ปี 2008
อายุ 25
สอบเข้าปริญญาดนตรี
พ่อไม่เคยคัดค้านสิ่งที่ฉันคิด
พ่อไม่เคยไม่สนับสนุนสิ่งที่ฉันทำ
ที่ผ่านมาฉันล้วนเข้าใจผิดไปเองตลอด ว่าผู้ใหญ่อย่างนั้น ผู้ใหญ่อย่างนี้
สรุปนั่นคือ "ผู้ใหญ่คนอื่น"
ตลอดมา ฉันคิดไปเองว่า ที่บ้านฉันไม่น่าสนับสนุนเรื่องดนตรีได้
เพราะฉันเติบโตมาในแบบครอบครัวคนจีน ที่ประหยัด อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อ
และดนตรีคือสิ่งไม่จำเป็น...
ฉันเติบโตมาในสังคมที่เห็นดนตรีเป็นเรื่องสิ้นเปลือง และหาเงินไม่ได้
ฉันเติบโตมาในบ้านที่ ค่าเรียนเปียโน กับราคาเปียโน ดูจะเอื้อมไม่ถึง
แค่กิเลสเรื่องเครื่องเกม มันเทียบไม่ได้กับราคาของการฝึกฝนดนตรีเลย เทียบกันไม่ได้แบบไม่เห็นฝุ่น
ฉันนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ ฉันจะคิดว่า การเรียนดนตรีอย่างจริงจัง สำหรับฉันมันเป็นไปไม่ได้ ตลอดมา
แต่วันนั้นที่บอกพ่อว่า จะมาจริงจังกับดนตรีเต็มตัว จะเข้ามหาวิทยาลัยดนตรี เรียนตรีอีกใบ
พ่อไม่ได้คัดค้านอะไรเลย... พ่อบอกว่าพ่อ support ได้
พ่อเข้าใจทุกอย่าง
และบอกฉันว่า อย่าไปเคียดแค้นอะไรญาติผู้ใหญ่คนนั้นเลย ที่เค้าแนะนำเรามาแบบนั้น (แบบไหน ลองอ่านตอนเก่าๆดูนะครับ) เค้าก็แค่พูดไปตามจากประสบการณ์ที่เค้าเห็น
จริงอยู่ ว่าถ้าแค่อยากเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก เรียนดนตรีแค่ข้างนอกคงพอ แล้วก็มีอาชีพอื่นหาเงิน
แต่ในกรณีของฉัน มันแตกต่างอยู่มาก เพราะฉันบ้าดนตรีมากเกินไป จิตใจจดจ่อหมกมุ่นอยู่แต่กับมัน ความกระหายใคร่รู้ อยากค้นหามันมีมากเกินไป และฉันอยากเป็น Music Composer ไม่ได้แค่อยากเล่นดนตรีเป็นนักดนตรีเฉยๆ
มัน error ตั้งแต่วิชาแนะแนวตอน ม.4 แล้ว ที่ไม่สามารถแนะแนวฉันได้ถูกทาง
เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็ยังมีหนทาง
ฉันติดหนี้บุญคุณพ่อกับแม่ไม่รู้เท่าไร กับการมาทำแบบนี้ เรียนปริญญาตรีอีกใบ แล้วยังเป็นดนตรีอีก ที่น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อยากให้เรียนน้อยที่สุดแล้ว ไม่รู้ชาตินี้จะใช้หนี้พ่อแม่หมดได้ยังไง
ชีวิตทางสายดนตรีของฉันได้เริ่มต้นขึ้นจริงๆ ตอนราวๆ อายุ 24-25
และฉันเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน นับแต่วันนั้น
ฉันบอกตัวเองว่า จะไม่มีวันยอมเสียเวลาให้กับอะไรอีก และจะไม่มีการเดินทางพลาดอีกต่อไป ฉันจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่ และไม่ยอมให้ใครมาเลือกเส้นทางชีวิตให้ หรือเลือกมั่วๆอีกต่อไป
ฉันกลายเป็นคนพิถีพิถันกับการเลือกทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
ถัดจากวันที่คุยกับพ่อไม่กี่วัน ฉันออกไป survey มหาวิทยาลัยดนตรีต่างๆด้วยตัวเอง แทบทุกที่ ที่เด่นๆ ในกรุงเทพฯ พ่อบอกว่าทำไมไม่เรียนที่เดิม คณะดนตรีก็มี แต่ฉันคิดว่า ช่วงเวลาการเรียน ม.เอกชนแบบความกดดันไม่เข้ม มันหมดลงแล้ว ฉันต้องการกวดขันกับตัวเองอย่างเข้มงวด ฉันเลือกที่จะเคี่ยวกรำตัวเองโดยการพยายามสอบมหาวิทยาลัยชั้นนำในสายดนตรีให้ได้ เพราะการที่ฉันช้าไป 4-5 ปี ทำให้ฉันไม่มีเวลาสำออยอีกต่อไปแล้ว ทุกวินาทีมีค่า
ฉันหาข้อมูลจนแทบครบทุกที่ และเล็งเข้าอยู่สองที่ คือ ศิลปากร และ มหิดล
ทั้งสองที่นี้ ที่จริงแล้วมีศักดิ์ศรีใกล้เคียงกัน (แต่มหิดลดังกว่าเพราะหนังเรื่อง season change เฉยๆ) แต่สุดท้ายที่ฉันเลือก ศิลปากร มาจากสองสาเหตุ
1. ดูรายชื่อ อ.ผู้สอน แล้วถูกจริตมากกว่า เพราะมีคนจากวงการเพลงอินดี้ ที่ฉันศรัทธาหลายคน
2. ฉันคิดว่าดนตรีคือศิลปะ การเรียนดนตรีในมหาวิทยาลัยศิลปะ น่าจะตอบโจทย์มากกว่า
ไม่ได้ว่า มหิดล ไม่ดีนะครับ แต่คิดว่า ณ ตอนนั้น ศิลปากรถูกจริตกับฉันมากกว่า และเพราะฉันมีคลุกคลีกับเพื่อนศิลปากรหลายคน เลยได้รับ reference มาโดยไม่ตั้งใจด้วย
เมื่อเลือกเป้าหมายได้แล้ว ฉันเดินเข้า KPN ไปถามเค้าเลยว่าต้องทำไง
ฉันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันให้ฟังคร่าวๆ แล้วบอกว่า ตอนนี้มีความประสงค์จะสอบ entrance ใหม่เข้าดนตรี ช่วยสอนฉันให้สอบติดที ที่นั่นก็จัดครูและคอร์สเปียโนแบบเป็นเรื่องเป็นราวให้ฉัน
ฉันกลับมาบ้าน เอาเครื่องดีเจไปขายทั้งเซต และเอาเงินมาซื้อเปียโนไฟฟ้าเพื่อซ้อมจริงจัง
อยากบอกทุกคนรวมถึงน้องๆที่อ่านอยู่ว่า ถ้าอยากจะเก่งอะไร คุณต้อง back to the basic
ฉันไม่มีทางเนรมิตเพลงที่ดีได้ ถ้าปราศจากความเข้าใจในตัวโน๊ต เบสิคต้องแน่น ลำพังแค่การรีมิกซ์เพลง เอา loop มาวางๆ กับแต่งเพลงแบบงูๆปลาๆ ไม่สามารถสร้างเพลงมหัศจรรย์ในแบบที่ฉันต้องการได้ ฉันได้รับประโยชน์จากการเล่น dj พอแล้ว และพบทางตัน ที่มันไม่สามารถตอบสนองความต้องการสร้างเพลงในอุดมคติของฉันได้ ช่วงเวลาต่อไปนี้คือการอัพสกิลดนตรีที่เป็นดนตรีที่แท้จริง
และแล้ว ช่วงเวลาแห่งการติวเข้มเพื่อสอบดนตรี ศิลปากร ก็เริ่มต้นขึ้น
ฉันมีเวลา อย่างช้าสุด 1 ปี
สำหรับใครที่ไม่รู้มาก่อน คิดว่าการเรียนดนตรีมันเป็นเรื่องสุนทรีย์ ขอบอกเลยว่า คุณคิดผิด
ตอนเล่นดนตรี อาจจะสุนทรีย์จริง แต่ตอนที่ฝึกฝนเพื่อให้ได้สกิลมา มันมีแต่ความทรมานและน่าเบื่อ
มันไม่สนุกเลยนะ การเล่นแบบฝึก สเกล คอร์ด อะไรซ้ำๆ วันนึง 3-6 ชั่วโมง ติดๆกัน เป็นปีๆ
สิ่งที่เห็นเบื้่องหน้า ที่นักดนตรีเล่นเก่งมาก และดูมีความสุข มันแลกมากับการซ้อมเลือดตาแทบกระเด็นมาอย่างยาวนานจนซึมซับเข้าไปในนิ้ว ในสมอง ในกล้ามเนื้อ จนร่างกายกับจิตวิญญาณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวโน๊ต
นั่นแหละ คือมันไม่สนุกเลยยยยโว้ยยยยยยย ช่วงเวลานั้น
จากเดิมที่เล่นคีย์บอร์ดแบบงูๆปลาๆมา แทบจะช่วยอะไรได้น้อยมาก ทุกอย่างต้องเริ่มนับ 1 ใหม่
เหนื่อย แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้ด้วยความมุ่งมั่น
ช่วงนั้น ความสนใจเรื่องอื่นเป็นเรื่องรองทั้งหมด ฉันยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุ่มเทให้กับดนตรี มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันต้องยอมแลกมันกับการมาเส้นทางสายนี้
และแล้วความพยายามที่เข้มข้นก็ดำเนินมาถึงวันสอบ
สอบทฤษฎี ฉันค่อนข้างมั่นใจ แต่ปัญหาคือ ปฏิบัติ ที่ฉันค่อนข้างอ่อน
ตอนไปสอบปฏิบัติ เล่นไปมือสั่นไป เพิ่งเคยเล่นเปียโนเป็นเรื่องเป็นราวให้คนดู
สุดท้าย... ผ่านเฉย
ฉันสอบติดเร็วกว่าที่คิด คือภายในแปดเดือน ติดตั้งแต่รอบแรก
ฉันคลายความกดดันลงได้บ้าง แต่เริ่มเข้าสู่สังคมดนตรี ในระหว่างรอเข้าเรียนปี 1
การซ้อมยังต้องดำเนินต่อไป แต่ไม่เครียดเท่าครึ่งปีก่อนสอบติด
ฉันเริ่มตั้งวงดนตรีกับเพื่อน เป็นวงที่ไม่ได้จริงจังอะไรมาก ชื่อวง naive ตอนนั้นฉันยังไม่รู้เรื่องดนตรีอะไรมากเท่าไร เราเล่นมั่วๆกันตามสัญชาติญาณ เป็นแนว post rock มีแค่สามคน กีตาร์ (รุ่นน้องที่คณะเก่า) เบส (อิด มือเบสวง puzzle ต่อมา) และคีย์บอร์ด (ฉันเอง) โดยช่วงเวลานั้นฉันเริ่มสนใจ synthesizer เป็นพิเศษ
กับอีกวงที่ฉันไปเล่นด้วยอยู่บ่อยๆช่วงนั้น คือ กลุ่ม inspirative เป็นกลุ่ม post rock อีกกลุ่ม ที่มาแรงในช่วงนั้น (ตอนนั้น post rock กำลังมา)
กับเริ่มมีงาน เล่นดนตรีกลางคืนมาบ้าง กับวง puzzle บ้าง , back up ให้ศิลปินบ้าง และ มีไปออดิชั่นนู่นนั่นนี่ อยู่หลายครั้ง
หลังจากฉันสอบติด และเริ่มเรียนปีแรก ก็มีได้งานสอนเปียโนที่ KPN ต่อเลย ช่วงนั้นเลยถือว่าเริ่มอาชีพดนตรีแล้วอย่างแท้จริง
ในช่วงนี้ฉันเริ่มกลับมาลองแต่งเพลงดูอีกครั้ง และพบว่า ฉันสามารถเจือจาง ลายมือแบบเบเกอรี่ลงไปได้เยอะมาก และจากอิทธิพลที่ได้รับจากการคลุกคลีในวงการเพลงอินดี้ไทย จำนวน indie rock ,post rock ทำให้ลายมือฉันเริ่มเปลี่ยนไป แม้ยังไม่ใช่จุดที่พอใจที่สุด แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี ที่ฉันเริ่มขยับเข้าไปใกล้จุดหมายอีกระดับนึง ฉันเริ่มแต่งเพลงเก็บโดยเน้นจำนวนไว้ก่อน พี่บอยเคยบอกว่าการแต่งเพลงก็เหมือนยกน้ำหนัก ทำบ่อยๆ ยกทุกวัน ก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแรกคือ ต้องเอาความสมบูรณ์แบบออกไปก่อน ไม่งั้นไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ถ้ามัวแต่คิดว่า เพลงนี้ยังไม่ดีพอ ไม่ชอบ
เนื่องด้วยสาขาที่ฉันเรียน โฟกัสไปที่การแต่งเพลง ทำดนตรี ก็จริง แต่เครื่องเอกของฉันคือเปียโนแจ๊ส เลยทำให้ได้เข้าไปคลุกคลีกับสังคมดนตรีแจ๊สในไทยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะเข้าเรียน มีพวกค่ายแจ๊ส ที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนคนอื่นๆ แต่ละคนฝีมือเก่งๆ ปีศาจกันทั้งนั้น ฉันเป็นเหมือนผู้ที่เพิ่งย้ายมาจากอีกดาวนึง เลเวลต่ำต้อย ฉันไม่ได้ชอบแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจ แต่ฉันวิเคราะห์แล้วว่า ดนตรีแบบที่ฉันอยากทำ ต้องมีความรู้แจ๊สด้วย ต้องรู้แทบทุกอย่างของดนตรี ฉันจึงตัดสินใจศึกษามัน
วัฒนธรรมที่ศิลปากร เข้าหลังเป็นน้อง เข้าก่อนเป็นพี่ เข้าพร้อมกันเป็นเพื่อน ปกติมากๆ มีคนแบบฉันอยู่หลายคนอยู่ คือจบอย่างอื่นมาแล้ว มาเรียนที่นี่อีก หรือบางคนก็ซิ่วมา หรือบางคนมีลูกมีเมียแล้วมาเรียนก็มี แต่ด้วยความที่หน้าเด็ก คือจะมีเพื่อนบางส่วนที่นับเราเป็นพี่ แล้วก็บางส่วนที่นับเป็นเพื่อน แล้วก็รุ่นพี่บางส่วนที่นับเราเป็นน้อง งงมากๆ แต่สุดท้ายไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรานับตามสถานะแรกที่รู้จักกันน่ะแหละ
ที่ๆ เรียน ค่อนข้างไกลจากบ้านฉันมาก ต้องขับรถไป-กลับ โดยรวมใช้เวลาในการเดินทางวันนึงไม่ต่ำกว่า 3 ชม. พ่อเคยถามว่าทำไมไม่เรียนที่เดิม ใกล้ๆ ที่นั่นก็มีคณะดนตรี แต่ก็ด้วยเหตุผลทั้งหลายที่ฉันคิดมาดีแล้ว พ่ออยากให้สบาย ไม่ต้องลำบาก แต่ฉันต้องการลำบากเพื่อแลกกับอะไรที่ควรค่า หลายๆคนที่เก่งๆ ล้วนผ่านความยากลำบากของการฝึกฝนตัวเอง ต่อไปนี้ ช่วงเวลาแห่งการเคี่ยวกรำที่แท้จริง 4 ปี กับชีวิตใหม่ ของการฝึกวิชาบนดินแดนที่ห่างไกล กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in