เสียงพลิกกระดาษไม่ดังนัก แต่ในห้องที่ไม่ได้มีใครทำเสียงอะไรทำให้เสียงพลิกกระดาษเบาๆ เช่นนั้นดังชัดเจนกว่าที่เป็น ตราบใดที่ดวงตาคู่นั้นยังไม่ละจากตัวหนังสือตรงหน้า ผมยังคงมีเวลาสังเกตคนตรงหน้าได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวหรืออาจรู้ตัว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
เขาใส่สเวตเตอร์สีเขียวหรือน้ำเงิน ผมไม่แน่ใจ ผมเคยมั่นใจในการแยกสีของตัวเองมากจนกระทั่งวันนี้ เขาใส่เสื้อสีอะไรกันแน่ ไม่สามารถระบุได้เลย อย่างไรก็ตาม ผมชอบที่เขาแต่งตัวโทนนี้เหมือนสีผิวและสีผมของเขาถูกขับออกมา ดูเหนือจริง ราวกับเขาเป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่น
“เลิกมองได้แล้ว” พูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากปึกกระดาษ ผมได้แต่หมุนเก้าอี้กลับไปที่โต๊ะ หยิบปากกาทำท่าจะเขียนอะไรสักอย่างแก้เก้อ ไม่มีเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงพลิกกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าไปเรื่อยๆ เชื่อไหม ผมพยายามเขียนลายมือหวัดสุดๆ แต่เขาก็ยังไล่อ่านแต่ละหน้าด้วยเวลาอันสั้น จนผมสงสัยว่าเขาอาจมีงานอดิเรกเป็นการอ่านจารึกโบราณหรืออะไรทำนองนั้น
“ใช้ได้เลย” เขาพูดออกมาหลังอ่านข้อความบนกระดาษแผ่นสุดท้ายจบ ความรู้สึกไม่มั่นใจแล่นปราดเข้ามาในหัว เหมือนช่วงเวลาตัดสินชะตาชีวิต
“ไม่ต้องกังวล มันดี” ผมคงเผลอถอนหายใจหนักหน่วงเกินเหตุ เขาหัวเราะออกมา เก็บปึกกระดาษใส่กระเป๋า เดินไปที่ประตู โบกมือลา
“เจอกันคราวหน้า” เพียงคำพูดไม่กี่คำของเขาที่ทิ้งไว้ให้ก่อนจะจากไปในเวลาไม่นาน ทำให้ผมต้องกลับมานั่งจ้องหน้ากระดาษว่างเปล่าอีกครั้ง รวบรวมความคิดเพื่อให้คราวหน้ามาถึงอีกครั้งเร็วๆ
ผมอาจโดนผู้คนที่นั่นเกลียดขี้หน้าจากการเจ้ากี้เจ้าการทำตัวยุ่งยากเขียนต้นฉบับด้วยกระดาษ แต่ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อที่ทุกเดือนผมจะได้ต่อสายหาเขา แค่บอกว่า เฮ้ ต้นฉบับเสร็จแล้ว ในไม่กี่อึดใจ เขาจะมาโผล่ที่หน้าห้องพร้อมรอยยิ้มกว้าง เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกมีตัวตนและรับรู้ถึงความสำคัญของการดำรงอยู่ขึ้นมา
ใช่ ช่วงเวลาที่ผมจะมีตัวตนสำหรับเขาขึ้นมามีแค่ช่วงเวลานั้นเท่านั้นล่ะ
น่าเศร้า แต่นั่นคือความจริง
. . . . .
“ถามจริงเถอะ คุณติดใจอะไรในตัวผมหนักหนา?” คิดสั้นถามออกไปในครั้งหนึ่ง เขาละสายตาจากกระดาษพวกนั้น เลิกคิ้วสงสัย
“ขอโทษ ผมใช้คำไม่ค่อยดี แค่คิดว่าคุณเห็นอะไรในตัวผมรึ?”
“ผมเป็นแค่คนธรรมดา งานเขียนดาษดื่น ผมเองเกลียดมันด้วยซ้ำ บางครั้งผมคิดระแวงว่านี่อาจเป็นการทดลองอะไรบางอย่างของคุณ ขอโทษทีเถอะ แต่ผมแอบคิดอย่างนั้นจริงๆ” เขามองหน้าผม เงียบ นิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก้มลงอ่านกระดาษในมืออีกครั้ง ราวกับเมื่อครู่ผมไม่ได้พรั่งพรูอะไรไร้สาระนั้นออกมา
คราวนั้นเขาจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
. . . . .
หลังจาก เฮ้ ต้นฉบับเสร็จแล้ว ในคราวต่อมา คนที่ปรากฏตัวที่ประตูห้องไม่ใช่เขา
“เขาไม่ว่างครับ ต้องไปธุระที่อื่น” ตัวแทนให้เหตุผลแทบจะทันทีแค่ผมจ้องหน้าเท่านั้น
ไม่เนียนเลยสักนิด
ผมเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา เขาส่ายหัว แค่ขอรับต้นฉบับกลับไป ไม่ได้มองพืดหวัดไหวบนกระดาษแม้แต่หางตา แค่ยื่นมือมารับ เก็บใส่กระเป๋ามิดชิดแล้วบอกลา
“คราวหน้าเขาจะมาไหม?”
“ไม่ทราบเลยครับ” เขายิ้มแหย โค้งตัวนอบน้อมแล้วจากไป
. . . . .
คราวถัดไป คราวถัดไป คราวถัดไป และคราวถัดไปยังคงไม่ใช่เขาที่ปรากฏตัว แต่เป็นตัวแทนที่เปลี่ยนหน้าค่าตาไปเรื่อยๆ ไม่เคยซ้ำ
ถ้าเขาจะทำอย่างนี้ก็แล้วแต่เลย
“ถ้าเขาไม่มาเองจะไม่มีใครได้ต้นฉบับไปทั้งนั้น ฝากไปบอกเขาด้วย” มองใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ของตัวแทนคนล่าสุดแล้วได้แต่ขอโทษในใจ ไม่ได้อยากสร้างความลำบากใจให้ใคร แต่จิตใจของผมเองก็สำคัญ
. . . . .
จวนเจียนจะตีหนึ่งเสียงเคาะประตูดังเป็นครั้งที่สองของวัน ผมเดินจากระเบียง แวะปักบุหรี่กับที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดประตูห้อง พบเขายืนไม่สบอารมณ์อยู่ตรงหน้า
“อย่าทำตัวยุ่งยากจะได้ไหม?” เขาถาม ดันตัวผมหลีกทางประตู เดินเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงบนโซฟา หลับตา แล้วนิ่งไป ผมปิดประตูเดินตามเขาเข้าห้อง ทันทีที่นั่งบนเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ เขายื่นแขนออกมา แบมือรอรับอะไรบางอย่าง ผมรีบคว้าต้นฉบับใส่มือเขา เขาลืมตามองสิ่งที่อยู่ในมือสักพัก ก่อนจะวางไว้ข้างตัว ไม่อ่านมันเลยสักนิด
“เหนื่อย ไว้ค่อยอ่านนะ” พูดเสร็จหลับตาลงอีกครั้ง ผมพยักหน้ามองร่างที่จมลงไปในโซฟาจนแทบจะหายไป
แม้จะสับสนกับสถานการณ์อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยตอนนี้...เขาก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
. . . . .
“งั้น..ที่บอกว่าคุณติดธุระ?”
“ก็จริงน่ะสิ!” หางเสียงติดจะโมโหแม้จะไม่จริงจังนักก็ทำผมสะดุ้งอยู่ดี
เขาเริ่มอ่านปึกกระดาษของผมบนโต๊ะอาหารเช้า มือขวาถือแก้วกาแฟ ดื่มไป อ่านไป พลางบ่นหงุงหงิงถึงความดื้อด้านของผมที่ทำให้เขาต้องถ่อสารร่างที่แทบแหลกสลายมารับต้นฉบับด้วยตัวเอง
รู้สึกผิดเลยแฮะ
หลังจากทานอาหารเช้าและอ่านงานของผมเสร็จเรียบร้อย เขาขอตัวไปสะสางภาระการงานให้เสร็จสิ้นเสียที ผมเดินไปส่งเขาที่หน้าประตู
“อาจจะเจอกันคราวหน้า” เขาเน้นคำว่าอาจจะผมพยักหน้าเข้าใจ จากที่ฟังเขาบ่นจนหูชามาทั้งเช้านั้นพอจะเข้าใจได้ว่าเขาคงไม่ว่างอีกพักใหญ่ๆ และผมโอเคถ้าเขาจะส่งตัวแทนมารับงานจนกว่าธุระของเขาจะจบสิ้น
ผมโอเค...จริงๆ
“นี่” เรียกไว้ตอนที่เขากำลังจะจากไป เขาหันมาเผชิญหน้า กอดอก เลิกคิ้ว จากท่าทางแปลได้ว่า มีอะไรก็พูดมา เร็ว
“ผมเขียนถึงคุณ.. เยอะมาก”
“ไม่เห็นเคยได้จดหมายสักฉบับ” เขาสวนทันควัน แสยะยิ้มเมื่อเห็นผมหน้ามุ่ย
“คุณไม่รู้อะไร” เขารู้ เขารู้ คนฉลาดอย่างเขาไม่มีทางไม่สังเกต
“อาจจะไม่ชัดเจน แต่คุณอยู่ในงานพวกนั้นทั้งหมด” ความจริงคือเขาอยู่ในนั้น ชัดเจนเหมือนแปะป้าย รอยยิ้มเขาหายไป ความเงียบลอยอยู่ในบรรยากาศพักใหญ่
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงเป็นคนที่แย่มากในสายตานาย” เขาถอนหายใจ
“ฉันใจร้ายกับนายขนาดนั้นเลยหรือไง?” มองตาผมแล้วถาม ผมไม่กล้าพอจะสบตาเขาในเวลานี้
“แล้วนี่กำลังทำอะไร สารภาพรัก?”
“ไม่..”
“นายเป็นนักเขียนที่เก่ง แต่เป็นนักแสดงที่ห่วยนะ รู้ตัวไหม?”
“ผมถึงไม่เป็นนักแสดงไง”
“ถามอีกครั้ง นายกำลังทำอะไร?”
“สารภาพรัก”
“เจอกันคราวหน้า” เขายิ้มกว้าง บอกลา แล้วจากไป
. . . . .
“ที่ผมถามคุณคราวนั้นน่ะ ลืมๆ มันไปเถอะนะ”
“หืม ไม่ได้หรอก” เขาตอบพลางจับเส้นผมของผมเล่น ก่อนจะเคาะหัวผมเบาๆ ผมมองเขา สงสัย
“ความคิดแย่ๆ เต็มหัว เคาะออกหน่อย” เขาหัวเราะ ผมยกหัวขึ้นจากตักเขา นั่งตัวตรง ผมมองเขาและเขาก็มองผม
“เรื่องนั้นฉันโกรธนะ นายดูถูกฉันมากเลย” คาดไว้อยู่แล้วว่าคงไม่ใช่แค่เพราะธุระปะปังของเขาที่ทำให้เขาหายไป แต่ก็ได้แต่โทษการพูดไม่คิดของตัวเองเท่านั้น
“เลิกมองตัวเองในแง่ลบได้แล้ว” ผมถอนหายใจ นั่นมันยากเสียยิ่งกว่ายาก
“มั่นใจหน่อย” เขาแตะหน้าผมเบาๆ เหมือนกำลังปลอบใจลูกหมายังไงยังงั้น ถ้าเป็นคนอื่นผมคงอาละวาดไปแล้ว แต่เพราะนี่คือเขา ผมจึงได้แต่นั่งเชื่องๆ ให้เขาลูบหัวลูบหางอย่างนี้
เอาเถอะ เรื่องความคิดอาจต้องใช้เวลาสักพัก แต่ตอนนี้ขอแค่มีเขาอยู่ตรงนี้
ผมก็โอเคแล้ว
จริงๆ!
end.
—————
ฉันสารภาพรักกับคุณไปแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้ง
@mechumh
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in