Moonlit winter คือหนังเรื่องแรกที่ดูของปีนี้คือหนัง LGBTQ+ จากเกาหลีใต้ความยาว 105 นาที ว่าด้วยเรื่องราวของแซบมที่ไปเจอจดหมายจากเพื่อนเก่าแม่ซึ่งจ่าหน้าซองผู้ส่งเป็นที่อยู่ในโอตารุ เธอเลยสังเกตเห็นอะไรบางอย่างและนั่นคือสาเหตุของการชวนแม่ของเธอไปญี่ปุ่น เพื่อพบหน้าเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมากว่า 20 ปี
"ต่อจากนี้ไปจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องแน่เลยค่ะ
ใครที่อยากไปดูเองอาจจะต้องระวังหน่อยนะคะ หรือไม่ก็ปิดบทความนี้ก่อนเลย
เรากลัวจะทำให้หมดอรรถรสในการดูเหลือเกิน
และมีการใส่ความคิดเห็นของเราเพิ่มเติมปะปนอยู่ด้วยนะคะ"
เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวของเจ็บปวดของเพศหญิงที่เป็น LGBTQ+ ในสภาพสังคมของเกาหลีใต้ออกมาเป็นความร้าวรานที่เงียบงันผ่านการส่งจดหมายเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองได้เจอในตลอด 20 ปีที่แยกจากกันของคู่รัก queer ที่เป็นรักแรกของกันและกัน และยังเล่าถึงค่านิยมต่างๆที่ผู้หญิงจะต้องเผชิญไว้ได้อย่างน่าสนใจ
หนังไม่ได้พูดออกมาอย่างแข็งกร้าว/เสียงดังว่าความเจ็บปวดตรงนี้ที่ตัวละครนี้ได้รับเป็นอย่างไร แต่ค่อยๆพาเราไปรู้จักและจมลึกไปกับความรู้สึกของยุนฮี คุณแม่ของแซบมที่ดูจะตกอยู่ในภวังค์ความเศร้าและเดียวดายมาตลอดมา จากการที่เธอไม่สามารถเป็นตัวเองได้เพราะสังคมไม่ยอมรับ การที่บอกชอบใครสักคนแล้วถูกคนรอบตัวตราหน้าว่าเป็นบ้า ต้องเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเป็นแผลใจของเธอมาตลอด ทำให้ยุนฮีัเป็นตัวละครที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว ดูจะเป็นคนเงียบๆแต่ก็มีความขบถในตัว เราไม่ได้รู้จักยุนฮีผ่านคำพูดเท่าไหร่ แต่รู้จักผ่านการกระทำต่างๆของเธอ
แซบม เด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสดใส ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนของแม่หลังจากเธอได้รับรู้จากเหตุการณ์ต่างๆ เธอยอมรับมันและพยายามตามหาความสุขมาใส่มือแม่ผู้เดียวดายและหม่นหมองของเธอด้วยการพาแม่ไปเจอกับรักแรกที่ติดอยู่ในใจมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เพราะตัวยุนฮีเป็นคนที่ไม่ค่อยเล่าอะไรให้ลูกสาวของเธอรับรู้มากนัก แซบมเลยพยายามทำความรู้จักแม่ของเธอผ่านคนรอบตัวของแม่ ทั้งพ่อ และพี่ชายแม่(ที่แนะนำพ่อให้แม่แต่งงานด้วย)
ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกนี้เป็นอะไรที่ถูกพัฒนาจากความหนาวเหน็บสู่ความอบอุ่นละมุนมาก ชวนนึกถึงการดื่มโกโก้อุ่นๆดูหิมะโปรยปรายผ่านหน้าต่างมาก สำหรับเราการเดินทางมาเที่ยวโอตารุในครั้งนี้ของทั้งคู่ไม่ใช่แค่มาตามหารักแรกของยุนฮีเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้สองคนได้เรียนรู้กันมากขึ้น ยุนฮีอาจจะเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่เธอกลับรู้จักลูกสาวตัวเองดีเลย ตัวแซบมยังตกใจที่แม่รู้เกี่ยวกับตัวเองในเรื่องนั้นเรื่องนี้ คงเป็นเพราะการใช้ชีวิตปกติไม่ได้มีเวลาให้คุยกันมากนัก พอคุยกันทีไรก็ดูเหมือนจะทะเลาะกัน ไม่ลงรอยกันไปเสียหมด แต่พอได้มาเที่ยวด้วยกันสองแม่ลูกแล้วทำให้เธอทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ในขณะที่แซบมเองก็พยายามจะรู้จักแม่ให้มากขึ้น แต่ไม่ก้าวล้ำไปในเส้นที่เป็นความรู้สึกของแม่มากนัก
คนถัดมาที่จะต้องพูดถึงคือจุน ผู้เป็นรักแรกของยุนฮี จุนตัดสินใจมาอยู่กับพ่อที่ญี่ปุ่น หลังพ่อเธอแยกทางกับแม่ชาวเกาหลี เรื่องราวนี้คงเริ่มจากการที่เธอคนนี้ตัดสินใจเขียนจดหมายไปถึงยุนฮีบอกเล่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอให้ยุนฮีฟังผ่านจดหมายฉบับนี้ จุนใช้ชีวิตแบบไม่ต้องหลบซ่อนเท่ายุนฮี อย่างน้อยเธอก็ไม่จำเป็นที่ต้องแต่งงาน มีครอบครัว ตามขนบผู้หญิงทั่วไปในยุคนั้น คงเพราะคุณป้าของเธอที่เคียงข้างเธอมาตลอดก็เป็นผู้หญิงโสดที่ดูจะเข้าใจเธออยู่ไม่น้อย เลยทำให้เธอไม่ได้รับการต่อต้าน หรือบีบบังคับจากสังคมรอบข้างมากนัก แต่ก็ยังพูดมันออกมาไม่ได้อยู่ดี
นักแสดงแต่ละคนเล่นดีมาก คุณฮีแอคือไปสุดมาก ความร้าวรานจากตัวละครยุนฮีที่่เขาได้ถ่ายทอดให้เรารับรู้เป็นอะไรที่สุดยอดและน่าทึ่งมาก ส่วนคุณยูโกะที่เล่นเป็นจุนก็ดีมากเลย เราชอบความมีอะไรในความสบายๆของตัวละครตัวนี้มาก เป็นคนที่ดูจะเด็ดขาด แต่ก็ยังต้องหลบซ่อนตัวตนอยู่ดี เขาตีความออกมาเป็นคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจมาก ประทับใจมากเลยค่ะ แล้วก็คุณโซฮเยที่มาเล่นเรื่องนี้ในฐานะแซบม คือเกินคาด เขาตีความตัวละครแซบมออกมาเป็นตัวละครที่มีมิติและสว่างไสวมากเป็นตัวละครที่เราคนดูจะหลงรักในความน่ารัก ฉลาด และขบถนิดๆของเธอ
จริงๆพาร์ทที่เราชอบมากคือตอนที่อินโฮเอาการ์ดงานแต่งมาเชิญยุนฮีไปร่วมงาน แล้วเขาก็ร้องไห้เป็นอะไรที่บาดใจมาก ในฐานะของคนที่อาจจะไม่ได้รักกัน แต่อยู่เป็นคู่กันมานาน เขาอยากเห็นยุนฮีมีความสุขได้เหมือนกันกับที่ยุนฮีอวยพรให้เขามีความสุขในการแต่งงานครั้งนี้ (ในความคิดเห็นของเรา เป็นการเล่าความทุกข์ทรมานของยุนฮีผ่านอินโฮ พ่อของแซบม ที่เราว่าเขาก็น่าจะรับรู้เรื่องตรงนี้มาตลอด ใน และตัวเขาก็รู้ดีว่าการเป็น queer ในสังคมแบบนี้มันยากมาก) เราว่าเป็นการบอกเล่าที่คมคายมาก คิดว่าไม่ค่อยได้เห็นการเล่าแบบนี้เท่าไหร่ เลยประทับใจมาก
อีกฉากที่น่าประทับใจคือจุนกับผู้หญิงที่เป็นเจ้าของแมวที่พาแมวมารักษาที่ร้านเธอ (เรื่องแวะไปแตะคอนฟลิกระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น ผ่านตัวละครจุนเนี่ยแหละ) ที่พูดว่าถ้ามีเรื่องต้องปิดบังก็ขอให้ปิดบังต่อไปเถอะค่ะ มันเป็นอะไรที่ดูแล้วอยากจะร้องไห้มาก แม้กระทั่งจุนที่ตัดสินใจเป็นโสด ก็ยังรู้สึกว่าสังคมมันไม่ได้คอมฟอร์ทพอที่เขาจะแแสดงตัวตนออกมา
นอกเหนือจากนั้นแล้วหนังยังแวะไปพูดถึงเรื่องราวความรักอันสดใสของหนุ่มสาววัยมัธยมอย่างแซบมและคยองซู หนังเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของสองคนนี้ออกมาอย่างสดใสและชวนอบอุ่นตามสไตล์รักวัยมัธยม ตั้งคำถามถึงอนาคตของทั้งคู่ไว้นิดหน่อย เราว่าเขาให้ค่ากับความสัมพันธ์ของเด็กๆไม่แพ้ผู้ใหญ่เลย เวลาดูแล้วรู้สึกชอบมาก เขาแค่เล่าว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้สั่งสอนว่ามันควรจะเป็นอย่างไร
ชอบการใช้เซตติ้งเป็นหน้าหนาวมาก อากาศหนาวเย็น กับหิมะกองโตที่ดูจะไม่ละลายง่ายๆ มันดูเป็นความทรมานที่ยาวนาน เหมือนกับคำพูดของตัวละครในเรื่องที่ว่าเมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกสักที แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม (ในความคิดเห็นของเรา การใช้ตรงนี้เหมือนเป็นการ แทนสิ่งที่ตัวละครต้องเจอเลย การเป็น Queer ในสังคมแบบนี้ก็คงเหมือนกับหิมะที่ตกไม่หยุดสักที แต่เธอก็ไม่ได้อยากย้ายออกจากเมืองนี้แล้ว) การเล่นกับพื้นที่ว่าง หิมะ และแสงต่างๆ พาให้เราจมไปกับตัวละครได้ดีมากเลยนะ เขาใช้เมืองในการเล่าถึงตัวละครได้ดีมากเลย ชอบความรู้สึกตัวเองตอนดูมาก มันเป็นความอบอุ่นท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ แต่ก็เหงาและร้าวรานจนอยากจะร้องไห้
หลังจากดูจบเราก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า
เมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกสักที
----------------------------------------------------------------
เราเคยไปโอตารุที่เป็นเซตติ้งหลักของเรื่องนี้เลยทำให้เราอินมาก เพราะดูแล้วคิดถึงเมืองที่เคยไปเดินเล่นในยามหิมะโปรยปราย ภาพสวยมาก ทั้งอบอุ่น และชวนเหงา อยากให้ลองไปดูกันค่ะ
ความคิดเห็นของเราอาจจะไม่ตรงหรือคิดเห็นไม่ตรงกันยังไงก็คุยกันได้นะคะ รออ่านคอมเม้นท์อยู่นะคะ
ขอบคุณมากค่ะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in