เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สังขละบุรี...เขียนเพราะคิดถึงThanabordee Phuangthaisong
สังขละบุรี...เขียนเพราะคิดถึง
  • ถ้าหากใครถามผมว่า "เราสามารถคิดถึงสถานที่ใดสักแห่งได้จากอะไร?"
    ผมก็จะตอบแค่ว่า "จริง ๆ แล้วเราคิดถึงที่ที่หนึ่งจากอะไรก็ได้ต่อให้สิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในสถานที่นั้น :)"

    ลอกเลียนมาจากบทความชื่อ "ไม่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า - ทั้งหมดนี้อุทิศแด่คุณผู้เป็นที่รักและจากไป -" 

    ในวรรคที่กล่าวไว้ว่า
    ถ้าหากใครถามเราว่า "เราสามารถตกหลุมรักใครสักคนผ่านตัวอักษรได้ไหม?"
    เราก็จะตอบแค่ว่า "จริง ๆ แล้วเราตกหลุมรักคนจากอะไรก็ได้ต่อให้เรามองไม่เห็นเขาอยู่ตรงหน้าเรา :)"

    นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเขียนถึงสถานที่หนึ่งที่มีชื่ิอว่า"สังขละบุรี"

    ผมเริ่มออกเดินทางด้วยเหตุผลที่ว่า ผมต้องการเจอเพื่อนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ วิถีชีวิตที่แตกต่าง หรืออาจเป็นสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง และอีกเหตุผลหนึ่งคือผมออกเดินทางเพื่อที่จะค้นหา"อะไรบางอย่าง"

    บางที"อะไรบางอย่าง"นั้นอาจเป็น"เรื่องราว" และผมจะเขียนถึงเรื่องราวเหล่านั้นด้วยความคิดถึง คิดถึงสถานที่ คิดถึงคน คิดถึงสัตว์ คิดถึงสิ่งของ คิดถึงช่วงเวลา คิดถึงเรื่องราว ที่ควรค่าแก่การจดจำ

    และต่อไปนี้จะเป็นการร่ายยาวถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้นึกถึงสังขละบุรีด้วยความคิดถึง

    เริ่ม! 

    ผมคิดถึงหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty ที่เป็นหนึ่งแรงบันดาลใจให้อยากออกไปเที่ยว

    คิดถึงคำขวัญของนิตยสาร LIFE ในวรรคที่ว่า "Draw closer, to find each other, and to feel." ที่ทำให้รู้สึกว่าการออกเดินทางนั้นต้องมีความหมายบางอย่าง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแบบอินเซปชั่น เพราะเห็นจากในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty อีกทีหนึ่ง

    คิดถึงเงินเก็บอันน้อยนิดที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกจุดหมายและแผนการเที่ยว

    คิดถึงรถทัวร์สาย 999 กรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์ ที่ออกเดินทางช้ากว่ากำหนดสิบห้านาที แต่สุดท้ายก็พาผมมาถึงที่หมาย

    คิดถึงเส้นทางนรกแตกสามสิบกิโลเมตรก่อนถึงสังขละบุรีที่น่าหวาดเสียวจนผมต้องเอามือทาบอกเพราะกลัวว่ารถจะเบรกแตกไถลตกเขาจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ก็รู้สึกดีใจที่รอดชีวิตมาได้จากการเดินทาง

    คิดถึงพี่วินมอไซค์ในอำเภอที่ผมกลัวว่าจะขูดรีดเงินจากนักท่องเที่ยวแปลกหน้าหน้าตาจนๆอย่างผม แต่จริง ๆ แล้วเขาก็เก็บค่าโดยสารในราคาสิบบาท จนทำให้ผมดูเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างน่ารังเกียจ

    คิดถึงครูเกสต์เฮาส์ ที่เป็นที่พักห้องพัดลม ที่สะอาด เงียบสงบ เรียบง่าย สไตล์ประหยัด เพียงแค่คืนละสองร้อยบาท ซึ่งผมรู้สึกภูมิใจอย่างมากที่เสิร์ชหาเกสต์เฮาส์นี้เจอตอนเวลาตีหนึ่ง

    คิดถึงน้องสาว(ซึ่งผมไม่ได้ถามชื่อเธอ)ที่เป็นผู้จัดการครูเกสต์เฮาส์ ที่ดูแลที่ความเป็นอยู่ในที่พักเป็นอย่างดี ที่ดูเป็นคนสุภาพ ขี้อาย และเป็นคนที่ทำงานเก่งในเวลาเดียวกัน

    คิดถึงลุงช้าง คุณลุงท่าทางใจดีที่เข้ามาทักทายผมว่า"มาจากไหน จะอยู่กี่วัน จะไปเที่ยวไหนล่ะ?" แล้วก็แนะนำต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นคนใจดีมากๆว่า "ที่เที่ยวที่นี่ก็มีสะพานมอญ น้ำตกซองกาเลีย วัดวังก์วิเวการาม ไม่ก็ขับมอไซค์ไปเที่ยวด่าเจดีย์สามองค์" ที่ฟังดูเป็นการกล่าวต้อนรับที่อบอุ่นไม่น้อย

    คิดถึงน้ำเสียงใจดีของลุงช้างที่เล่าต่อว่า"ที่นี่ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ค่อนข้างเงียบ สองทุ่มก็ปิดบ้านนอนกันแล้ว ถ้าชอบความความสงบก็มาถูกที่แล้ว" และรู้สึกอุ่นใจยิ่งขึ้นเมื่อผมได้ยินว่า "ที่นี่ไม่ค่อยมีอาชญากรรม เรื่องวัยรุ่นทะเลาะวิวาทก็ไม่ค่อยมีหรอก"

    คิดถึงรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวฟสี่น้ำเงินคู่ใจที่ทำให้ผมได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ตั้งแต่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในอำเภอสังขละบุรี จนถึงเจดีย์ทองที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอันสูงชันในอีกฟากของชายแดน

    คิดถึงร้านกาแฟของชื่นใจเฮาส์ที่ไปนั่งดูดกาแฟโง่ๆในตอนบ่่าย พร้อมกับวางแผนการเที่ยวไปด้วย



    คิดถึงถนนศรีสุวรรณคีรีที่เคยเดินรอบอำเภอเป็นระยะทางสามกิโลเมตรเพื่อสัมผัสบรรยากาศ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนในตอนเย็น ที่ได้เห็นว่าไม่มีบ้านหรืออาคารหลังในสูงใหญ่ไปกว่ากันมากนัก อีกทั้งอาคารแต่ละหลังยังเว้นระยะห่างให้มีพื้นที่หายใจได้สะดวก ให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ บนถนนที่สะอาดและกว้างใหญ่มีคนเดินเท้ามากกว่าคนขับรถ บางคนก็พูดภาษาที่ผมไม่รู้จัก บางคนก็พูดภาษาไทยสำเนียงเหน่อที่ฟังดูอ่อนหวาน และน้องหมาฝูงใหญ่ที่ผมสามารถเดินผ่านโดยที่พวกมันไม่แม้แต่จะเห่า ในเวลานั้นทุกคนและทุกตัวอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีเทาอึมครึมชวนเหงา


    คิดถึงสะพานมอญ สะพานไม้ที่ชวนเสียวเพราะรูปร่างที่ดูไม่มั่นคงที่พาดผ่านสายน้ำสามประสบ บนสะพานอันบอบบางเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยว หญิงสาวที่บริการทาแป้งทานาคา หรือหญิงสาวที่มีของมากมายเทินบนหัว อย่างเช่นถ้วย ถึง กะละมัง หม้อ ทุกย่างเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า ซึ่งก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่จะหงุดหงิด เพราะตอนนั้นผมก็อยากเดินช้า ๆ เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่วันนั้นมีเมฆมาก เลยทำให้ผมไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินในเวลาและสถานที่ที่ทำให้ผมผ่อนคลายที่สุด 

    คิดถึงสะพานแดงที่มีไว้ให้ยืนมองความงามของสะพานมอญอยู่ห่างๆ 

    คิดถึงบอย บาร์เทนเดอร์ชาวกะเหรี่ยงภูเขาสูง ที่มีหน้าที่เทียบเท่าผู้จัดการร้านของร้านบ้านจ๊อบ บาร์เหล้าเกือบจะแห่งเดียวในอำเภอสังขละบุรี บอยเล่าให้ฟังว่า"ผมไม่ค่อยอยากเรียนสูงหรอก เพราะเรียนสูงไปก็หางานทำไม่ได้อยู่ดี พี่ผมเรียนสูง หมดเงินไปเยอะ แต่ก็หางานทำไม่ได้" นอกจากจะทำงานในร้านเหล้าแล้ว บอยยังได้เรียนรู้การซ่อมรถจากพี่จ๊อบ เจ้าของร้านบ้านจ๊อบอีกด้วย แล้วบอยก็บอกด้วยว่า"ผมซ่อมได้หมด"

    คิดถึงยาเส้นใบหมากที่บาร์เทนเดอร์(บอย)สูบ เลยต้องขอลอง รสชาติแสบคอดี สูบลำบากนิดหน่อย เพราะต้องต่อไฟตลอดเวลา

    คิดถึงภูและเมย์ที่ชวนไปดื่มโต๊ะเดียวกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่สนุกมาก ทั้งสองคนได้ตอกย้ำคำพูดของลุงช้างว่าคนที่นี่ไม่น่ากลัวจริง ๆ เราคุยกันหลายเรื่องจนผมจำได้ไม่หมด จนในที่สุดก็ได้ตกลงกันว่าพวกเขาจะเป็นไกด์พาผมเที่ยว แม้จะเป็นวันเดียวแต่ก็ได้ไปเที่ยวหลายสถานที่ หลายเส้นทาง มากกว่าที่ผมวางแผนไว้ จนผมรู้สึกว่าการได้พบเจอกับพวกเขาที่ผมได้เที่ยวแบบคุ้มค่ามาก ๆ ขอบคุณทั้งสองคนมาก ๆ ที่ดูแลผมเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาสองคืนหนึ่งวัน

    คิดถึงครอบครัวชาวฝรั่งเศส ที่มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาคือฮิปสเตอร์ เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์

    คิดถึงคิวนักกระโดดน้ำโชว์ที่สะพานมอญเพื่อสมทบทุนช่วยเด็กกำพร้า ได้ยินว่าเป็นโครงการหนึ่งที่ทางอำเภอจัดตั้งขึ้น ผมไม่ได้พูดคุยกับคิดวมากนัก แต่ก็พอรู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีมากจริงๆ เพราะเขาได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว

    คิดถึงสมชายและเฟรม เด็กชายและเด็กหญิงหน้าขาวเพราะทาแป้งที่ขายดอกไม้ในร้านขายโจ๊ก

    คิดถึงพ่อค้าขายขนมซาโมซาและลูกชายที่ดูเป็นนักขายที่เก่งมากแม้ยังเด็ก

    คิดถึงคุณยายชาวมอญที่กราบพระสามครั้งลงกับพื้นถนนก่อนที่จะตักบาตร ทำให้ผมได้เห็นว่าคนมอญศรัทธาในพุทธศาสนามากกว่ากลัวว่าร่างกายจะเปื้อนดิน

    คิดถึงวัดวังก์วิเวการามที่ไม่ได้เข้าไปเยือน ได้เพียงแต่มองเจดีย์แบบพุทธคยาสีทองสวยงามที่ตั้งอยู่ในวัดอยู่ไกลๆ

    คิดถึงวัดเสาร้อยต้นที่เคยย่องตามไกด์เข้าไป พร้อมกับแอบฟังไกด์(ตัวจริง)อธิบายประวัติความเป็นมาของวัดแบบฟรีๆ

    คิดถึงตลาดพม่าพยาตองซูที่มีลักษณะเป็นทั้งตลาดสดและตลาดแห้ง มีทั้งของกินของใช้ ของกินส่วนใหญ่จะเป็นผักสวนครัว เนื้อสัตว์ ของป่า อย่างเนื้อกวาง อีเห็นวางกันบนแผงแบบสดๆ บรรยากาศภายในตลาดจะเต็มไปด้วยผู้คนและรถมอเตอร์ไซค์ที่บีบแตร ปี๊น! ปี๊น! ตลอดเวลาที่มีอะไรมากีดขวางหน้ารถ ปี๊น! ปี๊น! พื้นถนนมีคราบน้ำหมากประปราย ละอองฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มถนน  ถ้าผมจะขายสินค้าสักอย่างที่นี่ ผมคงจะขายหน้ากากกรองอากาศ หรือไม่ก็เเว่นกันลม เพราะที่นี่ฝุ่นเยอะจริงๆ ในตลาดมีเด็กๆเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน ในขณะที่หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่ามีความระแคะระคายใดๆ ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกกลัว 

    มีอย่างหนึ่งที่ผมสงสัยคือทำไมคนที่นี่(ตลาดพม่าพยาตองซู)ถึงใช้เงินบาทไทยซื้อขายสินค้า แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทำไม

    คิดถึงด่านเจดีย์สามองค์ที่ไม่รู้ความเป็นมาเกี่ยวกับสถานที่นี้มากนัก แต่รู้แค่ว่ามีบุหรี่ราคาถูกจนเพื่อนมันด่าว่า"ทำไมมึงไม่ซื้อมาเยอะๆ"

    คิดถึงถนนที่แนบชิดภูเขาจนเรารู้สึกว่ามองภูเขาใกล้ๆแล้วมันไม่สวยเลย

    คิดถึงร้านบ้านจ๊อบที่ได้เจอเพื่อนใหม่

    คิดถึงร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีไว้ให้ซื้อของใช้จำเป็น

    คิดถึงร้านหมู่จุ่มพม่าที่เปิดแม้วันมีคนน้อย และรู้สึกโชคดีที่ไม่ถูกแม่ค้าตีหัวแตก เพราะผมไปบอกกับฝรั่งว่าไม่โอเคกับยำหูหมูสไตล์พม่าที่ผมกำลังกิน ที่ไม่โอเคไม่ใช่เพราะว่ารสชาติมันไม่อร่อย แต่เพราะผมไม่ชอบกินเอ็นและกระดูกอ่อน

    คิดถึงลูกชิ้นหมู ฮอทดอกและลูกชิ้นเนื้อที่ตลาดนัดในวัดศรีสุวรรณที่ช่วยให้อิ่มท้อง และทำให้คิดได้ว่า เวลาออกเดินทางท่องเที่ยวเราต้องการเพียงแค่อาหารรสชาติธรรมดาให้เรากินเพื่ออิ่มท้อง ให้มีแรงเดินทางต่อ ให้มีเงินเหลือไว้ดื่มเบียร์

    คิดถึงน้องหมาโชคดีหลายๆตัวในอำเภอที่มีอาสาสมัครฝรั่งมาเลี้ยง

    คิดถึงMrs.Pauline ชาวอังกฤษที่ส่งตรงมาจากเมือง middlesbrough พร้อมสามีที่นั่งดูหมาป่ำปั๊มกันบนทางรถไฟ พร้อมกับอุทานว่า "Ohhh,noooo!"

    คิดถึง Mr.Ray สามี Mrs.Pauline ที่ปล่อยมุกยีนส์ลีวายจนขำกร๊ากกันลั่นสถานีรถไฟ ผู้หลงไหลในซามูไรและนินจา Mr.Ray ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับ Masaaki Hatsumi ซามูไรคนสุดท้ายเพียงเพราะ Ray เห็นผมอ่านหนังสือ"บูชิโด"ที่จริงๆแล้วผมก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง นอกจากนี้ Ray ยังสอนผมพูดภาษาญี่ปุ่นว่า ถ้ามีคนพูดคำว่า "Arigato" กับคุณ ให้คุณตอบไปว่า "Domo" 

    คิดถึงเพลง Dirty Paws ของวง Of Monsters And Men ที่ร้องว่า 

    หล่าาาา ลาาา ล๊าาาาาา! ลาาา ล๊าาา ลาาา ลาาาาา!

    ที่เพิ่มอรรถรสให้การเดินทางของผม ให้ผมได้รู้สึกว่าได้ออกผจญภัยเหมือนกับนาย Walter Mitty

    และผมก็ขอหยุดการร่ายยาวเพียงเท่านี้ เพราะผมรู้สึกว่าเพียงพอแล้วที่จะเขียนคำว่า"คิดถึง"
    เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนก็รอให้เราไปทำความรู้จัก - สุดารัตน์ เทียรจักร์นอกจาก"เรื่องราว"แล้ว บางที สิ่งที่ผมค้นหาอาจจะเป็น"ความไม่แน่นอน" 

    เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนก็รอให้เราไปทำความรู้จัก 

    ระหว่างการเดินทางคนเดียวมีเหตุการณ์มากมายที่ผมคาดไม่ถึง มันทำให้ผมรู้สึกกลัว แต่การอยู่ตัวคนเดียวมักทำให้เราเข้มแข็ง หนักแน่น กล้าหาญ ชาญฉลาด และเก่งกาจกว่าที่เราคิด เราได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ ได้เจอในสิ่งที่ไม่เคยเจอ เพื่อเรียนรู้และค่อยๆเติบโตขึ้น

    ขอบคุณสังขละบุรี 
    ขอบคุณทุกคนที่ดูแลผมตลอดการเดินทาง 
    ขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่ทำให้ผมตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้

    ด้วยความคิดถึง
    ยีน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in