เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
12 hours ช่วงเวลาที่เราตกหลุมรักกันzoshiere
12 hours ช่วงเวลาที่เราตกหลุมรักกัน
  •           ในเช้าวันที่อากาศควรจะสดใสกว่าวันอื่น ๆ กลับมีพายุฝนเข้ามาเป็นดั่งเครื่องต่อเวลาเก็บความสุขในใจของหญิงสาว เจ้าของเรือนผมยาวตรงสลวย สีน้ำตาลประกายแดง เธอยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง จ้องมองสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาในช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่


               ‘ก็ช่วยไม่ได้ อยู่อีกหน่อยจนกว่าจะหยุดล่ะกัน’ 


    เธอคิดในใจพร้อมกับเดินตรงกลับไปนอนที่เตียงต่ออย่างเชื่องช้า และผล็อยหลับไปอีกครั้งในอ้อมอกของชายที่เธอหลงรัก

     

                12 ชั่วโมงก่อน...

     

                บนโต๊ะทำงานที่กองเต็มไปด้วยหนังสือ อุปกรณ์ต่าง ๆ กระจัดกระจายอย่างไร้ระเบียบ เจ้าของเรือนผมน้ำตาลประกายแดง ฟุบลงไปกับโต๊ะ ราวกับไร้เรี่ยวแรงที่จะทำสิ่งใด ๆ ต่อ ในหัวของเธอขาวโพลน 

              

                มีเพียงความว่างเปล่า

                เธอหลับตาลงช้า ๆ และปล่อยให้ช่วงเวลาแห่งความขี้เกียจเข้ามาครอบง่ำ

     

                ครืน ครืน ครืน ~


                ยังไม่ทันได้หลับสนิทอย่างใจนึก อยู่ ๆ โทรศัพท์ข้างตัว ก็สั่น เธอตั้งใจจะปล่อยผ่านมันไป เพราะรู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะทำสิ่งใด แต่มันกลับยิ่งสั่นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าหงุดหงิด เธอรีบคว้าโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมาและเปิดอ่านดูข้อความที่ถูกส่งมา


                (นี่เธอ ว่างไหม เรามีเรื่องจะคุยด้วย)

                (ไม่รู้แหละ ว่างไหม มาหาเราที่ห้องนะ)

                (มาเล่นเกมก็ได้ เหงา)

                (ตอบหน่อยสิ)

               

                 เธออ่านข้อความแล้วนึกขำ เพราะไม่บ่อยนักที่เขาจะเป็นคนเชิญชวนเธอไปหาถึงห้องของเขา แต่ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับเธอมากนัก เพราะที่นั้นเธอมักจะไปเสมอ ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

    แม้ในใจเธอจะยังคงต่อต้านกับความขี้เกียจอยู่ก็ตาม แต่เธอก็ดันตัวเองลุกขึ้นมา และตอบกลับข้อความไปหาเขา (อื้อ งั้นเดี๋ยวเราไปหานะ)



                  17.40 น.


                  หญิงสาวร่างบางมองออกไปนอกหน้าต่างรถประจำทางเพื่อที่จะได้ไม่เลยจุดหมายซึ่งเธอควรจะลง เธอเผลอมองพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าอย่างเหม่อลอย  ในหน้าหนาวเช่นนี้อากาศเริ่มเย็นและท้องฟ้าก็มืดเร็วเป็นพิเศษ ช่างน่าเสียดายซะจริงที่เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ เธอคิด... ทันใดนั้นเองเธอก็ต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์และรีบกดกริ่งรถประจำทางเมื่อพบว่าตัวเองเกือบจะเลยจุดหมาย ทันทีที่รถจอดสนิทเธอก้าวเท้าลงออกจากตัวรถ และเดินเข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง ไม่ลึกมากนัก ก็มีคอนโดหรู เธอเดินเข้าไปข้างในอย่างคุ้นเคย และตรงไปที่ห้องของคนที่นัดเจอเธอ


                   ก๊อก ก๊อก ก๊อก ~


                   ประตูบานสีขาวเรียบหรูเปิดออกแทบจะทันทีที่เธอเคาะประตูเสร็จ เธอมองชายร่างสูงโปร่ง ที่มาเปิดประตู เขาส่งยิ้มให้เธอและทักทายอย่างร่าเริง เธอตอบรับและเดินเข้าไปในห้องและนั่งลงที่โซฟาโดยไม่มีท่าทางเคอะเขิน หรือเกรงใจชายเจ้าของห้องแต่ใด


                    “กินอะไรมารึยัง” ชายหนุ่มถามเธอด้วยความเป็นห่วง

                    “ยังไม่ได้กิน รู้ว่าถ้ามาจะมีคนเลี้ยงของอร่อย ๆ” เธอตอบกลับและยียวนเขาเล็กน้อย

                    “ฮ่าๆ เธอนี่ตะกละจัง”

                    “กลับดีไหมเนี่ย พูดอย่างงี้”

                    “เห้ย อย่าเพิ่งดิ เราล้อเล่นน่าาาา” ชายตรงหน้ารีบกลับคำเพราะกลัวหญิงสาวที่เขาเรียกมาจะหนีกลับไปจริง ๆ


                    เขาเป็นเพื่อนกับเธอได้ไม่นานนัก แต่ก็ถือว่าระดับความสนิทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าเธอเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุก อยู่ไปนาน ๆ แล้ว รู้สึกหมั่นไส้ ในความบ้าบอของเธอ

    “มีเรื่องจะคุยไม่ใช่รึไง คุยดิ” เธอถามเสียงเรียบ  ที่เธอมาเพราะเรื่องที่อยากจะคุยด้วยจริง ๆ เพราะโดยปกติถ้าเขาจะคุยอะไรเขาก็พูดมันออกมาโดยไม่รีรออะไร แต่วันนี้มันแปลกสำหรับเธอ ใจเธอไม่ได้นิ่งสงบนักอย่างที่เธอแสดงออก


                     “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ชวนมากินข้าวกับเล่นเกมเฉย ๆ เหงา”

                     “โอเค งั้นเล่นเกมละกัน”

                     “กินอะไรก่อนดีกว่า”

                     “ตามใจเถอะ ห้องนายนี่”

                     “งั้นพิซซ่าไหม เราอยากกินอ่ะ”

                     “อ่ะ ๆ ก็ได้ ไม่เบื่อบ้างหรอ คราวที่แล้วก็กิน”

                     “ไม่เบื่อหรอก สำคัญที่กินกับใครมากกว่า”


                     จู่ ๆ ประโยคจากเพื่อนชายก็ทำให้หญิงสาวไปต่อไม่เป็น ได้แต่หัวเราะแฮะ ๆ ให้เขา เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะเดิมทีเธอคงรู้สึกดีกับเพื่อนคนนี้ไม่ใช่น้อย ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะเพิ่งตั้งสติได้ว่าพูดอะไรออกไป จนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูกนัก เขาจึงหันไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะกาแฟซึ่งตั้งอยู่หน้าโซฟาที่เธอนั่งอยู่ จากนั้นก็โทรออกและสั่งอาหารกับพนักงานปลายสาย



                      บรรยากาศภายในห้องมีเพียงเสียงเพลงที่ชายหนุ่มชอบฟังเปิดไว้  ไม่มีเสียงบทสนทนาจากทั้งสองคน พิซซ่าที่สั่งไว้มาได้สักพักแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครจะจัดการกับมันเลย เจ้าของห้องเห็นเช่นนั้นจึงเป็นตัวเปิด โดยการแกล้งหญิงสาวด้วยการหยิบพิซซ่าออกมาหนึ่งชิ้นและยื่นไปให้เธอกิน ขณะที่เธอจะกัดกินนั้น เขาก็ชักมือออก และยั่วให้เธออยากอีก


                      โครก ~


                      สาบานว่านั้นเสียงท้อง หญิงสาวคิดในใจ เธอจึงรีบเอื้อมมือไปหยิบพิซซ่าชิ้นที่อยู่ในถาดและกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีชายหนุ่มนั่งข้าง ๆ ที่เอาแต่หัวเราะกับเสียงโหยหวนจากท้องที่เรียกร้องหาอาหารของเธอ แต่เขาหัวเราะไม่ได้นานนักท้องของเขาก็โหยร้องตาม ทำให้ทั้งคู่หัวเราะดังลั่นห้อง ถือเป็นการทำลายความเงียบได้อย่างแนบเนียน

    พวกเขาทั้งสองใช้เวลาส่วนมากไปกับการกินและดูรายการผี ที่ชายหนุ่มชอบ ในทางกลับกันหญิงสาวไม่ได้สนใจมันเท่าไรนัก เนื่องจากเธอเป็นคนขี้กลัว โดยเฉพาะเรื่องผี ๆ ตลอดระยะเวลาที่เปิดดูนั้นเธอจะเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม และร้องขอเขาให้ปิดมันเสียที แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งเธอกลัวเขาก็ยิ่งรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเธอ

     


                        23.30 น.


                       “เดี๋ยว ๆ ใจเย็นสิ จะฆ่ากันให้ตายเลยรึไง”

                       “ใช่น่ะสิ รอบนี้เราต้องชนะ โจมตีแล้วนะ พร้อมยัง”

                       “โห่ เล่นงี้ไม่ต้องถามหรอก... หว่า แพ้เลย”


                      ทั้งคู่โต้เถียงกันระหว่างเล่นเกมโปรดของหญิงสาว แม้ในช่วงแรก ๆ เธอจะเล่นมันไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าเธอเล่นเกมต่อสู้จนชำนาญกว่าชายหนุ่มซะแล้ว หรือเขาอาจจะแค่อ่อนให้เธอก็ได้

    “เร็ว ๆ รีบกดต่อสิ เล่นอีกรอบ” สาวเจ้ารีบบอกเขาทันทีที่เกมโอเวอร์ซึ่งผู้ชนะจะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่เธอ ชายหนุ่มได้แต่มองรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขที่สามารถเล่นจนชนะเขาได้แล้ว 

                       

                       “ว่าแต่ นี่มันกี่โมงแล้วเนี้ย”

                       “ห้าทุ่มครึ่งแล้ว”

                       “ห้ะ!! จริงหรอ ซวยแล้วไง เล่นเพลินจนดึกขนาดนี้”

                       “เธอจะกลับหรอ เราว่ามันอันตรายนะ”

                       “ถ้าเราไม่กลับตอนนี้แล้วจะกลับตอนไหนเล่า งั้นค่อยเล่นคราวหน้าละกัน”

                       “ค้างที่นี่ไปเลยก็ได้ จะได้เล่นเกมต่อด้วย”


                     ชายหนุ่มรั้งแขนเธอไว้ เขาแค่รู้สึกอยากจะอยู่กับเธอต่ออีกหน่อย อีกทั้งก็เป็นห่วงเธอที่ต้องกลับที่พักของตัวเองในเวลาดึกดื่นขนาดนี้เพียงลำพัง ความจริงเขาไปส่งเธอก็ได้ แต่เพราะไม่อยากให้เธอกลับ จึงรั้งไว้ทั้ง ๆ แบบนี้แหละ เขารู้ตัวว่าทำให้หญิงสาวตกใจ ก็มองออกไม่ยากนักเพราะสีหน้าของเธอดูกังวลเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจนักว่าควรจะอยู่ค้าง อย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงจะอยู่กับผู้ชายสองต่อสองทั้งคืนมันก็ไม่ดีนัก


                     ชายหนุ่มรอฟังคำตอบรับจากหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่ง...


                    “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ อยากเล่นเกมต่อ”


                     เธอยิ้มหัวเราะพร้อมทั้งคำตอบ ทำให้ชายตรงหน้ายิ้มตามและคิดในใจว่าสีหน้ากังวลเมื่อกี้ต้องเป็นเพราะมัวแต่ชั่งใจที่จะเล่นเกมต่อแต่ต้องค้างคืน หรือกลับบ้านไปนอนเหงาไม่ได้เล่นเกมแน่ ๆ เขาจึงแซวเธอเล็กน้อย

                

                “อยากอยู่กับเราใช่ไหมล่ะ”

                “อื้อ อยากอยู่เล่นด้วย”

                

                ทั้งสองคนรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้อยู่ใช้เวลาด้วยกันต่อ พวกเขารู้ว่ามันอาจเป็นช่วงเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะจากกันไปในคืนนี้ อีกทั้งเวลาที่ใช้ร่วมกันเช่นนี้ก็ทำให้หัวใจของทั้งสองมีความสุขเอ่อล้นจนอธิบายไม่ถูก

               


                เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ ทั้งสองยังคงเล่นเกมเดิมไม่ลามือไปไหน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มงัวเงียเกิดอาการอยากจะนอนแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกออกจากที่นั่งและเดินตรงไปห้องน้ำ

                

               “งั้นเราอาบน้ำก่อนนะ”

               

                หญิงสาวพยักหน้ารับและปิดเกมลง พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวเดิม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นนิดหน่อยก่อนจะเผลอหลับไประหว่างที่รอเพื่อนชายอาบน้ำอยู่

                 

                   แกร่ก!


                  เสียงเปิดประตูทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว แต่เพราะรู้ว่านั่นเป็นเจ้าของห้องที่อาบน้ำเสร็จแล้ว จึงไม่ได้สนใจตื่นขึ้นมาดู เมื่อร่างกายบอกเธอว่าควรไปอาบน้ำบ้าง จึงลืมตาขึ้นมาแต่ก็ต้องตกใจเมื่อสายตาของเธอดันไปประสานเข้ากับตาคู่สวยอีกคู่


                  พวกเขาจ้องกันนานกว่าจะผลักออกจากกัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขามีเสน่ห์ยั่วยวนจนใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำ หยดน้ำจากปลายผมตกกระทบใบหน้าหญิงสาว เธอหลุดออกจากภวังค์และผลักชายหนุ่มที่โน้มหน้าเข้ามา  ใกล้ ๆ เธอให้ออกห่าง แม้เขาจะเสียดายที่เธอดันตื่นขึ้นมาในขณะที่เขาอยากจะมองใบหน้าเวลาเธอหลับต่ออีกหน่อยก็ตาม


                   “เราอยากอาบน้ำ มีผ้าเช็ดตัวอีกไหม”

                   “มี นี่ไง เอาเลยไหมเดี๋ยวดึงออกให้” 


                    ชายหนุ่มยียวนด้วยการจะถอดผ้าขนหนูที่ห่อหุ้มช่วงล่างของเขาไว้ ทำให้หญิงสาวเขินอายขึ้นมา เพราะนอกจากสภาพของเขาที่มีแค่ผ้าผืนเดียวปกปิดส่วนล่างไว้ เขายังมีกล้ามเนื้อที่เซ็กซี่ ซ้ำซิกแพคของชายหนุ่มก็ทำให้เธอเลือดในตัวเธอแทบพุ่งกระฉูดออกมาทางจมูก  แต่เธอต้องเก็บอาการนั่นเอาไว้ด้วยการแสดงหน้านิ่ง ๆ ตอบกลับเขาไป


                    “ยังจะมาเล่นอีกนะ ขอผืนอื่นสิ”

                    “โธ่ ไม่เขินหน่อยหรอ ไม่โวยวาย วี๊ดว๊ายเหมือนผู้หญิงคนอื่นบ้างหรอ”

                    “ทำไมจะต้องเขินด้วยเล่า คราวที่แล้วที่นายถอดเสื้อโชว์สาว ๆ คงชอบละสิ” เธอว่าพลางกลอกตาไปมา

                    “สาวที่ว่าตอนนั้นก็มีแค่เธอนะ” เธอนึกตลกเนื่องจากครั้งล่าสุดที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนวันนั้นชายหนุ่มก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามเนื้อของเขา เขาไม่ได้อยากจะโชว์นะ แต่ที่นั้นมันเป็นทะเลเขาก็อยากจะลงไปเล่นน้ำบ้าง เขาคงจะได้อวดกล้ามกับสาว ๆ บ้างถ้าวันนั้นเธอไม่ได้เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่ม...


                   “อ้าว งั้นหรอกหรอ งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นอะไรสิ เพราะเราเห็นมาแล้ว”

                  “เวลาเธอทำหน้านิ่ง ๆ แบบนี้ เรายิ่งเขินนะ ก็เลยอยากให้กรี๊ด ๆ บ้าง”

                  “นี่นาย จะบ้าหรอ -///-”


                   เธอลุกออกจากโซฟาและวิ่งตรงไปในห้องน้ำพร้อมทั้งตะโกนบอกชายหนุ่มให้เอาผ้าเช็ดมาให้ด้วย ร่างกายเธอร้อนผ่าว ๆ ไม่ใช่เพราะเกิดมีไข้ขึ้นมากระทันหันหรอก แต่เพราะเขินจนทำอะไรไม่ถูกต่างหาก เธอมองตัวเองสะท้อนในกระจก ใบหน้าที่แดงระเรื่อนั้น เธอใช้มือทั้งสองข้างกุมแก้มของตัวเองไว้และพยายามสงบใจลง

    ด้านนอกประตูห้องน้ำ ชายหนุ่มที่เปลือยท่อนบนก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน เขาหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ไปให้หญิงสาวในห้องน้ำ ก่อนไปเขาได้ตั้งสมาธิและไม่แสดงอาการเขินอายใด ๆ


                   “นี่มีเสื้อยืดไหมอ่ะ”

                   “เราห่อไว้ในผ้าเช็ดตัวแล้ว เธอใส่ไปก่อนละกัน”

                   “อือ ขอบใจ”

     

                    ไม่นานนักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องน้ำ ตอนนี้เธอสวมใส่เพียงเสื้อยืดตัวใหญ่ มันยาวเหนือหัวเข่ามาเล็กน้อย เธอไม่ได้คิดว่าเจ้าของเสื้อจะตัวสูงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเธอได้สวมเสื้อผ้าของเขา เธอดมเสื้อที่มีกลิ่นของชายหนุ่มก่อนจะรีบสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว และล้มตัวลงไปนอนที่โซฟา


                   “เรานอนนี่แหละ”

                   “เห้ย เอาจริงดิ มันไม่สบายหรอก”

                   “ไม่เป็นไร เรานอนได้ แต่ช่วยเปิดไฟห้องน้ำไว้นะ เราไม่ชอบความมืด”

                   “จะนอนได้แน่หรอ”

                   “ได้สิ ๆ สบายมาก”

                   “ขึ้นไปนอนกับเราข้างบนก็ได้นะ”

                   “เราอยู่ได้”

                   “งั้นเธอขึ้นไปนอนข้างบน เดี๋ยวเรานอนโซฟาเอง”

                   “ไม่ต้องหรอก นายเป็นเจ้าของห้อง แค่นี้เราก็รบกวนจะแย่”


                   เธอตอบกลับไปอย่างงั้น แม้ความจริงแล้วเธอยังเกร็ง ๆ อยู่ว่าจะนอนได้รึเปล่า โซฟานุ่มสบายไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ แต่เป็นความมืดและอยู่คนเดียวข้างล่างนี่สิ หญิงสาวคิดและมองไปที่ทางขึ้นข้างบน ซึ่งชายหนุ่มกำลังเดินขึ้นไป

    ถ้าห้องเป็นแบบชั้นเดียวก็ดีน่ะสิ เธอคิด ห้องนี้เป็นแบบสองชั้น มีบันไดขึ้นไป แบ่งเป็นห้องนอนข้างบน โดยมีห้องนั่งเล่นอยู่ชั้นล่าง

                   

                   “ขึ้นมานอนข้างบนเถอะ เตียงกว้างเหลือที่เยอะแยะ”


                    เสียงของชายเจ้าของห้องยังคงร้องเรียกเธอด้วยความเป็นห่วงไม่อยากให้เธอนอนโซฟาอย่างลำบาก หญิงสาวมองไปรอบ ๆ บรรยากาศห้องเริ่มน่ากลัวสำหรับเธอ มีเพียงแสงไฟริบหรี่จากห้องน้ำเท่านั้น เธอจินตนาการถึงสิ่งน่ากลัวต่าง ๆ จนทนไม่ไหว


                    ตึง ตึง ตึง


                   เธอรีบสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดไปยันชั้นบนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มตาน้ำตาลเข้มตะลึงเล็กน้อยแต่ก็โผล่ยิ้มออกมา


                   “กลัวล่ะสิ มานอนด้วยกันมา” เขาตบที่เตียงเรียกหญิงสาวเข้านอนด้วย

                   “อื้อ ก็ขึ้นมานอนด้วยไง”


                    เธอเดินเข้าไปนั่งบนเตียงอีกฝั่งพยายามข่มใจให้สงบลงหลังจากความคิดน่ากลัวต่าง ๆ ที่เธอได้จินตนาการไว้ยังไม่หายไป


                   “นี่เราต้องเปิดโคมไฟไว้รึเปล่า”

                   “ไม่เป็นไร ๆ ถ้ามีคนอยู่ด้วยเราอยู่ไหว มันสบายใจกว่าอยู่คนเดียว”

                   “โอเค งั้นเราปิดไฟแล้วนะ”

                   “อื้อ”


                    ชายหนุ่มปิดโคมไฟ และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มขนาดหกฟุต เขาห่มผ้าให้หญิงสาวข้างกาย เพราะเกรงว่าเธอจะหนาว เธอกอดหมอนข้างไว้แน่นและหันหน้าไปทางฝั่งที่ชายหนุ่มนอนอยู่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างสบายใจ


                   “เพิ่งเคยมีเพื่อนผู้หญิงมานอนค้างที่ห้องแบบนี้เลย” 


                    ชายหนุ่มพูดขึ้น ก่อนที่หญิงสาวจะหลับสนิท เธอได้ยินดังนั้นจึงตอบออกไป


                    “นี่ก็ครั้งแรกที่เรามานอนกับเพื่อนชายสองคนแบบนี้ ถึงจะเคยไปค้างที่อื่นแต่ก็มีหญิงชายปะปนกันไป”

                    “งั้นหรอ"

                    "อื้อ"

                    "นอนเถอะ ฝันดีนะ”

                    “ฝันดี”

     


                    คู่หนุ่มสาวหลับใหลไปในห้วงแห่งความฝันของตน ภายในฝันของพวกเขาจะเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ ระยะห่างที่เคยอยู่ในระยะที่พอเหมาะ บัดนี้ไม่มีช่องว่างเหลืออยู่แม้แต่น้อย ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันหญิงสาวกำลังสวมกอดชายหนุ่มอย่างอบอุ่น ตัวของทั้งคู่แนบชิดกันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน


                    เหมือนหญิงสาวรู้สึกตัวตื่นและพบว่าเธอกำลังแนบชิดกับชายหนุ่ม ซ้ำยังนอนกอดเขาอีก เธอจะขยับตัวหนีแต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากชายหนุ่มนอนเบียดมาหาเธอจนเธอชิดขอบเตียงแล้ว เธอนอนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น จนในที่สุดชายหนุ่มก็รู้สึกตัว เขาตกใจกับสภาพที่เป็นอยู่จนต้องพึมพำออกมาเบา ๆ


                    “ชิบหายล่ะ”


                    หญิงสาวได้ยินดังนั้น จึงคิดว่าเขาคงจะเขยิบถอยไปและปล่อยให้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ถึงเหตุการณ์นี้ แต่เธอคิดผิดเมื่อชายหนุ่มไม่ได้ถอยห่างออกไปอย่างที่เธอคิด เขากลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ใจเธอเต้นระรัว เธอพยายามควบคุมให้มันหยุดแต่ก็ไม่เป็นผล หรือเธอควรปล่อยมันไว้แบบนี้ ในหัวเธอคิดเพียงว่าเขากอดเธอไว้ทำไม

    ชายหนุ่มลูบผมที่ยาวสลวยของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เขาไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเลย เธอช่างบอบบาง น่าทะนุถนอม ยิ่งมองยิ่งน่าหมั่นไส้ เขาลูบที่ใบหูของเธอ เจ้าตัวยกมือขึ้นมาปัดมือของชายหนุ่มออก เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างสุขใจที่ได้แกล้งหญิงสาว ตั้งแต่แรกพบที่เขาหลงรักเธออย่างไร้เหตุผล แต่เธอดูไม่ได้สนใจเขาแบบนั้นเขาจึงเลือกที่จะเก็บความรักนี้ไว้ในใจ


                    สาวเจ้าของเรือนผมน้ำตาลประกายแดงแกล้งทำท่าสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากหนุ่มข้างกาย แม้เธอจะรู้สึกตัวนานแล้วก็ตาม เธอจ้องมองเขาอยู่พักนึง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยแซวเธอ


                    “อุ่นล่ะสิ นอนกอดเราเพลินเลยนะ”

                    “บ้ารึไง นายนั่นแหละนอนเบียดเราจนต้องอยู่ในสภาพแบบนี้” -///- เธอบอกก่อนจะลุกขึ้นออกจากเตียงและเดินไปที่บันได

                   “ไปไหนอ่ะ” ชายหนุ่มถาม

                   “ห้องน้ำสิ”


                   ชายหนุ่มลุกเดินตามเธอไปชั้นล่างด้วย พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกัน หลังจากที่หญิงสาวทำธุระในห้องน้ำเสร็จเธอก็เดินขึ้นไปนอนต่อทันที เธอทิ้งตัวลงนอนทั้ง ๆ ที่ในใจยังคงแปลกใจกับการกระทำของชายหนุ่มอยู่ เธอไม่กล้าคิดไปเองหรอก ว่าเขาจะมาชอบคนอย่างเธอได้ เธอเฝ้ามองเขามาตลอด และเขาไม่เคยแสดงท่าทีใด ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปกว่าเพื่อนสักนิด

                

                 ที่ใจเธอสั่น เพราะเธอหลงรักเขาเข้าจนได้ เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า เขาอยู่เต็มหัวใจดวงนี้ไปเสียแล้ว

               

                หญิงสาวนอนพลิกตัวไปมาไม่ต่างจากชายหนุ่มนัก ทั้งคู่นอนไม่หลับเลยสักนิด หญิงสาวยังคงกอดหมอนข้างไว้ ต่างจากเดิมก็แค่เธอนอนหันหลังให้ชายหนุ่ม

                เขาเห็นเช่นนั้นเลยเอื้อมมือข้ามไปแย่งหมอนข้างจากหญิงสาว และเอามากอดแนบแน่น เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะแกล้งอะไรเธอนักหนา หากขาดหมอนข้างเธอคงนอนไม่หลับเป็นแน่ 


                 “เอาคืนมา หมอนข้างเรา” เธอโวยวายใส่เขา

                 “ของเรามันอยู่ในห้องเรานะ”

                 “ของเราต่างหาก เราเป็นคนพาไปซื้อนะ”

                 “เกี่ยวด้วยหรอนั่น”

                 “เกี่ยวสิ”


                 ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า


                ชายหนุ่มหัวเราะเยาะกับข้ออ้างที่เธอใช้อย่างเอ็นดู เขาจึงแบ่งหมอนข้างให้เธอครึ่งหนึ่ง กลายเป็นว่าเธออยู่ในท่ากึ่งกอดหมอนข้างและกอดชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกันชายข้างตัวก็เกี่ยวขาของหญิงสาวไปกอดรัดไว้ไม่ยอมปล่อย แม้เธอจะพยายามดึงออก

                เขาลูบแขนเธอเล่นอยู่อย่างนั้น จนเธอต้องตีมือเขาและพยายามดึงมันออกแต่ดูเหมือนเขาจะไม่หยุดสักที เขายังคงหัวเราะอยู่ในลำคอ จากความสุขที่เอ่อล้นออกมา


                “สนุกหรอเนี้ย นอนเถอะ”

                “แกล้งเธอมันสนุกดีอ่ะ”

                “แล้วทำไมถึงแกล้งล่ะะะะ”

                “ไม่รู้”


                ชายหนุ่มยังไม่ยอมหยุดแกล้งเธอ เขาลูบไล่ใบหูของเธอเล่นอย่างแผ่วเบา เธอมองหน้าเขานิ่ง ๆ แม้ภายในใจจะเขินจนทำตัวไม่ถูก พร้อมกับพูดไปว่า


               “นี่ถ้าเป็นแฟนกัน เราจะคิดว่านายอ่อยนะ”

               “ก็อยากแกล้งอ่ะ ไม่สนิทด้วยไม่แกล้งแบบนี้หรอก”

               “นี่เราสนิทกันแล้วหรอ เพิ่งรู้จักกันไม่นานเอง”

               “ไม่รู้สิ คงสนิทแล้วแหละ ไม่งั้นคงไม่ได้มานอนข้าง ๆ กันแบบนี้หรอก”

               “นี่ยังไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนกล้าแกล้งเราแบบนี้เลยนะ นอกจากแฟน”

                “แฟนเก่า?”

                “อื้อ ใช่ รายนั่นนะชอบอ่อยเราแบบนี้แหละ แกล้งจนเราไม่ได้นอนเลย”


                เธอบอกเขาออกไปแบบนั้น เขาทำให้เธอคิดถึงคนรักเก่าที่เลิกกันมาสองปีแล้ว และบางครั้งเธอก็รู้สึกว่ายังไม่อาจลืมได้จริง ๆ แม้เธอจะรู้สึกดีกับผู้ชายตรงหน้าก็ตาม

               

                “ทำไมถึงเลิกกันล่ะ”

                “ไม่มีเวลาให้กันล่ะมั้ง จริง ๆ ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าเลิกกันเพราะอะไร อยู่ ๆ ช่วงหนึ่งเราก็ห่าง ๆ กัน      เจอหน้ากันยังไม่ทักทายกันเลย แปลกเนอะ”

                “...”

                “เราไม่ใช่คนงี่เง่าที่เรียกร้องเวลาจากแฟนหรอกนะ แบบยังไงล่ะ คิดว่าพื้นที่ใครพื้นที่มันไม่ควรก้าวก่าย แต่แล้วก่อนวันครบรอบเราลองชวนเขาไปเที่ยว ดูหนังเนี่ยแหละ เรานัดเขาไว้บ่ายสอง เขาไม่มาตามนัด เราเลยรอจนกระทั่งบ่ายสาม เขาก็ยังไม่มาเราเลยตัดสินใจโทรไปหาเขา”

                 “...”

                 “เขายังอยู่กับเพื่อนอยู่เลย แล้วบอกว่าจะรีบมา รู้ไหมวันนั้นเราจองตั๋วหนังไว้แล้วแต่เราไม่บอกเขาหรอก เจ็บใจเป็นบ้าเลย เขามาตอนห้าโมงเย็นแหนะ และเราก็เดินเล่นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโดนบอกเลิก”

                 “แย่ว่ะ”

                 “ก็นะ ไม่รู้เพราะเราแย่หรือเขาแย่กันแน่นะ”


                  น้ำตาของเธอไหลออกมาเมื่อพูดถึงมัน เธอไม่ได้อยากให้มันไหลออกมาเลยจริง ๆ ชายข้างกายกระชับอ้อมกอดและปลอบประโลมเธอ เขาลูบผมเธออย่างแผ่วเบา

         

                 “ไม่เป็นไรนะ มันผ่านมาแล้ว”

                 “ขอโทษนะ ที่ต้องมาฟังเรื่องแบบนี้”

                 “เราเข้าใจนะ แต่เราอยู่กับเธอตอนนี้นะ”


                 ชายหนุ่มค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้คนตรงหน้า เข้าใช้ริมฝีปากซับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเนียนของหญิงสาว เขาเลื่อนจากแก้มซ้ายไปแก้มขวา และหยุดลงที่ริมฝีปากอมชมพู เขาสัมผัสเธออย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าถ้าทำรุนแรงไปมันจะแตกสลาย หญิงสาวรู้สึกอ่อนระทวยเมื่อสัมผัสของชายหนุ่มยิ่งลึกซึ้ง มันอบอวลไปด้วยรสชาติแห่งความหอมหวานจนเธอรับมันแทบไม่ไหวจึงผลักร่างตนออก 


                   "ขอโทษนะ เราแค่รู้สึกว่าเธอสมควรจะได้รับมัน..."

                   "อืม ไม่เป็นไร มันก็.. รู้สึกดีนะ" เธอเอ่ยอย่างขวยเขิน



                   หลังจากนั้นสักพักเธอก็ทำใจให้ผ่อนคลายและเคลิ้มหลับไปในอ้อมอกของชายที่เธอกำลังหลงรัก รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ในที่สุดเธอก็ได้พูดสิ่งที่เก็บไว้มานาน เธอไม่รู้ว่าอะไรทำให้ไว้ใจเขา ราวกับความปลอดภัยมันอยู่ตรงหน้าและเธอควรได้รับการปกป้องนี้ รู้สึกดีกับสัมผัสอ่อนโยนที่เขามอบให้ จนเผลอคิดในใจว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังหลงรักเธอเช่นกัน


     

                06.55 น.


                ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าชายเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังจ้องมองเธออยู่ เขายังคงเล่นผมสีสวยของเธอ และยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

    “ตื่นแล้วหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

                “ฝนยังไม่หยุดตกอีกหรอ”

                “อื้อ ยังตกอยู่เลย”

                “นอนต่อได้ไหม”

                “ไม่ได้” ชายเจ้าของดวงตาน้ำตาลเข้มดึงเธอเข้ามากอดอีกครั้ง แน่นเสียจนเธอต้องผลักออกมาเพราะจะขาดอากาศหายใจ เธอจับมือเขามาเล่น และสัมผัสมันอยู่เช่นนั้น ลงเอ่ยด้วยความหมั่นไส้ของเธอ จึงกัดนิ้วของเขา อย่างมันเขี้ยว

                “มีความสุขไหม”

                “มีสิ”

                “เราก็เหมือนกัน”


                เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังแข่งกับสายฝนที่เทลงมา มันเป็นช่วงเวลาแห่งความฝันของพวกเขา น่าเสียดายนัก เมื่อฝนหยุดพวกจะต้องแยกจากกัน ขณะนี้พวกเขาได้แต่ขอบคุณฝนที่เทลงมาต่อเวลาแห่งความสุขของทั้งสองให้นานขึ้นอีกหน่อย

               


                ทั้งเขาและเธอไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำรักให้กัน แม้ความรู้สึกทั้งสองจะตรงกัน แต่พวกเขาก็เลือกจะไม่พูดมันออกมา เธอที่คิดว่าชายคนนี้แค่อยากจะสนุกกับการได้แกล้งเธอในฐานะเพื่อนที่สนิทและปลอบประโลมเธอที่ไม่อาจลืมคนรักเก่าได้ และเขาที่ไม่กล้าจะพูดคำรักออกไปให้เธอได้รับรู้เพียงเพราะยังคงยึดติดกับรักครั้งเก่าของหญิงสาวที่เธอคงลืมไม่ลง

    ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะจบลงในเช้าวันนั้น พร้อมกับคำลาที่จากไป  ดั่งสายฝนตกกระทบพื้นดินและถูกแสงแดดแผดเผาจนแห้งเหือดไปในที่สุด... หรือเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเขาก็ไม่อาจจะมีใครล่วงรู้ได้ นอกจากคนสองคน

  • _________________________________________________________


    แม้เราจะมีความรักให้กันแต่หากไม่พูดออกมา ก็มีแต่ความไม่ชัดเจน และแม้ผู้คนมักจะโหยหาความชัดเจนจากคนที่ตนรักแต่กลับไม่เคยแสดงความชัดเจนออกให้อีกฝ่ายได้มั่นใจบ้าง นั่นก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ตนวาดไว้เกิดขึ้นได้


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in