เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Deliberate Gibberishnichised
วีเป็นคนคิดเยอะ
  • Disclaimer: This is a work of fiction. Names, characters, business, events and incidents are the products of the author's imagination. Any resemblance to actual persons, living or dead, or actual events is purely coincidental



     
    “เราเป็นคนคิดเยอะมากเลยนะ” วีบอกเราเป็นครั้งที่เท่าไหร่ฉันก็ไม่แน่ใจ เพราะจริง ๆ แล้วฉันก็ไม่คิดจะนับหรอก ฉันไม่แน่ใจว่าการคิดเยอะนี่มันเป็นยังไง เพราะไม่เคยได้ยินเสียงในหัวของคนอื่นจนเอามาเปรียบเทียบกับเสียงในหัวของฉัน ชีวิตฉันตอนนั้นไม่มีแรงกดดันอะไรนอกจากเข้ามหาลัยมีชื่อ เพื่อชีวิตที่มั่นคงในอนาคต ปัญหาหลังจากนั้นมันคืออะไรฉันยังไม่รู้เลย ไม่แน่ใจว่าต้องคิดเยอะแค่ไหนถึงจะเรียกว่าเยอะ 


    –––


    วีเป็นลูกคนจีน ขาว หมวย ตัวเล็ก แบบที่ชายไทยส่วนใหญ่ชอบ วีเองก็เคยบอกฉันว่า “ถ้าฉันไม่ขาว ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครสนใจฉันหรอก” ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เธอบอก เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนฉันซึ่งตัวคล้ำแดด เพราะเรียนว่ายน้ำตอน 11 โมงทุกสุดสัปดาห์


    ฉันในชั้นมัธยมต้นก็ไม่ได้คิดว่าสีผิวของตัวเองเป็นปัญหาอะไร ยกเว้นตอนที่คนอื่นดูจะมีปัญหากับฉัน
    “ถ้าแกขาว แกจะน่ารักมากนะ” วีพูดบ่อย ๆ 


    ถ้านั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้ฉันน่ารักขึ้นมาในสายตาเพื่อนผู้ชายในห้องได้ ฉันก็ไม่ค่อยอยากจะน่ารักเท่าไหร่ เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ฉันเองก็มีความสุขดีกับหนังสือที่ฉันอ่าน ไม่รู้ว่ามีผู้ชายมาชอบแล้วมันดียังไง มันอาจจะดีก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ ฉันไม่จำเป็นต้องลองอาหารทุกชนิดบนโลกสักหน่อย ของบางอย่างที่ไม่มีตามฤดูกาลเราก็แค่ไม่กิน ไม่เห็นต้องดันทุรังไปหามากินเลย 


    –––


    ฉันตัวเท่าวี พวกเราสูง 158 ซม. เท่ากัน วีหนัก 45 กก. ส่วนฉันหนัก 48 กก. ประโยคคลาสสิกของวีคือ “เราไม่อยากออกกำลังกาย เราไม่อยากให้ขาเราปูด” พูดจบวีก็มองที่ขาเราแล้วย้ำว่า “แกก็อย่าออกกำลังกายมากนะ กล้ามปูด ๆ มันน่าเกลียด” เรามองขาวี แล้วหันมามองขาเรา ไม่แน่ใจว่าขาปูดคืออะไร ในเมื่อเราสองคนก็ตัวแค่นี้ มันจะมีอะไรให้ปูด แล้วการมีกล้ามเนื้อไม่ได้แปลว่าเราแข็งแรงหรอ ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เรื่องขาปูดไม่ได้อยู่ในความคิดของฉันมากเท่าไหร่นัก ยกเว้นความสงสัยว่าแค่ไหนถึงเรียกว่าขาปูด
     –––


    วีถามฉันว่าอยากอยู่บ้านที่ไหน ฉันซึ่งมีอยู่บ้านเดิมมาตลอดชีวิต บ้านหลังเดิมที่ใกล้โรงเรียนจนสามารถตื่น 7 โมงแล้วไปทันเข้าแถวตอน 7 โมงครึ่งมาตลอดชั่วชีวิตนักเรียนของฉันทำให้ตอบไปว่าก็อยู่ที่ย่านนี้สิ วีทำหน้าเหมือนกลืนยาไทลินอลเข้าไปทางขวางแล้วติดคอ “ย่านเนี้ยมันไม่ค่อยน่าอยู่หรอกนะ ดูออกจะโลว์ ๆ น่ะ” ฉันไม่แน่ใจว่าความโลว์ที่ว่าคืออะไร ที่ต่ำทำให้น้ำท่วมหรือมีคนหนักแผ่นดินอาศัยอยู่แถวนี้ แต่ฉันในตอนนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ฉันกลืนคำถามที่ยังก่อตัวไม่ชัดเจนลงคอเหมือนยาแก้แพ้เม็ดเล็ก ๆ ทุกคืน แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ 


    ––– 


    “ทุกคนก็ชอบฉันแค่เพราะฉันขาว เธอโชคดีนะ เพราะถ้าใครชอบเธอ แปลว่าเขาชอบเธอที่ตัวตนของเธอจริง ๆ” ฉันกลืนยาเม็ดภูมิแพ้ขนานเดิม และสงสัยว่าวีไม่คิดว่าคนจะชอบเธอที่ตัวตนของเธอบ้างเลยหรือ ระหว่างนั้นความคิดของฉันก็ขาดช่วง เพราะรถเมล์ที่พวกเรารอเพื่อจะไปห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ ใกล้โรงเรียน บนรถไม่ได้มีคนมากมาย แต่ไม่มีที่นั่งเหลือ ฉันยังเด็กและแข็งแรง การโหนรถเมล์เป็นเรื่องสนุกจนลืมว่าการนั่งบนรถเมล์นั้นสบายกว่ายืน จนผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งตรงเก้าอี้ที่ฉันจับราวไว้เพื่อทรงตัวหันมาเรียกให้วีนั่ง ทั้ง ๆ ที่วียืนอยู่ไกลออกไปสองที่นั่ง ฉันคิดว่าฉันคงดูแข็งแรงและกำลังสนุกอยู่สินะเขาเลยไม่ได้เรียกฉันไปนั่งทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ใกล้กว่าแท้ ๆ 


    ––– 


    ฉันเลิกเรียนว่ายน้ำเพราะเริ่มอายกับการใส่ชุดว่ายน้ำแล้วต้องเห็นรูปร่างตัวเอง ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย ถึงแม้วีจะบอกว่าพวกผู้ชายไม่มายุ่งอะไรกับฉันหรอก ผิวคล้ำขนาดนี้ ฉันในตอนนั้นไม่ได้โล่งใจขึ้นมาเลย รู้สึกเหมือนมีสายตาที่มองไม่เห็นมองอยู่


    หลังจากนั้นฉันก็ผิวสว่างขึ้นนิดหน่อย แต่สีผิวโดยธรรมชาติของฉันก็ไม่ได้ขาวเหมือนวี “วันก่อนมีคนล้อด้วยว่าเราเป็นลูกคนข้างบ้านเพราะแม่เราเป็นคนจีนเลยผิวขาว มองยังไงคนก็ว่าไม่เหมือนแม่ แต่เพื่อนข้างบ้านดันขาวกว่าแม่อีก เราเลยโล่งใจ แถมมีปานด้วย ดูรูปตอนแบเบาะแล้วโล่งใจ” วีหันมามองฉันเหมือนโดนบังคับให้กินมะเขือเปราะที่เธอไม่ชอบ “แต่แม่แกก็ไม่ได้ขาวขนาดนั้นปะวะ” 


    ––– 


    ฉันเป็นเพื่อนกับวีจนมัธยมปลาย ถึงแม้ว่าวีจะไปโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศ แต่เราก็ยังติดต่อกันตลอด วีเล่าว่าอาจารย์ถามแต่คำถามยาก ๆ เช่น ถ้าเราเป็นคนเลือกกดปุ่มระเบิดที่ฮิโรชิม่า เราจะตัดสินใจกดไหม เพราะคนจะตายมากมาย แต่สงครามจบ ฉันในตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก ความคิดจบอยู่แค่ว่าทำไมถึงมีแต่ทางเลือกที่คนตายกับคนตาย แต่วีไม่ได้บอกฉันเหมือนกันว่าเธอเลือกอะไร วีบอกแค่ว่าเพื่อนคนข้าง ๆ บอกชอบเธอตอนจบคาบ


    วีถามฉันว่าฉันชอบคนแบบไหน


    “ใจดี” ฉันตอบอย่างไม่ลังเล คนบนโลกนี้ที่ไม่ใจดีมีเยอะจะตาย แค่คำเดียวก็ตัดคนออกไปได้เกินครึ่งแล้ว 
    “ใจดีไม่ควรนับเป็นสเป็คป่าวแก แค่คนมาใจดีด้วยนิดหน่อยก็ชอบแล้วหรอ หรือว่าที่ผ่านมาไม่มีใครใจดีกับแกเลย ถ้าแกขาวสเป็คแกต้องสูงกว่านี้แน่ ๆ”


    ฉันนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าคำว่าใจดีของฉันกับวีคงความหมายไม่เหมือนกัน

     
    –––


    วีก็ยังเป็นวีคนเดิมต่อไปจนฉันเรียนจบมหาลัย ผ่านชีวิตการเรียนที่ต้องอดนอน อาจารย์ที่พูดจาใจร้ายกับนักเรียน เริ่มทำงาน และได้รู้จักกับโรคซึมเศร้าเป็นครั้งแรก 


    วันนั้นฉันเล่าให้วีฟังทางโทรศัพท์ พวกเราโทรกันผ่านอินเตอร์เน็ต จึงคุยกันได้ยาว ฉันเล่าอาการต่าง ๆ ของฉันให้เธอฟังและรับฟังเรื่องราวยาวลำบากในต่างแดนที่วีพบเจอ ก่อนจะวางสาย วีบอกว่า “แกยังโชคดีนะที่ความเศร้าอยู่ในหัวแก แกไม่ต้องมามีชีวิตแย่ ๆ แบบเราในโลกจริง”



    ฉันวางสาย และไม่คุยกับเธออีกเลยจนถึงวันนี้

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
peace (@peace)
^-^