัยกลางคนที่ยืนเกือบชิดประตูรั้ว

    "น้องคนที่ตัวเตี้ยๆน่ะ มายืนตรงกลางดีกว่านะครับ ภาพจะได้ออกมาสวย"

    คยูฮยอนผินมองใบหน้ากลมอิ่มของคนที่ยืนข้างกันกำลังบิดเบ้ลงอย่างเริ่มไม่พอใจเมื่อสิ้นคำเอ่ยนั้น เด็กชายจึงโน้มใบหน้าลงไปพูดให้อีกคนได้ยิน

    "ไปยืนตรงกลางเถอะ"

    คนตัวเล็กหันขวับมาจ้องเขา และคราวนี้ก็เต็มไปด้วยสีหน้าบูดบึ้งอย่างไม่คิดปิดบังอาการไว้ เรียกให้พี่จีวอนต้องเดินอ้อมหลังมาหาแล้วโอบไหล่กระทัดรัดนั้นเบาๆ

    "ซองมินไปยืนตรงนั้นก่อนนะ แล้วพี่จะให้พี่จินกูถ่ายรูปเรากับคยูฮยอนอีกรูป ดีมั้ยจ๊ะ?"

    แววตากลมใสจ้องหน้าพี่จีวอนสลับกับคยูฮยอนเพียงไม่นาน ก่อนที่ร่างน้อยจะก้าวเดินฉับๆไปแทรกกลางระหว่างเพื่อนสองคนที่มีความสูงไม่ต่างกัน ..คยูฮยอนโน้มตัวไปด้านหน้าเพียงนิดเพื่อลอบมองเจ้าของใบหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ จนได้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังฉีกยิ้มกว้าง เขาจึงยืดตัวตรงเมื่อช่างภาพเอ่ยนับอีกครั้ง..

    และเด็กชายคงไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตัวเองในรูปหมู่นั้น..กลับไม่สดใสเท่าอีกรูปคู่จำเป็นของเขาที่ยืนเคียงข้างใครอีกคน..

    .
    .
    .

    เสียงจอแจของเด็กชายหลายคนที่ต่างมากระจุกรวมกันดูภาพถ่ายอัดกรอบซึ่งถูกวางไว้บนชั้นภายในบ้านไม่ได้เรียกความสนใจของคยูฮยอนเท่าไรนัก เขาเดินตรงไปหาร่างน้อยที่ยังยืนดูรูปใบนั้นเหมือนคนอื่น ก่อนจะยกมือสะกิดไหล่ของคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

    "ขอกระดาษบ้านหน่อย"

    คนฟังเอียงคอมองเขาเพียงไม่นาน แล้วล้วงกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นนั้นออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่สิ่งที่ถูกหยิบติดมือมาด้วยในคราวนี้ กลับเป็นรูปขนาดเล็กที่มีเขาและเจ้าตัวยืนใกล้กัน ฝ่ามือขาวแบออกให้คยูฮยอนหยิบของที่ต้องการ เมื่อได้เศษกระดาษรูปบ้านมาถือไว้ เด็กชายเลยบอกอีกฝ่ายสั้นๆว่าเดี๋ยวมา จากนั้นเขาจึงเดินตรงไปหาพี่จีวอนด้านหลังบ้าน

    "พี่จีวอน.." หญิงสาวหันมาหาต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นคยูฮยอนจึงส่งยิ้มให้ แล้วถามถึงรูปคู่ที่เธออัดให้ทั้งสองคนเก็บไว้อย่างละใบ คยูฮยอนไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับยื่นฝ่ามือที่มีกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นนั้นพร้อมกับรูปถ่ายคู่กันของเขาและเด็กชายตัวเล็กอีกคน

    "ทำให้สองอันนี้อยู่ในรูปเดียวกันให้หน่อยได้มั้ย.."

    พี่จีวอนก้มมองของสองอย่างในมือของเขาก่อนที่เธอจะยิ้มจางพร้อมพยักหน้ารับ..

    .
    .
    .

    "ฮยอนเอาบ้านเราไปไหน?"

    "..."

    "ทำไมไม่ตอบล่ะ เอาไปทิ้งเหรอ?"

    "..."

    เสียงที่เจืออารมณ์ขุ่นมัวและเอ่ยถามซ้ำๆอยู่แบบนั้น เรียกให้คยูฮยอนส่ายหน้าตอบพร้อมชะเง้อมองหาพี่จีวอนไปด้วย เขาแค่ไม่รู้จะตอบอีกคนไปว่าอะไรดี คิดว่าให้เจ้าตัวเห็นผลลัพธ์เอาเองคงดีกว่า แต่ดูเหมือนจะช้าไป..

    "นิสัยไม่ดี!"

    เสียงกระแทกกระทั้นมาพร้อมกับมือเล็กที่ล้วงกระเป๋ากางเกงไวๆเพื่อหยิบรูปออกมาแล้วขยำเป็นก้อนกลมก่อนจะโยนทิ้งถังขยะโดยจงใจให้เขาเห็นในสายตา คยูฮยอนจ้องทุกการกระทำอยู่นานกระทั่งคนเข้าใจผิดเดินลับตาไป เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปที่ถังขยะและก้มหยิบรูปยับย่นนั้นขึ้นมาถือ

    ..เด็กชายใช้กระดาษทิชชู่ซับน้ำแค่บางเบา บรรจงเช็ดคราบสกปรกออกจนหมด ทว่าแม้จะพยายามใช้ปลายนิ้วรีดเพียงใด ภาพถ่ายใบนั้นก็ไม่อาจกลับมาเรียบได้อีก..

    คยูฮยอนผ่อนลมหายใจช้าก่อนเก็บรูปใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อ และเสียงของพี่จีวอนที่เอ่ยเรียกหลังจากเดินเข้ามาในบ้าน ก็เรียกรอยยิ้มจางบนใบหน้าของเด็กชายได้..

    .
    .
    .

    ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเตียงนอน ภาพของเด็กชายหลายคนที่หลับสนิทไปแล้วในยามค่ำ เรียกให้คนที่เพิ่งเข้ามาเป็นคนสุดท้ายต้องก้าวอย่างระมัดระวังกระทั่งถึงเตียงของตัวเอง ..คยูฮยอนมองร่างน้อยในผ้าห่มบนเตียงข้างกันที่พลิกตัวตะแคงไปอีกทางทันที่ที่เขาเดินมาถึง ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังโกรธเคืองเขาอยู่มาก แต่ไม่รู้ทำไมอาการกระฟัดกระเฟียดนั้นจึงทำให้คยูฮยอนเผลอยิ้มบางออกมาได้อีกครั้ง

    เด็กชายตัวสูงนั่งลงบนเตียงนอน ก่อนจะยกมือไปสะกิดกองผ้าที่ยังขยับตัวยุกยิก และเอ่ยเพียงแผ่วเบา

    "เอาบ้านมาคืน"

    สิ้นคำนั้น ผ้าห่มที่เคยคลุมร่างอีกคนไว้กลับถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคนตัวเล็กที่ลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาจ้องเขา คยูฮยอนจึงได้เห็นว่ามีร่องรอยคราบน้ำตาบนใบหน้ากลมอิ่มนั้นท่ามกลางแสงเงาจากดวงไฟภายนอก ..เขาล้วงหยิบของสองอย่างจากในกระเป๋าเสื้อออกมาเพื่อวางลงบนตักของคนที่นั่งมองกัน กระทั่งร่างน้อยหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาถือและพยายามยกขึ้นส่องผ่านเงาไฟที่พาดผ่านในห้องนอนกว้าง

    อย่างแรก..คือภาพถ่ายที่อีกฝ่ายโยนทิ้งถังขยะไป

    และอีกอย่าง..

    "..."

    ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกมาจากปากเจ้าของมือเล็กทั้งสองข้างที่ยกกระดาษอีกแผ่นขึ้นสูง คยูฮยอนไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่คนตรงหน้าได้รับจะทำให้เจ้าตัวรู้สึกแบบใด เขาเพียงแค่อยากให้รูปทั้งสองอยู่ด้วยกัน เพราะเมื่อหยิบขึ้นมาดูในทุกครั้ง คยูฮยอนจะได้เห็นรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมด้วยความฝัน จากคนที่มอบมิตรภาพดีๆให้เขาตลอดมา..

    "เก็บไว้นะ"

    เด็กชายเอ่ยแสนสั้น ก่อนจะเอนลงนอนบนเตียงของตัวเอง โดยไม่รู้ว่าท่ามกลางแสงเงาเลือนลางนั้น กำลังมีใครอีกคนที่ยิ้มกว้างแล้วนอนลง ..ร่างน้อยถือรูปภาพยับย่นและกระดาษเคลือบที่มีทั้งรูปถ่ายของเราสองคนกับบ้านหนึ่งหลังไว้ด้วยกันอยู่ในมือ..ตลอดทั้งคืน

    .
    .
    .

    "อ่ะ" มือเล็กยื่นส่งจานข้าวพร้อมน่องไก่ทอดมาให้ แล้วทิ้งตัวนั่งลงหน้าประตูบ้านข้างกันเหมือนเคย คยูฮยอนหันไปยิ้มจางรับเจ้าของรอยยิ้มสดใสข้างตัว ก่อนที่เสียงรถจากหน้าบ้านจะเรียกให้เด็กชายทั้งสองหันมองตาม..

    กระทั่งได้เห็นว่าใครที่ลงจากรถคนนั้นมา..คยูฮยอนจึงไม่ยอมกินข้าวจานนั้นอีกเลย

    .
    .
    .

    "ทำไมคุณถึงเพิ่งติดต่อมาล่ะคะ.." จีวอนเอ่ยถามหญิงสาวที่เจือความหม่นหมองบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคยูฮยอนลุกขึ้นเดินหนีไปทันทีที่พบเธอ..

    "ฉันเคยไม่ทราบว่าคุณคยูฮยอนมาอยู่ที่นี่.." เจ้าของชื่อในเอกสารขอรับตัวโจคยูฮยอนไปอุปการะพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความละอายใจในวันที่วิ่งหนีเหตุการณ์เลวร้ายในบ้านหลังนั้น

    "ฉันคิดว่าคุณหนูจะมีชีวิตที่สะดวกสบายดี แต่ไม่คิดว่า.."

    โบนาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้น ในคืนนั้นเธอวิ่งหนีเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างจงใจ แม้จำเป็นต้องไปให้ปากคำในฐานะผู้อาศัยบ้านหลังนั้น ทว่าแววตาเรียบเฉยของคยูฮยอนที่มอบให้ราวกับเธอไม่ใช่พี่เลี้ยงแสนดีของคุณหนูคนเดิม ยิ่งทำให้โบนารู้สึกผิดต่อการกระทำที่เห็นแก่ตัวของเธอและเดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ..เธอทราบเพียงแค่คยูฮยอนไปอาศัยอยู่กับญาติห่างๆ โดยที่คดีฆาตรกรรมก็ถูกปิดลงเมื่อตำรวจจับผู้ร้ายได้พร้อมคำให้การว่าปล้นชิงทรัพย์

    "ถ้าฉันไม่ทิ้งเขาไป..คุณหนูก็คงยังอยู่ในบ้านหลังเดิม ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่"

    หญิงสาวทราบเรื่องราวนี้เมื่อเธอเดินทางกลับมายังเมืองหลวงเพื่อทำธุระส่วนตัว ก่อนจะตรงไปยังบ้านหลังเดิมซึ่งบัดนี้รกร้างเพราะไม่มีคนดูแลมาหลายปี คนละแวกนั้นยังคงพูดถึงเรื่องราวในคืนนั้นราวกับประสบเหตุเอง บ้างก็ว่าคยูฮยอนสติไม่ดีหลังจากย้ายไปอยู่กับญาติ หรือไม่ก็คงเตลิดเปิดเปิงกลายเป็นเด็กไร้ที่อยู่ไปแล้ว และบ้านหลังใหญ่นั้นก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้เนื่องจากข่าวลือที่สร้างความหวาดกลัวไปต่างๆนาๆ ..กระทั่งโบนาตัดสินใจติดต่อญาติผู้รับคยูฮยอนไปดูแล เสียงจากปลายสายที่ดูไม่ไยดีต่อการลาจากของเด็กชายคนหนึ่งยิ่งทำให้เธอรู้สึกย่ำแย่กับความแล้งน้ำใจ โบนาจึงเดินทางมายังบ้านอุปการะแห่งนี้เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีตที่เธอได้ทำ

    "แล้วเรื่องทรัพย์สิน.."

    "ทุกอย่างยังเป็นชื่อของคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายค่ะ คุณหนูมีสิทธิ์โดยชอบธรรม ถึงตอนนี้จะเหลือแค่บ้าน..แต่ฉันก็ยังอยากให้เขากลับไป.."

    จีวอนก้มมองเอกสารตรงหน้าอย่างพอเข้าใจ โบนาคนนี้แตกต่างจากพี่เลี้ยงของคยูฮยอนเมื่อสามปีก่อน เธอกลายเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารเล็กๆซึ่งไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าไรนัก เพียงแต่สิ่งที่จีวอนกังวล คือการให้คยูฮยอนกลับไปอยู่ในบ้านหลังเดิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำเลวร้ายเกินกว่าเด็กชายวัย 10 ปีจะต้องอดทนและทำใจกับความรู้สึกเหล่านั้น

    "เดี๋ยวฉันจะคุยกับคยูฮยอนเองค่ะ แต่ว่า..ให้เจ้าตัวตัดสินใจเองนะคะ" จีวอนเอ่ยบอกกับคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงระคนลำบากใจ แต่เธอก็ย่อมอยากให้คยูฮยอนได้กลับไปใช้ชีวิตในแบบที่ควรจะเป็น

    ทว่าหญิงสาวสองคนที่พูดคุยกันในห้องรับแขกคงไม่อาจรู้ว่า ทุกถ้อยคำจากบทสนทนาได้ส่งผลให้ร่างน้อยของใครคนหนึ่งที่ยืนหลบมุมตรงขอบประตูได้รับรู้ทุกอย่าง..

    .
    .
    .

    เสียงถอนหายใจจากคนที่นั่งอยู่ริมสนามหญ้าข้างบ้าน เรียกให้เจ้าของร่างกระทัดรัดยืนมองนิ่งนาน ..'อีซองมิน' คือชื่อที่ถูกเรียกตลอด 10 ปีของการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอุปการะแห่งนี้ เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองเกิดที่ไหน พ่อกับแม่หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะสิ่งเดียวที่ติดมาในตะกร้าพร้อมร่างของตนเมื่อครั้งเป็นทารกตามคำบอกเล่าจากเจ้าของที่นี่ คือกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เป็นรูปบ้านหลังนั้น..

    บ้าน..จึงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ซองมินต้องการจะมีเป็นของตัวเอง..

    ช่วงขาสั้นก้าวเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกันกับเด็กชายตัวสูงที่เหม่อมองไปยังด้านหน้า คนตัวเล็กกว่าจ้องเพียงชั่วครู่ เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อน ก็ทำทีล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกระดาษเคลือบซึ่งมีทั้งภาพของบ้านในหนังสือพิมพ์และรูปคู่ของพวกเขาอยู่ด้วยกันออกมา

    "ฮยอนยังมีบ้าน ..แต่เรามีแค่นี้เอง"

    เสียงเล็กที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เรียกให้เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยหันมามองกัน และลดสายตาลงดูรูปบ้านในกระดาษแผ่นนั้น

    "..."

    "ถึงเราจะเหงา..แต่เราก็ยังอยากให้ฮยอนกลับบ้านนะ"

    ซองมินพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ถึงเขาจะทำตัวติดคยูฮยอนตลอดเวลาร่วมปีที่เจ้าตัวมาอยู่ที่นี่ แต่อย่างน้อยการให้เพื่อนได้กลับบ้าน ก็เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ซองมินรู้สึกว่าความฝันของตัวเองถูกเติมเต็มได้จากคนที่ไม่ไกลตัวเขา

    ..ทว่าเมื่อเอ่ยจบ เด็กชายตัวสูงคนเดิม ..คนที่ซองมินเคยอยากแย่งไก่ทอด ..คนที่ไม่ชอบกินผักลวก ..คนที่เคยประคบเย็นให้ในวันที่โดนลูกบอลกระแทก และเป็นคนที่ทำให้เราสองคนได้อยู่ในกระดาษใบเดียวกับบ้านของซองมิน ..กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

    คนตัวเล็กกว่าจึงทำเพียงแค่ถือกระดาษเคลือบใบเดิมไว้ แล้วใช้มือน้อยอีกข้างเอื้อมไปลูบบนแผ่นหลังของคนข้างกันช้าๆอยู่แบบนั้น..

    .
    .
    .

    "เข้มแข็งนะคยูฮยอน พี่เชื่อว่าเราทำได้"

    พี่จีวอนยกมือลูบบนเรือนผม เอ่ยคำให้กำลังใจในวันที่คยูฮยอนตัดสินใจย้ายออกจากบ้านอุปการะเพื่อไปใช้ชีวิตของตัวเองในบ้านหลังเดิม ..คยูฮยอนหันมองพี่โบนาที่ยังส่งรอยยิ้มพร้อมถือกระเป๋าสัมภาระรออยู่ด้านหน้าประตู ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมวันนั้นพี่โบนาถึงไม่กลับมาหากันและทิ้งให้เขาต้องพบภาพเลวร้ายในความทรงจำนั้นเพียงลำพัง ..แต่เพราะที่นั่นยังเป็นบ้านของพ่อกับแม่ ..เป็นที่สุดท้ายที่เขาอยากใช้ชีวิตในทุกๆวัน รวมทั้งเป็นที่ของความหวังซึ่งถูกฝากมาจากคนสำคัญ คยูฮยอนจึงตัดสินใจแล้วที่จะกลับไป..

    "พี่โบนา..รอก่อนได้มั้ย"

    "ค่ะคุณหนู"

    คยูฮยอนโน้มตัวลงตอบรับ แล้วเดินย้อนไปยังหน้าห้องครัว เพราะเขาเห็นว่ามีเสี้ยวใบหน้าของใครบางคนที่หลบอยู่ด้านหลังกำแพงนั้น

    "แอบทำไม" เด็กชายตัวสูงเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงด้านในและพบว่าร่างน้อยกำลังยืนนิ่งก่อนจะก้มหน้าลง

    "ฮยอน..จะลืมเรามั้ย.."

    "ไม่"

    แทบจะเป็นคำตอบแรกที่คยูฮยอนเอ่ยส่วนขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายถามจบ เขาเม้มปากน้อยๆก่อนจะยกมือขึ้นวางบนไหล่เล็กของคนตรงหน้า



    "เราจะไปหาซองมินที่บ้านหลังนั้น"



    ใบหน้ากลมอิ่มเงยขึ้นมองกัน แม้จะมีหยาดน้ำบางเบาขังคลอรอบขอบตากระทั่งหยดลงมาเป็นทาง ทว่าร่างน้อยกลับยังคงส่งยิ้มกว้างให้คยูฮยอน..

    .
    .
    .
    .
    .

    และเป็นรอยยิ้มที่ฉายชัดอยู่ในใจของเขาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา..

    หลังจากวันนั้น คยูฮยอนได้กลับไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงเช่นเดิม ช่วงหลายเดือนแรกเขาต้องไปพักอาศัยที่บ้านของพี่โบนาระหว่างรอให้บ้านหลังเดิมถูกซ่อมแซมและปรับปรุงใหม่เพื่อลบลืมประสบการณ์อันเลวร้าย กระทั่งวันที่สามารถเดินผ่านประตูบ้านหลังเดิมเข้าไปได้ แม้จะมีคราบน้ำตาเบาบางบนใบหน้าของเด็กชาย แต่เพราะยังมีรูปใบใหญ่ของพ่อกับแม่ ยังมีกำลังใจจากพี่โบนาที่กลับมาเป็นพี่เลี้ยงแสนดี รวมถึงรอยยิ้มของใครอีกคนที่ยังส่งผ่านความฝันมาให้จากภาพถ่ายใบเดิม คยูฮยอนก็พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป..

    เมื่อคยูฮยอนเรียนจบชั้นมัธยมต้น เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปมอบเงินส่วนหนึ่งในสิทธิ์ของทายาทเพียงคนเดียวให้บ้านอุปการะที่เคยมอบความเมตตาต่อเขา

    ทว่ายามที่คยูฮยอนมาถึงสถานที่แห่งความทรงจำ.. 'อีซองมิน' กลับไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว..

    ถ้อยคำจากพี่จีวอนที่ยังดังก้องในความคิดตลอดเวลาที่เขาเดินทางถึงเมืองหลวง ซองมินถูกรับไปอุปการะโดยผู้ใหญ่มีเมตตาท่านหนึ่งหลังจากคยูฮยอนออกจากบ้านไปได้ร่วมปี สถานที่และชื่อเมืองที่เป็นแห่งเดียวกับบ้านในกระดาษหนังสือพิมพ์ยังคงห่างไกลเกินกว่าเด็กชายวัย 15 จะเดินทางไปเพื่อตามหาคนคนหนึ่งได้ ..ความวูบโหวงในใจกลายเป็นช่องโหว่ให้คยูฮยอนกลับมาเก็บตัวเพียงลำพังอีกครั้ง ทว่าเขายังคงรอคอยวันที่ตัวเองเติบโตมากพอที่จะเติมเต็มช่องว่างในความรู้สึกที่ขาดหายไปให้กลับคืนมา

    เด็กชายคนเดิมเฝ้ารอจากวันเป็นเดือน..จากเดือนเป็นปี

    จากปีที่ยังอาศัยในเมืองหลวง..ถึงปีที่ออกเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ยังโลกที่ไม่คุ้นตา..

    คยูฮยอนตัดสินใจขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศเมื่อเขาสอบเทียบจนจบชั้นมัธยมปลาย ชีวิตในโลกต่างแดนทำให้เขามีอิสระในการทำอะไรได้ตามใจอยาก ไม่มีอีกแล้วเด็กชายผู้เงียบเหงาจากความเศร้าหมองของวันวาน ไม่มีอีกแล้วเด็กชายผู้เคยเก็บตัวร้องไห้เพียงลำพังยามถึงวันครบรอบการจากไปของผู้มีพระคุณ ..มีเพียงชายหนุ่มผู้ปลดแอกความเจ็บปวดของตัวเองทิ้งด้วยการก้าวเดินต่อไปในทุกเช้าวันใหม่..

    สิ่งเดียวที่ยังคงเดิม..นั่นคือความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจ

    ความรู้สึก..ที่คล้ายความรักจากพ่อและแม่

    ความรู้สึก..ที่ไม่ต่างกับความห่วงใยของพี่โบนาที่ยังคอยถามข่าวคราวคุณหนูคนเดียวของเธอเสมอ

    ความรู้สึกนั้น..ยังคงเหมือนเดิมในทุกคราที่คยูฮยอนมองภาพสีเทาที่เป็นรูปคู่ใบเก่า..และบ้านหลังเดียว..

    .
    .
    .

    มือใหญ่ปลดฮู้ดลงเมื่อเขาเดินมาถึงทางแยกที่พาดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อน คิ้วเข้มมุ่นลงอย่างนึกลังเลในใจก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงและพบว่าไม่มีสัญญาณ ชายหนุ่มวัย 21 ผ่อนลมหายใจยาว เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิม จากนั้นจึงปลดซิปเป้สะพายหลัง หยิบแผนที่ออกมากางเพื่อตรวจสอบเส้นทางในเมืองเล็กห่างไกลจากความศิวิไลซ์ที่เขาเจอมาเกือบทั้งชีวิต

    "ทางซ้ายไปริมแม่น้ำ งั้นก็คง..ทางขวา"

    คยูฮยอนม้วนแผนที่เก็บลงในซิปที่เดิมและเดินตรงไปยังเส้นทางที่ตัวเองคาดเดา แดดจ้ายามบ่ายเรียกให้คนเดินทางเร่งฝีเท้าก้าวผ่านทางเดินลัดเลาะจากทุ่งหญ้ากว้างมาถึงต้นไม้สูงเรียงรายเป็นแนวยาว ..รองเท้าบูทหนังชะงักลงอย่างเริ่มไม่แน่ใจเมื่อรอบตัวเต็มไปด้วยต้นสนใหญ่เป็นทิวแถวกระทั่งสุดทางโค้ง เรียวปากได้รูปเม้มเข้าหากันน้อยๆก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบภาพถ่ายซึ่งบัดนี้หม่นหมองลงตามกาลเวลา

    รูปของบ้านหลังเดิมจากกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ยับย่นเคียงคู่เด็กชายสองคนบนกระดาษเคลือบ ยังคงเรียกรอยยิ้มจางจากเขาได้อย่างง่ายดาย ทุ่งหญ้าในภาพนั้นเลือนลาง แทบยืนยันไม่ได้ว่าเวลาหลายปีที่ผ่านพ้นจะยังคงสภาพเดิมหรือไม่ แต่ในเมื่อคยูฮยอนตัดสินใจแล้วที่จะเดินมาตามเส้นทางนี้ เขาก็ควรมุ่งไปจนไม่มีทางให้เดินต่อ..

    ใบหน้าคมเงยขึ้นมองแสงแดดที่ส่องลอดจากเงาไม้เพียงเบาบาง และย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน คยูฮยอนชินแล้วกับการหลงทาง หากรู้ว่าเดินผิด ก็แค่หมุนตัวเพื่อย้อนกลับมาทางเดิม อาจจะเสียเวลาไปบ้างแต่อย่างน้อยก็ยังได้เรียนรู้ว่าเส้นทางที่เลือกไม่ได้ถูกต้องเสมอไป

    ผิดพลาด..ก็แค่เริ่มต้นใหม่

    ทว่าเมื่อพ้นจากร่มเงาสนเรียงรายสุดปลายโค้ง ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่าไม่ได้คิดผิดไป เพราะภาพของผืนหญ้าสีเขียวอ่อนที่ล้อมรอบรั้วไม้สีขาวสะอาดตรงหน้า..



    ..และบ้านหลังหนึ่ง..



    เจ้าของรองเท้าบูทหนังหยุดก้าวลงคล้ายต้องมนต์สะกดให้ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือละสายตา วันวานของกาลเวลาหมุนกรอรวดเร็วกระทั่งภาพความทรงจำทุกอย่างฉายชัดในความคิด ..และกระแสความรู้สึกกลับยิ่งพัดพาราวกับน้ำหลากแผ่กระจายทั่วท้นในอกจนชายหนุ่มไม่อาจเปล่งถ้อยคำใดออกมาได้



    ..เมื่อคยูฮยอนได้เห็นใครอีกคนที่กำลังเดินออกมาเปิดรั้วบ้านเพื่อหยิบจดหมายในตู้ไปรษณีย์..



    คยูฮยอนอาจยังไม่แน่ใจว่าบ้านหลังนี้..ใช่สถานที่เดียวกับบ้านในกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าหรือไม่

    ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาเดินทางมาไม่ผิดที่ ..คือแววตากลมใสของร่างน้อยที่หันมาพบคนแปลกหน้ายืนห่างจากประตูรั้วไม่ไกลจากกัน

    .
    .
    .

    ท่ามกลางความเงียบและไอลมเย็นที่พัดผ่านรอบกายให้ผืนหญ้าสีเขียวอ่อนปลิวไหวเชื่องช้า ..ชายหนุ่มอีกคนค่อยๆขยับก้าวเข้ามาใกล้จนได้เห็นโครงหน้าคมที่คลับคล้ายคลับคลาในความทรงจำ..

    ความสับสนในคราแรกจากผู้มาเยือนที่ไม่คุ้นเคย กลับถูกเฉลยผ่านกระดาษเคลือบในมือของอีกฝ่ายที่ยื่นส่งมาให้..



    รูปคู่ใบเก่า บ้านหลังเดิม..และคำสัญญาของเรา



    มือขาวรับภาพถ่ายใบนั้นมาถือไว้ในมือ เพ่งมองกระทั่งสายตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำขังคลอ และเงยหน้าขึ้นสบแววตาคู่เดิมที่ยังสะท้อนตัวตนของเด็กชายเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างชัดเจน

    "ทำไม..ทำผมสีนี้"

    คำถามแรกจากร่างน้อย เรียกให้คนตัวสูงกว่ายกมือขึ้นลูบท้ายทอยที่มีไรผมสีทองสว่างเกลี่ยอยู่บริเวณต้นคอ

    "ดูแปลกเหรอ.."

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าตอบทั้งรอยยิ้มบาง คยูฮยอนจึงค่อยลดมือลงข้างตัว อาการประดักประเดิดในไม่กี่วินาทีแรกที่ได้พบกันค่อยๆจางหายไปยามที่แววตาของชายหนุ่มทอดมองเจ้าของร่างกระทัดรัดในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวซึ่งกำลังเอ่ยถามเขาขึ้นมาอีกครั้ง

    "แล้ว..สบายดีมั้ย.."

    ความสูง..ยังคงแตกต่างจากเขาในระยะที่ปลายจมูกรั้นและผิวแก้มอิ่มนั้นอยู่ระดับเพียงแค่ไหล่

    เสียง..ถึงจะแตกต่างตามอายุที่เปลี่ยนไป ทว่าทุกครั้งที่ได้ฟังก็ทำให้คยูฮยอนไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะตอบคำถามเจื้อยแจ้วในวันนั้น

    รอยยิ้ม..ที่แม้จะมาจากดวงหน้าอ่อนหวานกว่าชายทั่วไป แต่ไม่เคยแตกต่างจากยิ้มสดใสของเด็กชายตัวน้อยในวันเดิม



    'อีซองมิน' ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย..



    "อืม" ชายหนุ่มพูดตอบรับในลำคอเมื่อรับรู้ถึงเสียงในอกที่ดังขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุในระหว่างที่เขาเพ่งมองอีกฝ่ายนิ่งนาน คยูฮยอนคิดจะถามไถ่คนตรงหน้าบ้าง ..ทว่าเสียงเล็กติดสั่นน้อยๆที่ได้ยินอีกคราในตอนนั้นกลับทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งงัน..



    "ยังอยากกินไก่ทอดอยู่รึเปล่า.."


    "..."


    "ยังไม่ชอบกินผักลวก ประคบเย็นเวลาหัวโน แล้วก็นั่งรถไฟที่วิ่งไวๆด้วยใช่มั้ย.."



    สิ้นถ้อยคำมากมายที่เต็มไปด้วยภาพความหลังในวันวาน หยาดน้ำที่เคยขังคลอในแววตากลมใสรินไหลลงมาเป็นทาง.. แต่เจ้าของคำถามนั้นกลับยังส่งยิ้มกว้างให้เขา..



    "คยูฮยอน.."



    "ยังไม่ลืมเราจริงๆด้วย.."



    ราวกับจิ๊กซอว์อีกชิ้นที่ขาดหายไปในชีวิตกลับมาแทนที่ช่องว่างในหัวใจให้เติมเต็ม มือใหญ่ค่อยๆยกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ปลายนิ้วยาวจะเกลี่ยหยดน้ำบนใบหน้าอ่อนหวานนั้นแผ่วเบา



    "เรา.."



    คยูฮยอนเว้นช่วงคำพูดเมื่อรับรู้ถึงความอัดแน่นในใจที่เต็มล้นและถูกระบายออกมาเป็นน้ำใสที่คลอหน่วงจนหยดลงไม่ต่างกัน



    "..ไม่เคยลืมซองมิน"



    "ไม่เคยเลย"



    สิ้นเสียงทุ้มเอ่ยความในใจ วงแขนที่ไม่เคยโอบกอดใครมานานแสนนานกลับรั้งร่างน้อยตรงหน้าเข้ามาแนบชิดอกกว้าง เสียงสะอื้นไห้ที่ได้ยินเรียกให้มือใหญ่ยกขึ้นลูบบนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ซบอิงบนไหล่อย่างทะนุถนอม

    ..กระดาษเคลือบใบเดิมที่มีภาพถ่ายสีเทาของเราสองคนและบ้านหนึ่งหลังยังคงอยู่ในฝ่ามือของคนที่เป็นฝ่ายเฝ้ารอความฝันที่เคยคิดว่าอาจไม่มีวันเป็นจริงได้

    ทว่าความเดียวดายจากการรอคอยนั้น..ได้สิ้นสุดลงแล้ว..



    "เรามาหาซองมินแล้วนะ.."



    .
    .
    .
    .
    .



    [End]

    ..
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in