รัวนิ้วบนแป้นพิมพ์จนแทบจะลุกเป็นไฟ ทั้งโกรธ ทั้งโมโห
อารมณ์ร้อนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน
“เธอมีคนอื่นอีกแล้วใช่ไหม...? ”
นิ้วพิมพ์ไป น้ำตาก็ไหลลงพร้อมกัน เจ็บ - ซ้ำซาก คือความรู้สึกที่เดียวรับรู้ได้ในตอนนี้
“คนนี้ตั้งแต่เมื่อไร นานหรือยัง เธอรักหล่อนเหรอ? ”
“แค่เพื่อนน่ะ เลิกคิดมากสักทีได้ไหม เชื่อใจกันหน่อย”
ในหัวสมองปั่นป่วนไปหมด เหมือนมีใครเอาส้นแหลมของรองเท้าสูงแปดนิ้วมาปักที่หัว
คำพูดส่งผ่านตัวอักษร
ทั้งเบื่อ ทั้งน่ารำคาญ
คำนี้บ่งบอกได้ดีที่สุดโดยที่เธอไม่ต้องเปล่งเสียงออกมา
ร้าวยิ่งกว่าเดิม ส้นแหลมของรองเท้าสูงแปดนิ้วบดขยี้หัวสมองของฉันจนชาไปทั้งตัว
พี่น้อง เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนร่วมงาน
คำแก้ตัวมากมายผ่านสายตาให้เห็น แต่ซึมไม่ถึงสมองสักประโยคเดียว กี่ครั้งแล้วที่ต้องทน แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือทำไมฉันยังทน ทนให้เธอทำร้าย รับฟังคำโกหกงี่เง่า
เธอเห็นว่าฉันเข้มแข็งขนาดไหนกัน ถึงทำร้ายฉันได้ขนาดนี้
_______________________________________
ความรัก ความผูกพันธ์ และ คำโกหก
“ ฟังกันหน่อยได้ไหม เชื่อใจกันบ้างหรือเปล่า จะให้พูดซ้ำอีกเท่าไหร่! ”
เสียงตะโกนของเธอดังส่งมาถึงหน้าประตู ยังไม่ทันจะได้วางกระเป๋าลงกับโต๊ะเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องเปิดฉากปะทะกันอีกรอบ
“ อืม ช่างมันเถอะ ” ฉันตอบกลับโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าหันกลับไป ก็คงรู้ได้จากแววตาของเธอ ว่าเธอกำลังโกหก ไม่รู้ว่าครั้งที่สามหรือสี่ หรือนี่จะเป็นครั้งที่สิบ
ขี้เกียจจะนับ
เธอวิ่งเข้ามากอด ซบตรงอกฉัน น้ำเสียงเว้าวอนของเธอดูน่าสงสาร คำพูดเดิมเหมือนกับครั้งล่าสุดที่เราทะเลาะกัน
“ ที่รัก เชื่อใจกันหน่อย เรารักคุณนะ รักคุณมาก รักคุณคนเดียว ”
“ เลิกพูดคำว่ารักสักทีได้ไหม มันน่ารำคาญ !! ” กลายเป็นฉันบ้างที่ตะคอกเธอเสียงดัง มันสุดจะทนแล้ว ตัดกันให้ขาดไปเลย ฉันบอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเธอออกไป เธอเซไปแรงพอดู เจ็บมากหรือเปล่า เจ็บเหมือนที่ใจฉันเจ็บไหม ความรู้สึกผิดแล่นริ้วเข้ามากลางใจ อยากจะประคองเธอขึ้นมากอด แต่มันก็ช้าไปเสี้ยวเดียว
เพี้ยะ !
เสียงฝ่ามือเธอประทับลงที่แก้มฉัน
จังหวะเดียวกับที่น้ำสีใสมันหยดลงพื้น
ร้าวยิ่งกว่าส้นแหลมของรองเท้าสูงแปดนิ้วบดขยี้ลงกลางอก
“ บอกให้ฟัง ทำไมไม่ฟัง ไม่ได้นอกใจ ไม่มีใคร ได้ยินไหม! ” ไม่ใช่เสียงของฉันแล้วคราวนี้ แต่มันกลับเป็นเสียงของเธอแทน เสียงแหลมเล็กตวาดก้องไปทั้งห้อง น้ำตาของเธอค่อยๆ ไหลลงมาบ้าง ฉันได้แต่เงียบ พูดอะไรไม่ออก ทั้งที่ในใจมันหวีดร้องจนจะทะลุตัวออกมา แต่กลับทำได้แค่เงียบเอาไว้
ฉันยืนนิ่ง นิ่งจนรู้สึกได้ว่าลมหายใจของฉันขาดไปจังหวะหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะทำอะไรต่อไป
“ จ้องหน้าเราทำไม ก็คุณไม่ฟังเราเลย !! ”
เสียงแหลมเล็กของเธอยังตวาดมาไม่หยุด แต่ฉันกลับเหนื่อยล้าเกินกว่าจะพูดอะไรออกไป ตั้งแต่เช้า ที่ต้องเจอกับลูกค้างี่เง่าแก้แบบงานซ้ำวนเป็นสิบรอบ แล้วยังต้องติดต่อกับลูกค้าเฒ่าหัวงูโรคจิตที่คอยเอาแต่จะจ้องจะฉีกเนื้อฉันเป็นชิ้น ๆ แล้วไหนยังจะเรื่องเธออีก - มีแต่เรื่องจริงๆ
“ เงียบแบบนี้หมายความว่าไง คุณจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย ”
“ น่าเบื่อ ”
ฉันพูดตามที่เธอต้องการ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่คำที่เธออยากได้ยินสักเท่าไหร่ คิ้วเรียวที่ถูกแต่งแต้มสีน้ำตาลเข้มอย่างดีของเธอขมวดเข้าหากัน สีหน้าบึ้งตึงไม่ปิดบังยิ่งส่งให้เธอดูสวยและเย่อหยิ่งขึ้นไปอีก จนอยากจะดึงเธอเข้ามาจูบให้ปากสีแดงจากลิปสติกราคาแพงนั้นซีดขาวเหมือนกระดาษ แต่ก็นะ ทำได้แค่คิด เพราะนึกถึงสิ่งที่เธอทำเมื่อช่วงหัวค่ำแล้วมันหงุดหงิดใจจริงๆ
ปากสีแดงไวน์ขยับเป็นคำพูดที่เจ้าตัวดูจะมั่นใจเหลือเกิน “ แน่ใจเหรอว่าน่าเบื่อ คุณแน่ใจแล้วงั้นเหรอ ว่าคุณเบื่อเราจริงๆ ” แขนเรียวยาวของเธอตวัดมาคล้องคอแล้วกระชากตัวฉันเข้าไปใกล้ ก่อนที่เรียวปากสีสดจะประทับลงที่ปากของฉันอ้อยอิ่ง มันนุ่มนิ่มอ่อนหวานชวนให้เคลิ้มได้เสมอ แต่คราวนี้ต้องไม่ใช่เธอที่เป็นฝ่ายชนะ
“ หยุดเล่นอะไรแบบนี้ได้แล้ว เราต้องคุยกันให้จบ ”
ไวเท่าความคิดฉันพลิกตัวหนีออกจากริมฝีปากสวยนั้นได้สำเร็จ ในเมื่อฉันเลือกที่จะเงียบแล้วแต่เธอยังไม่ยอมหยุด เราก็คงต้องจัดการเรื่องนี้ให้มันจบ ฉันถอดเบลเซอร์สีเทาเนื้อดีที่เธอเป็นคนเลือกซื้อให้เองกับมือออก โยนมันลวกๆ ลงบนเตียงแบบไม่สมราคา ช่างมันสิ ใครจะสนกันล่ะตอนนี้ สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุด คือหยุดความสัมพันธ์เน่าหนอนนี่ต่างหาก
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก เธอผลักฉันลงไปนอนราบบนเตียงแล้วยกตัวขึ้นคร่อมฉันเอาไว้ กระโปรงทรงเอสีดำเลิกขึ้นเหนือต้นขาเผยให้เห็นเนื้อผ้าชิ้นน้อยชวนให้ใจสั่น ผิวสัมผัสแบบยำมะหยี่ลื่นมือของกระโปรงที่เธอสวมใส่มันขลับผิวขาวเหมือนเนื้อขนมปังอุ่นๆ ของเธอให้กระทบต่อสายตา
ฉันกลืนน้ำลายลงคอ
ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ใบหน้าหวานโน้มลงซุกไซร้ซอกคอฉัน ริมฝีปากอ่อนนุ่มเพิ่มแรงบดขยี้ดูดกลืนผิวเนื้อลำคอของฉันจนแสบร้อน ราวกับว่าเธอกำลังสั่งสอนให้รู้เสียบ้าง ว่าฉันน่ะคิดผิดมหันต์แล้วที่กล้าปฏิเสธสัมพันธ์สวาทที่เธอหยิบยื่นให้
แทบจะกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่ เมื่อเธอขบเขี้ยวลงมาที่ไหปลาร้าที่พ้นคอเสื้อยืดคอวีสีขาวของฉัน ก้นก้อนนุ่มๆ บดเบียดลงที่หน้าท้อง เธอจงใจส่ายก้นช้าๆ แต่เน้นหนักทุกครั้งที่เธอขยับ เลือดในตัวเห่อร้อนขึ้นมา ฉันกัดริมฝีปากแน่น และเหมือนกับว่าคาดการณ์เอาไว้แล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงเลียตามริมฝีปากของฉัน ลิ้นร้อนชุ่มน้ำลายของเธอตวัดไปแนวฟันดันริมฝีปากใต้ร่างให้เปิดออกตามคำสั่งของเธอ เมื่อได้ดั่งใจ ลิ้นเล็กเริ่มสำรวจไปตามโพรงปาก ดูดดุนเรียวลิ้น หยอกล้อเล่นอย่างเอาแต่ใจ ขบเม้มซ้ำๆ ก่อน ริมฝีปากนุ่มจะขยับออกห่างช้าๆ ให้เหยื่อของเธอได้มีแรงหายใจ
นิ้วเรียวกดลงไปที่ไหปลาร้าของฉัน เล็บแหลมๆ นั้น จิกลงไปที่รอยกัดแรงจนฉันสบถคำหยาบคายออกมา แต่แทนที่เธอจะกลัว ริมฝีปากแดงที่เลอะเทอะเพราะแรงจูบนั่นกำลังยิ้มเยาะ
“ ชอบใช่ไหมล่ะ? ” เธอถาม
เล็บแหลมคมที่ถูกตะไบแต้มสีมาอย่างดีกรีดกดรอบรอยแผลลงย้ำๆ
มืออีกข้างที่ว่างอยู่มันไม่ได้อยู่เฉย มันลูบไล้ไปตามสีข้างของฉัน ไล่ปลายนิ้วอุ่นๆ ลงมาแล้วผลุบหายเข้าไปใต้เสื้อยืดสีขาว เมื่อถือจุดที่เธอตั้งใจ ฝ่ามือเรียวเริ่มขยับขย้ำก้อนเนื้อที่หน้าอกฉันด้วยจังหวะที่เร็วรัวขึ้นจนฉันต้องหลุดเสียงครางออกมา
“ นั่นไง.. คุณชอบ คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ เฮ้ออ ”
เสียงทอดถอนใจของเธอมันดูเสแสร้งแกล้งทำได้น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ยังไม่ทันจะได้เถียงก็ตอบยอมให้กับความเจ็บที่แล่นปราดเข้ามา “ อื้ออ... ”
เธอกัดเข้าที่ริมฝีปากของฉัน
แรงจนฉันคิดว่าถ้าเดินไปส่องกระจกได้ คงได้เห็นรอยเลือดซึมออกมาแน่
ให้ตายเถอะ
เหมือนไฟที่ปิดสวิตซ์ไว้ถูกเปิดขึ้นมาราวกับมีใครเอาเท้าไปกระแทกมัน
ฉันถอนริมฝีปากออกจากเธอ จับเธอผลิกตัวลงมาใต้ร่าง เสื้อสายเดี่ยวตัวเล็กของเธอถูกฉันถอดแล้วโยนไปไม่รู้ทิศ ก็มันใช่เวลาจะมาสนใจไหมล่ะ ตอนนี้สิ่งที่ฉันสนก็คือปากเปื้อนสี กับบราที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาตัวนี้ต่างหาก - น่าหงุดหงิด
ฉันมองข้ามบราที่อยู่ไม่ถูกเวลา ก้มลงพรมจูบไปรอบสะดือ ร่างข้างใต้สั่นระริกเหมือนจะดิ้นหนีแต่มือของเธอกลับกดลงกลางศีรษะของฉันแล้วกดให้ต่ำลงอีก เธอหายใจกระเส่าเมื่อฉันใช้ลิ้นวนไปรอบหน้าท้องของเธอ มันขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ลิ้นร้อนๆ ลากผ่านลงมาตามแนวลำตัวช่วงล่าง “ ได้โปรด.. เร็วเถอะ ” เสียงเธอสั่นแหบไปด้วยความใคร่
เป็นครั้งนี้ที่เธอสั่ง และฉันเต็มใจทำตามคำสั่งของเธอ
ฉันเลิกกระโปรงเนื้อกำมะหยี่ขึ้น เนื้อผ้าชิ้นน้อยด้านในถูกดึงลงมาหยุดไว้ที่ปลายเท้าด้านหนึ่งของเธอ ฉันใช้ปากคาบดึงมันจนหลุด เลื่อนนิ้วมาคลึงรอบหว่างขา นิ้วของฉันถูกดูดกลืนหายเข้าไปในส่วนอุ่นนุ่ม ฉันจงใจดันนิ้วไถครูดไปตามผนังปากทางเข้าเน้นให้สัมผัสทุกส่วนอ่อนไหวของเธอ
เธอหลับตารอคอย จมลึกอยู่กับสัมผัสที่ฉันมองให้ “ อย่าเกร็งสิคนดี ” ฉันบอกพรางจูบต้นขาของเธอ ขบเม้มริมฝีปากกับขาเรียวปลุกเร้าอารมณ์ตอบสนองให้ปะทุขึ้นมา นิ้วของฉันขยับช้าๆ ให้เธอผ่อนคลาย เธอพยักหน้ากัดริมฝีปากแน่น
เมื่อมีช้าก็ต้องมีเร็ว ฉันเริ่มขยับนิ้วด้วยจังหวะถี่รัวขึ้น ได้ยินเสียงเธอซีดปากมาพอให้มั่นใจ ว่าเธอพร้อมแล้วจริงๆ ที่จะเริ่มขั้นตอนถัดไป “ อะ..เอาอีก แรงอีก ” น้ำเสียงที่เคยสั่งอย่างคนมีอำนาจ ปรับเป็นอ่อนน้อมและเว้าวอนเสียจนฉันอยากประเคนทุกอย่างให้เธอ อยากทำให้เธอหลุมหลงและพอใจจนเสพติดทุกอย่างที่ฉันมอบให้
“ อึก.. ทะ ที่รัก ” เสียงเธอแหบพร่าจนฉันอยากจะเอาน้ำที่แฉะไหลตามร่องนิ้วของฉันให้เธอดื่มแก้กระหาย แต่มันคงจะไม่พอ เพราะฉันมันเห็นแก่ตัวและกระหายน้ำมากกว่าเธอเสียอีก
ฉันขยับไปเลียตามนิ้วตัวเอง ไล่ลิ้นลากเลียไปถึงจุดอ่อนไหวของเธอ ยิ่งฉันขยับปลายลิ้นมากเท่าไหร่ เธอยิ่งสั่นระริกเหมือนลูกนกที่ขาดแหล่งพักพิง มายกว่าจะเป็นหงส์ที่เอาแต่เชิดหน้าออกคำสั่ง “ อ๊า.. ” เสียงครางของเธอเหมือนตัวกระตุ้นชั้นดี ริมฝีปากของฉันเม้มดูดทุกส่วนล่างของเธอแรงขึ้นไปอีก ตัวเธอบิดงองุ้มจนฉันอยากโอบกอดตัวสั่นระริกของเธอเอาไว้
ตัวเธอร้อนผ่าว มือสองข้างของเธอยึดไหล่ของฉันเอาไว้
นิ้วของฉันกระแทกเข้าไป ทุ่มสุดตัว กระหน่ำไม่ยั้งและถี่รัวขึ้น เมื่อเธอหวีดร้องฉันก็ยิ่งได้ใจ กระแทกกระทั้นจนตัวเธอกระตุกซ้ำสองสามครั้ง
ฉันถอนนิ้วออกช้าๆ เธอชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อช่องทางนั่นว่างเปล่า แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมาก่อนจะยกตัวขึ้นปลดบราของตัวเองออก ประคองใบหน้าของฉันเข้าไปใกล้ ฉันเคลื่อนไหวตามการชักจูง ประกบริมฝีปากงับยอดอกชูชันสีน้ำตาลอ่อน ดูดดุนจนอยากจะกลืนมันเข้าไปในท้อง นอกจากเวลาที่กินไอศกรีม ฉันว่าฉันชอบลิ้นของตัวเองที่สุดก็ตอนที่มันกำลังตวัดรอบยอดปทุมถันของเธอ
ดูดเม้มหนักหน่วงยิ่งกว่าเด็กที่ติดจุกนม ขบฟันช้าๆ ที่จุดยอดสุด ร่างข้างใต้เริ่มบิดรัวอีกครั้ง ตัวเธอลอยขึ้นตาแรงดูดของฉัน
โหยหา ต้องการ และเสพติด แบบนั้นแหละที่ฉันชอบ
จมดิ่ง ถลำลึก สุขสมและเจ็บปวดทุกครั้ง เมื่อรับรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ฉันที่เป็นเจ้าของเธอ เราบอกใครๆ ว่าฉันคือคนที่ได้ครอบครองเธอ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าแท้ที่จริง ฉันเป็นใครสำหรับเธอ
“ โอ๊ยย! ” พลันได้ยินเสียงร้องความคิดสะดุดลง อีกแล้ว.. ฉันถอนริมฝีปากออกจาก ประคองเธอมากอด จูบซับเหงื่อที่ซึมตามไรผมของเธอ “ คิดอะไรอยู่ ลืมไปแล้วเหรอว่าที่อยู่ในปากคุณนะคืออะไร ทำไมถึงได้กัดมาซะเต็มแรงขนาดนี้ ”
“ ขอโทษ ” เสียงของฉันแหบจนแทบจะเอ่ยออกมาไม่เป็นเสียง ก้มลงไปจูบรอบรอยกัดที่ฉันทิ้งไว้บนตัวของเธอแผ่วเบา จมูกซุกไซร้เล่นซนกับก้อนนุ่มๆ ที่เธอใช้มันหลอกล่อฉันทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน และมันก็เป็นไปตามความต้องการของเธอทุกครั้ง
ใช่ ฉันแพ้อีกแล้ว ฉันแพ้ให้เธออย่างจำยอม
ฉันเงยหน้าขึ้นมา สบกับสายตาเธอที่มองอยู่ก่อนแล้ว ฉันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า และเหมือนจะรู้กันอีกนั่นแหละ เธอประกบริมฝีปากของเธอเข้ามาเบาๆ ไม่ร้อนแรง ไม่รุกราน แต่อ่อนหวาน ใจฉันกระตุกไหววูบ อ้าปากรับจูบนุ่มนวลนั่นอย่างช่วยไม่ได้ ใครกันนะที่เป็นคนลุ่มหลง
ฉัน หรือ เธอ
เธอถอนริมฝีปากออก จูบปลายคางฉัน “ เรารักคุณนะ เพื่อนคุณคงจำคนผิด เราไม่ได้พาใครมาที่ห้องจริงๆ เราจะทำแบบนั้นกับคุณได้ยังไง คุณก็รู้นิ เรารักคุณมาก ” ฉันยิ้ม พยักหน้าให้เธอรับรู้ว่าฉันเข้าใจ คงจะจริงอย่างเธอว่า ฉันอาจจะเหนื่อยจากงานมากไป หวงเธอมากไป ในเมื่อช่วงนี้เธอก็ทำตัวดีขึ้นจากเมื่อก่อนมากแล้ว
“ รู้แล้วคนเก่ง ” ฉันขยี้ผมยาวๆ ของเธอเล่น “ หิวไหมคะ ทานอะไรไหม? ”
“ ขอเป็นแซนวิสก็ได้ค่ะ ดึกแล้ว ถ้าเราทานอะไรเยอะๆ แล้วพุงป่องขึ้นมา คุณคงทิ้งเราแน่ ” เธอยิ้ม ร่างเล็กๆ มุดเข้าซุกหาไออุ่น แก้มนุ่มนิ่มนั่นชวนให้กดจมูกลงไปซ้ำๆ ไม่หยุด
ฉันยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดึงผ้ามาห่มร่างเล็กๆ เอาไว้ เธอทำตามอย่างว่าง่าย ตัวเธอหลุบหายเข้าไปในผ้าห่ม ก่อนจะมีเสียงครางอื้ออึงเรียกชื่อของฉันลอยออกมาให้ได้ยิน ฉันส่ายหัวยิ้มๆ ให้คนช่างแกล้ง ก่อนจะเดินไปหยิบมือถือแล้วเดินออกมาจากห้อง
“ แซนวิส ” ฉันเงยหน้าขึ้นตามเสียง รับถุงแซนวิส ขนม กับน้ำดื่มอีกไม่กี่อย่างจากหญิงสาวตรงหน้า ทันทีที่ของทั้งหมดถูกเปลี่ยนคนถือ อีกฝ่ายประกบริมฝีปากกับฉันรวดเร็ว มือของหล่อนประคองใบหน้าฉันเอาไว้ ริมฝีปากนั่นดูดกลืนรุนแรง ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ตัวหล่อนกับเซราวกับไร้เรี่ยวแรงจะยืนได้ไหว ตัวหล่อนทิ้งน้ำหนักลงมา และฉันก็ไม่ได้รังเกียจที่จะรับเอาไว้ ฉันโอบเอวหล่อน อ้าปากตอบรับจูบเร่าร้อนที่ส่งมาก่อนจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก “ ขอบคุณ ”
ฉันก้มมองของในมือก่อนจะมองอีกคนตรงหน้าตอนที่หล่อนพูดขึ้น “ แฟนคุณคงรอนานแล้ว รีบเข้าไปเถอะค่ะ ” หล่อนยิ้ม แต่ฉันเดาไม่ออกหรอกว่าหล่อนยิ้มเพราะรู้สึกดี เศร้า หรือทุกข์ใจ และฉันทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น
“ อย่านอนดึกมากล่ะ ขอบคุณที่บอกเรื่องนั้นให้รู้นะ ”
“ ขอบคุณทำไม ในเมื่อบอกไปกี่ครั้ง คุณกับเธอก็ไม่เลิกกันสักที ”
หล่อนไหวไหล่ ท่าทีดูไม่ใส่ใจ ไม่สนใจว่าฉันจะทำยังไงเมื่อฉันรู้ความจริงบางอย่าง เหมือนกับว่าหล่อนเป็นเพียงผู้ส่งสาร ในเมื่อส่งถึงแล้ว ผู้รับสารจะทำอย่างไรต่อ ก็สุดจะแล้วแต่ หล่อนมีหน้าที่เพียงบอกให้รู้เท่านั้น
ฉันยืนมองอยู่ตรงนั้น รอจนหล่อนเดินหายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ซึ่งห่างจากห้องของฉันไปเพียงแค่สองประตูกั้นเท่านั้น
ร่างเล็กๆ บนเตียงวางมือถือลง ก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานมาให้ในตอนที่เห็นฉันเดินกลับเข้ามาในห้อง เธอดึงผ้าห่มสีขาวขึ้นมาปิดหน้าอกเอาไว้ ฉันหยิบแซนวิสแบ่งออกเป็นสองชิ้นส่งให้เธอ พอท้องอิ่ม ตัวเธอก็มุดหายเข้าไปในผ้าห่ม เหลือแค่ใบหน้าเรียวที่เปอะเปื้อนเครื่องสำอางโผล่มาให้เห็น ฉันวางของในมือลง เดินไปหยิบคลีนซิ่งกับสำลีมาเช็ดหน้าให้เธอ ไม่ว่าจะตอนที่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพง หรือตอนที่ใบหน้าของเธอไร้สิ่งปกปิดแบบนี้ ฉันก็ชอบทุกอย่างที่เป็นเธอ
ฉันไล่นิ้วมือไปตามขนตางอนยาว แก้มกลม เรียวปากสีชมพูดึงดูดให้ฉันก้มลงประทับรอยเอาไว้ ไล่จูบขึ้นมาที่จมูกกับหน้าผากของเธอ บางที คนที่หลงใหล เสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น ก็อาจจะเป็นตัวฉันเองนี่แหละ เธอหลับไปแล้ว และฉันก็ชอบเวลานี้มากที่สุด ชอบมองเธอที่หลับไม่รู้ตัว อยู่ในอ้อมของฉัน ไม่ต้องพบเจอกับใคร เป็นของฉันแค่คนเดียว
ฉันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่เธอวางไว้ใต้หมอนของเธอมาดู
แอปพลิเคชันสีเขียวที่ใครๆ ก็ใช้กันถูกเปิดขึ้นมา
พี่ก็คิดถึงชญาเหมือนกัน
เจอกันพรุ่งนี้นะคะ ...
ฉันยิ้มให้กับข้อความที่ได้อ่าน ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี แต่นี่แหละชีวิต แต่ก็นี่อีกนั่นแหละที่เขาเรียกกันว่า ความสัมพันธ์ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะต้องรู้สึกอย่างไง แต่ที่รู้ตอนนี้คือ
มันทรมานเหลือเกิน
___________________________________________
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in