(มีสปอยส์) หลังจากชั่งใจอยู่นานว่าสุดสัปดาห์นี้จะไปดูหนังดีไหม วันนี้รอบทุ่มครึ่งก็ไปโผล่หน้าโรงหนังพร้อมตั๋วเรื่อง
All the Money in the World เนื่องจากเป็นเรื่องที่เลือกที่จะดูในบรรดาหนังต่างๆที่เข้าโรงช่วงนี้ ด้วยความน่าสนใจของเรื่องที่เป็นแนว criminal และด้วยว่า Call me by your name เราดันดูไปก่อนมันเข้าโรงแล้ว ส่วน Black Panther ก็โดนเพื่อนสปอยส์เยอะมากจนคิดว่ารอดูตอนออกจากโรงดีกว่า ในที่สุดวันหยุดที่นานๆครั้งจะมีนี้เราก็ได้ดูหนังเรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัลใหญ่เรื่องนี้
*ใบปิดภาพยนตร์(ก่อนไปดูเราไม่เห็นใบปิดอันกลาง ก็ว่าทำไม thriller)
(Painfully Rich: The Outrageous Fortunes and Misfortunes of the Heirs of J. Paul Getty by John Pearson, Wikipedia )
ภาพยนตร์เรื่องนี้อิงจากเรื่องจริงจากหนังสือ Painfully Rich ของจอห์น เพียร์สัน (John Pearson) กำกับโดย ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) โดยค่าย imperative entertainment ร่วมกับ TriStar Picture และ STXinternational
*ถัดจากนี้ไปเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเรา(มือใหม่)ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้
อย่างแรกเริ่มที่พล็อตเรื่อง เราคิดว่าพล็อตเรื่องดำเนินได้โอเคเลย แตกต่างจากหนังส่วนใหญ่ที่เราดูคือหนังปกติมันจะมีจุดพีคๆอยู่กลางๆค่อนไปทางหลังเรื่องแบบที่พอเรารู้จุดพีคแล้วก็โล่ง เพลินไปกับส่วนที่เหลือ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สิบห้านาทีสุดท้ายของเรื่องมันก็ยังทำให้เราลุ้นอยู่ได้ สำหรับเราเราคิดว่าจุดพีคมันดีมากอยู่สำหรับเรา แต่ถ้ามองแบบคนที่ชอบหนังแนวแอคชั่น แฟนตาซี ดราม่าหนักหน่วง เรื่องนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น ระดับทามไลน์เนื้อเรื่องมันแบบมีพีคไปเรื่อยๆ(เราหลุดอุทานบ่อยมากตั้งแต่ต้นเรื่อง) จุดพีคเค้นคนดู(เรา)หนักอยู่เหมือนกันแม้ไม่ได้อลังการหรืออัศจรรย์ใจ เนื้อเรื่องไม่หักมุมแต่ทำให้หนักสมองได้ เรื่องปมหรือ conflict ทำได้ดีน่าสนใจ หนัง present หลาย ideas เกี่ยวกับอำนาจของเงิน ฐานะ ครอบครัว ความเห็นแก่ตัว แต่ละฉากแต่ละบทสนทนาให้มุมมองต่อเรื่องบางเรื่องใหม่กับเรา
(สปอยส์)
เช่น ใครบ้างที่ทุุ่มเทให้กับเรื่องนี้ จุดยืนที่ต่างกัน ใครอยู่ตรงนั้นและใครไม่ได้อยู่ตรงนั้น การเป็นคนธรรมดาแต่เจอความยากลำบากอาจมีค่ากว่าคนที่รวยล้นฟ้าแต่ไม่ได้สัมผัสชีวิตเท่าที่ควร ด้านไม่ดีของการอยู่ในตระกูลที่ร่ำรวย เรื่องเครดิต
ด้าน symbol เราเห็นว่ามีมากในเรื่อง ถ้านั่งดูอย่างละเอียดดูองค์ประกอบฉาก รูปภาพ หรือวัตถุสิ่งของในเรื่องน่าจะเห็นว่าแฝงและแทน ideas ไว้เยอะ
ในด้าน dialogue ถือว่าทำได้เหมาะสม สั้นๆสื่อความตรงๆ ไม่ซับซ้อนให้เราเข้าใจยาก เราจึงไปโฟกัสกับตัว mood และเนื้อเรื่องได้เต็มที่ หลังจากดูเรื่องนี้แล้วก็เลยคิดว่าอยากลองหาหนังที่มีพล็อตประมาณนี้ดูอีก เพราะช่วงนี้สนใจแนวประมาณนี้ด้วย ติดมาตั้งแต่ Miss Sloane, Murder on the orient express
อย่างที่สองเรื่อง casting
- มิเชล วิลเลียมส์ (Michelle Williams) รับผิดชอบบทแม่ได้ดีและเด่นมากในเรื่องนี้ กลายเป็นตัวละครที่แสดงอารมณ์มากที่สุด เป็นตัวละครสำคัญ และเป็นตัวกระตุ้นการดำเนินเรื่อง เราชื่นชมมาก
- มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) จากที่จำพี่เขาได้จากทรานฟอร์มเมอร์สามกับสี่ก็ไม่คิดว่าพี่จะเข้ากับหนังแนวนี้ ในเรื่องของบทของตัวละครตัวนี้ เรามองว่าเป็นตัวคอย support มิเชลและมิสเตอร์เก็ตติ แต่ก็มีฉากที่เป็นตัวกระตุ้นสำคัญในบทนึง ความคิดเห็นส่วนตัวเราคิดว่าบทของมาร์คมีการทำให้ดูคาร์แรคเตอร์พระเอกไปหน่อยแบบบางซีนเราคิดว่ามันดูเก๊กเท่ไปหน่อย ดูเกิน แต่พอจบเรื่องเราก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ควรขาดตัวละครนี้ คล้ายเครื่องเทศที่เป็นผงๆตั้งขายเป็นกองทรงกรวยสูงในประเทศแถบมุสลิมที่มีสีสันฉูดฉาด จัดจ้าน แต่เมื่อนำมารวมกับอย่างอื่นกลับเข้ากันได้
- คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ (Christopher Plummer) ตัวละครเอกอีกตัวที่แสดงได้ดี เราเห็นการแสดงบทบาทเป็นเศรษฐีของเขาได้ชัด
- ชาร์ลี พลัมเมอร์ (Charlie Plummer) พ่อหนุ่มอายุน้อยที่รับบทเป็น เปาโล ผู้น่าสงสารที่ถูกลักพาตัวไป น้องหน้าดีมาก ทั้งเรื่องลุ้นให้น้องรอดตลอดแต่ก็เพลินไปกับผมสีทองผิวขาวหน้าหล่อของน้องมาก น้องพูดไม่เยอะ แต่ซีนที่น้องออกน่ากลัวน่าสงสารตลอด ไม่รู้น้องเคยเล่นหนังเรื่องอื่นมาก่อนหรือเปล่า(ยังไม่ได้สืบประวัติ) แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็อยากให้มีโอกาสได้แสดงฝีมือในเรื่องอื่นๆอีก
นอกนั้นยังมีตัวละครอีกหลายบทที่ช่วยทำให้ภาพยนตร์เข้มข้นขึ้น
มิสเตอร์เก็ตติ
สำหรับ setting ฉากของทั้งเรื่องอยู่ที่อิตาลี ฉากสวย ไม่ CG เว่อร์ ทำเหมือนย้อนไปสามสิบปีก่อนจริงๆ มีซีนที่ถ่ายโคลอสเซียมให้เห็นด้วย มีทั้งฉากที่เป็นตัวเมืองอิตาลีแบบยุคนั้นและฉากนอกเมืองที่เป็นป่า มีกระท่อมแบบกลางทุ่งไกลเมือง ส่วนคฤหาสน์ของคุณปู่ก็ใหญ่โตสวยงามแบบสีโทนเข้ม สีดำ ดูเคร่งครึมจริงจัง มีฉากที่ประเทศโมรอกโกด้วย เป็นหนังเรื่องแรกสำหรับเราที่มีโมรอกโกเป็นฉาก โผล่มานิดเดียวแต่ก็ชอบมาก ระยะเวลาในเรื่องจะรู้จากการพูดของตัวละคร mood และ tone เป็นแนวที่มีทั้งส่วนสว่าง(ตอนย้อนอดีต) เครียดและลุ้นระทึก แต่ยอมใจที่ยังแทรกความตลก(ส่วนมากมาจากการพูดของตัวละคร)ขบขับเล็กน้อยมาในเรื่องได้เนียน ไม่ขัดอะไร
สรุป
สำหรับเรา All the Money in the World เป็นหนังที่เราไม่เสียดายเลยที่เลือกไปดูในโรงและคิดว่าเป็นหนังที่สมควรแล้วที่จะได้รับรางวัล ถ้าอยากดูหนัง thriller + drama แบบดำเนินเรื่องนิ่งๆ เรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่แนะนำเรื่องหนึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in