[ หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง
Ghostbusters บางส่วน จริงๆหนังมันก็นานมากแล้ว ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของหนังดี แต่ถ้ายังไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็ขอเตือนเป็นหมายเหตุเอาไว้ก่อนครับ XD ]
เนื่องจากปีนี้ มันได้เวลาแล้วที่
Ghostbusters Afterlife หนังภาคที่ 3 อย่างเป็นทางการของแฟรนไชส์ Ghostbusters (แต่ถือเป็นลำดับที่ 4 ที่ออกฉาย) จะได้ฉายจริงๆซะที หลังจากเลื่อนมาจากปีที่แล้วเพราะโควิด ในฐานะแฟนบอย เลยอยากจะพาทุกท่าน ไปรู้จักหนังชุดนี้กันซักนิด
"If there's something strange.
In your neighborhood.
Who're you gonna call?"
Ghostbusters หรือในชื่อไทยว่า
"บริษัทกำจัดผี" ถือเป็นหนังคลาสสิคระดับ Pop Culture อีกเรื่องนึง เกิดจากการสร้างสรรค์ของผู้กำกับ
ไอแวน ไรท์แมน (Ivan Reitman) ร่วมด้วยสองคนเขียนบท ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงหลักของหนังอย่าง
แดน แอครอยด์ (Dan Akroyd) กับ
แฮโรลด์ เรมิส (Harold Ramis) ร่วมกันปั่นให้หนังออกมาสนุกและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลายเป็นหนังที่มีแฟนๆคลั่งไคล้อย่างเหนียวแน่น มาจนถึงปัจจุบัน เป็นหนึ่งในหนัง Iconic ของหนังยุค 80 ที่สร้างปรากฏการณ์ ในระดับที่ไม่มีใครคาดคิด ...ใครจะไปคิดล่ะครับว่า หนังแก๊งค์ปราบผีในนิวยอร์คเรื่องนี้ มันจะประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลขนาดนี้
ส่วนตัวผมเป็นเด็กยุค 90 แน่นอนว่าผมไม่ทันดู Ghostbusters สองภาคแรกในโรงแน่นอน.. ผมเป็นแฟน Ghostbusters สาเหตุหลักๆมาจาก อนิเมชันซีรีส์ชุด
Extreme Ghostbusters ที่ฉายในปี 1997 ซึ่งเป็นอนิเมชันภาคต่อของ
The Real Ghostbusters ที่ฉายต่อเนื่องในปี 1986-1991 ...ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนัง Ghostbusters ภาคแรกมีอายุครบ 15 ปีพอดี ผมเลยได้สัมผัสกับ Ghostbusters จากสื่อต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟรีทีวีที่เอามาฉายครบทั้ง 2 ภาค, ดูซ้ำจากม้วนวิดีโอ (VHS) อีกไม่รู้กี่ครั้ง
เรียกได้ว่า แม้ผมจะไม่ได้โตมายุค 80 แต่ Ghostbusters ก็วนเวียนอยู่ในชีวิตผมมาตลอดตั้งแต่เด็ก นับๆดูตั้งแต่เด็กจนโต ผมน่าจะดูหนัง Ghostbusters ทั้ง 2 ภาค มาเป็นร้อยรอบ บวกกับไล่ดู The Real Ghostbusters กับ Extreme Ghostbusters จนครบได้ ..บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองมาเกิดเป็นคนหลงยุคเหมือนกัน (ฮาา)
แต่ต้องยอมรับล่ะครับว่า มาถึงยุคนี้ ความคลาสสิคของหนังชุดนี้ มันก็อาจจะกลายเป็นความเชยไปแล้ว สำหรับคนดูในยุคปัจจุบัน... หลายๆอย่างของหนังสามารถใช้คำว่า
"คลาสสิค" ได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นสิ่งที่
"พ้นสมัยไปแล้ว" หากเทียบกับความหวือหวาของบรรดาหนังแฟรนไชส์ในยุคหลังๆ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจได้มากกว่านี้เยอะ (อย่างส่วนตัวผม ที่ต้องยอมรับว่า ความรู้สึก Nostalgia หวนคิดถึง Childhood มันก็มีส่วนไม่น้อย) แต่ยังไง ภาพของชายสี่คน สวมชุดจัมป์สูท สะพายโปรตอนแพ็คไล่ยิงภูติผี มันจะยังเป็นภาพที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด ในทุกยุคทุกสมัย ไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน
ซึ่งบทความนี้ จะไม่ใช่การมารีวิวหนังนะครับ แต่จะเป็นการพาท่านไปรู้จักกับเอกลักษณ์ในโลกของเหล่าบริษัทกำจัดผี ว่ามันมีสเน่ห์อย่างไร...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"คุณกำลังประสบปัญหาจากเสียงรบกวนแปลกๆในยามวิกาลมั๊ย?
คุณเคยมีความรู้สึกขนลุก หรือเสียวสันหลังตอนอยู่บนห้องใต้หลังคาหรือเปล่า?
คุณหรือคนในครอบครัวเคยพบเห็นสิ่งน่ากลัว อสูรกาย หรือผีมั๊ย?
ถ้าใช่ อย่าได้รอแม้แต่นาทีเดียว ยกหูโทรศัพท์ของคุณขึ้นมา และเรียกใช้งานมืออาชีพ
พวกเรา "บริษัทกำจัดผี" ...เราพร้อมที่จะเชื่อคุณ!!"
ประโยคคลาสสิคจากโฆษณาโปรโมทบริษัทของเหล่า Ghostbusters ที่ยังคงบันเทิง.. เช่นเดียวกับหนังภาคแรก ที่เป็นหนึ่งในหนัง แอ็คชัน-ไซไฟ-คอเมดี้ สุดคลาสสิคตลอดกาล ที่เวลาผ่านไป คุณค่าของหนังก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
Ghostbusters เริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย จากกลุ่มของ 3 เพื่อนซี้นักปรจิตวิทยา (Parapsychology) ที่ศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทางจิต ที่ต้องการจะพิสูจน์ว่า มีพลังงานลึกลับที่ยังหาบทสรุปทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือที่เรียกว่า
"ผี" นั้น มีอยู่จริง จนเมื่อพวกเขาได้พบกับวิญญาณตัวเป็นๆขึ้นมาจริงๆ ...เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างธุรกิจใหม่ที่ไม่มีใครคิดทำ นั่นคือธุรกิจ
"ปราบผีทั่วราชอาณาจักร""จะเรียกว่า พรหมลิขิต หรือ โชค หรือ กรรม อะไรก็ตาม..
แต่เชื่อฉันสิ ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผล
เชื่อได้เลยว่า โชคชะตาพาเราให้มาเจอกับเรื่องบ้านี่"
สมาชิกหลักของแก๊งค์ปราบผี มีทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย...
ดร.ปีเตอร์ เวงค์แมน (Dr.Peter Venkman) รับบทโดย บิล เมอเรย์ (Bill Murray) - ปีเตอร์เป็นเหมือนหัวหน้าของ Ghostbusters ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความเป็นผู้นำผู้กล้าหาญ ตรงกันข้ามปีเตอร์เป็นคนที่มีความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ช่างเจรจา มีวาทะศิลป์ เชี่ยวชาญการเต๊าะหญิง ซึ่งสเน่ห์ความเจ้าคารมของปีเตอร์นี่แหละ ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเขาผ่านพ้นวิกฤตมาได้นักต่อนัก
ดร. เรย์ สแตนท์ส (Dr.Ray Stantz) รับบทโดย แดน แอครอยด์ - ผู้เปรียบเป็น
"หัวใจ" ของ Ghostbusters เป็นผู้ที่ประดิษฐ์อุปกรณ์ทุกอย่างที่ใช้ในการปราบผี มีนิสัยร่าเริง จะตื่นเต้นเป็นเด็กๆทุกครั้งเมื่อเห็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับผี ด้วยนิสัยที่ต่างจากปีเตอร์มาก ทำให้เรย์มักจะตามความเจ้าเล่ห์ของปีเตอร์ไม่ค่อยทัน กลายเป็นความสัมพันธ์แบบน่ารักๆ ที่เรย์มักจะเป็นตัวโดนประจำทีมเสมอ
ดร. อีกอน สเปงเลอร์ (Dr.Egon Spengler) รับบทโดย แฮโรลด์ เรมิส - ผู้เป็นดั่ง
"มันสมอง" ของ Ghostbusters หนุ่มเนิร์ดที่สนใจแต่เฉพาะเรื่องวิทยาศาสตร์เท่านั้น ทำให้อีกอนมีบุคลิกแบนๆ เหมือนหุ่นยนต์ สื่อสารกับผู้คนด้วยคำพูดวิชาการดูไร้อารมณ์ แต่ความจริงแล้วอีกอนไม่ได้ตายด้านขนาดนั้น เขาแค่จะแสดงด้านตลกของเขาออกมา เฉพาะตอนอยู่กับเพื่อนสนิท ทำให้อีกอนกลายเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมกับเรย์ ผู้ที่สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ที่รองรับกับทฤษฎีของเขาได้
วินสตัน เซดเดมอร์ (Winston Zeddemore) รับบทโดย เออร์นี ฮัดสัน (Ernie Hudson) - สมาชิกใหม่ของ Ghostbusters ที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เป็นแค่คนที่มาหางานทำเท่านั้น ก่อนที่สุดท้าย เขาจะกลายเป็นสมาชิกถาวรคนสำคัญอีกคนของทีม ด้วยความที่เป็นคนธรรมดาที่มีนิสัยเรียบง่าย และเข้ากับคนได้ดี วินสตันเลยมักจะเป็นคนที่คอยแปลภาษาวิชาการของเรย์กับอีกอน ออกมาเป็นภาษาคนปกติ เพื่อให้คนอื่นๆเข้าใจ
เมื่อทุกอย่างพร้อม ในที่สุด Ghostbusters ก็เกิดขึ้น พร้อมรับใช้ผู้ประสบปัญหาจากการถูกผีคุกคามทั่วนิวยอร์คตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเลขาคนสวยแต่ปากจัดอย่าง
เจนนีน เมลวิทส์ (Janine Melvitz) รับบทโดย แอนนี่ พ็อตส์ (Annie Potts) คอยรับสายอยู่ข้างหน้าออฟฟิศ เมื่อลูกค้าโทรเข้ามา เหล่า Ghostbusters ก็จะขับ
Ecto-1 ออกไปลุยทันที
สิ่งที่โดดเด่นของ Ghostbusters ก็คือ
"การพยายามมองเรื่องผี ให้เป็นวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง" นี่แหละครับ ...Ghostbusters มี
"กฏของผี" ในแบบของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งได้ข้อสรุปหลักๆคือ
"ผีคือพลังงานที่เปลี่ยนสถานะได้" จากเริ่มแรก ผีจะเป็นพลังงานที่ไม่สามารถจับต้องได้ (เป็นเหตุผลว่า ทำไมผีถึงทะลุผ่านทุกอย่าง) แต่หากได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างที่มากพอ ผีจะเริ่มเปลี่ยนสถานะตัวเองจากพลังงาน ไปสู่ของเหลว เรียกว่า
Ectoplasm (เอคโตพลาสซึม) ที่ผีจะทิ้งเอาไว้เป็นเมือกเยิ้มๆ ติดตามวัตถุต่างๆ ที่มันผ่านไป หลังจากพยายามสัมผัสกับวัตถุ หรือที่เรียกว่า
ปรากฏการณ์โพลเตอไกส์ (Poltergeist)
แรงกระตุ้นนี้มีได้หลายวิธี เช่น เกิดจากแรงอาฆาตหรือความคลั่งแค้นที่สะสม หรือจากแรงปราถนาอะไรบางอย่างสมัยยังมีชีวิต หรือเกิดจากอำนาจของผีอีกตัวที่มีพลังมากกว่า ..จุดนี้ เรย์กับอีกอนยังหาข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ยกให้มันเป็นเรื่องเหนือขอบเขตของทฤษฎีไปก่อน (นี่คือการแบ่งเส้นเขตที่ชัดเจนของทฤษฎีผีใน Ghostbusters ที่ผีมีตัวตนในทางวิทยาศาสตร์ แต่โลกหลังความตาย ก็ยังมีหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง)
เมื่อเหล่า Ghostbusters ค้นพบกลไกการปรากฏตัวของผีแล้ว พวกเขาจึงสร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า โปรตอนแพค (Proton Pack) เครื่องยิงพลังงานโปรตอนเข้มข้นสูง เพื่อใช้จับผี พลังงานโปรตอนจะทำให้ผีกลับไปอยู่สถานะพลังงานตั้งต้น จากนั้นก็ยัดมันไว้ในกล่องเก็บพลังงาน หรือ กับดักผี (Ghost Trap) ..เมื่อจับมันมาได้ เหล่าผีก็จะถูกขังเอาไปไว้ในที่เดียวกันนั่นคือ ถังเก็บพลังงานเอคโต (Ecto-Containment Unit)
สถานะของผี คือสิ่งที่ใช้บอกความแข็งแกร่งของมัน ว่ามันมีพลังแค่ไหน ..ยกตัวอย่าง ผีซึ่งเป็นมาสคอตประจำแฟรนไชส์อย่าง สไลม์เมอร์ (Slimer) ก้อนพลังงานเขียวๆ ที่เกิดมาจากนิสัยความตะกละของผู้คนที่มารวมตัวกัน จนกลายเป็นก้อนสีเขียวๆลอยไปลอยมา เที่ยวหาของกินอย่างสนุกสนาน
ส่วนผีที่แข็งแกร่งกว่านี้ขึ้นไป.. อย่างตัวร้ายหลักของหนังภาคแรกอย่าง
โกเซอร์ เดอะ โกเซอเรียน (Gozer The Gozerian) ปีศาจบรรพกาลจากต่างมิติ มีสถานะพลังเทียบเท่ากับเทพเจ้า
ตัวร้ายหลักในหนังภาค 2 วิกโก้ เดอะ คาร์พาเธียน (Viggo The Capathian) พ่อมดผู้โหดเหี้ยมแห่งคาร์พาเธีย ที่สถิตย์อยู่ในรูปภาพโบราณ
และผีที่สร้างภาพจำให้กับหนังมากที่สุด คือ สเตย์พัฟฟ์ มนุษย์มาชเมลโล (Stay Puff Marshmallow Man) สุดยอดพลังทำลายล้างที่โกเซอร์สร้างขึ้นมาจากความกลัวในจิตใจมนุษย์ มีรูปร่างเป็นมาสคอตขนมมาชเมลโลนุ่มนิ่มน่ากอด กำเนิดขึ้นจากความคิดที่ "แว้บเข้ามาในหัว" ของเรย์
นี่คือส่วนหนึ่งในงานของเหล่าบริษัทกำจัดผี เป็น routine ประจำวัน (รับงาน > ออกไปจับผี > กลับออฟฟิศ) ที่มีคนหลงใหลมาตั้งแต่ปี 1984 แบบที่ถ้าถามเด็กอเมริกันยุค 80s ว่า อาชีพที่อยากทำตอนโตคืออะไร ต้องมีไม่น้อยที่จะตอบว่า
"ผมอยากเป็น Ghostbusters!!"
(ถ้าใครเคยดูซีรีส์ Stranger Things ใน Netflix คงจะพอเห็นความคลั่งไคล้ของเหล่าเด็กกีคที่มีต่อ Ghostbusters กันไปไม่น้อยแล้ว)
พอมองดูสิ่งที่หนังทั้ง 2 ภาคแรกสร้างไว้ ก็เห็นได้ชัดว่า หนังมันมีความ "เนิร์ด" มากๆ เป็นต้นแบบของหนังแนว "แอ็คชันผจญภัยของเหล่าคนทำงาน" ที่ทำให้เราสนุกไปกับ ความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนที่กำลังริเริ่มทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หากตัดเรื่องงานปราบผีออกไป Ghostbusters ก็คือหนังดราม่าคอเมดี้ของเหล่านักธุรกิจขนาดย่อม ทำในสิ่งที่คนอื่นๆ มองว่าไร้สาระ จนสุดท้ายมันกลายเป็นสิ่งที่พลิกประวัติศาสตร์ ..สเน่ห์ของ Ghostbusters คือจุดนี้ (ถ้าเป็นในยุค 90 ก็คงเป็น Men In Black ที่เป็นตัวแทนของ "หนังในสไตล์แบบ Ghostbusters")
ผมเลยอยากพูดถึงหนัง 2 ภาคแรกแบบรวบไปเลย เพราะจริงๆหนังทั้ง 2 ภาค มันไม่ค่อยต่างกันมาก พล็อตมันเหมือนกัน ลีลาการเล่าเรื่องแบบเดียวกัน ความสนุกที่ได้ก็พอๆกัน
น่าเสียดายที่ในช่วงยุค 90 จนถึง 2000 ไม่มีการสร้างหนังภาคที่ 3 ออกมาเลย ทั้งที่จริง แอครอยด์และ เรมิส พัฒนาบทของหนังภาค 3 กันอยู่ตลอด ในชื่อว่า Ghostbusters III: Hellbent ..เกี่ยวกับ เหล่า Ghostbusters ที่ต้องเข้าไปในโลกต่างมิติ เรียกว่า Manhelton ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของ Manhattan และต้องสู้กับตัวเองในเวอร์ชันชั่วร้าย เป็นไอเดียที่ฟังดูน่าสนุกไม่น้อย น่าเสียดายที่ด้วยปัญหาขลุกขลักหลายอย่าง ทำให้หนังไม่ออกมาเป็นรูปเป็นร่างจริงๆซะที
(ภายหลัง พล็อตของ Hellbent ถูกเอาไปใช้ในอนิเมชัน The Real Ghostbusters ตอนที่ชื่อว่า "Flip-Side")
จนเกิดเรื่องเศร้าขึ้นในปี 2014 เมื่อ แฮโรลด์ เรมิส ได้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดอักเสบจากภูมิต้านทานผิดปกติ.. โอกาสที่แฟนๆจะได้เห็น Original Ghostbusters กลับมารวมตัวกันครบทีมในหนังอีกครั้ง ก็ไม่มีอีกแล้ว...
และด้วยเหตุนี้เอง ในปี 2016
Sony Pictures เจ้าของสิทธิ์ของหนัง ต้องการที่จะคืนชีพ Ghostbusters อีกครั้ง จนกลายเป็นการมาถึงของหนังฉบับรีบู้ท ยกเครื่องใหม่ตั้งแต่ต้น โดยฝีมือของผู้กำกับคอเมดี้แห่งยุคอย่าง
พอล ฟีก ที่โด่งดังจากหนังสายฮาทั้ง
Bridesmaids,
The Heat และ
Spy ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เพอเฟ็คสำหรับ Ghostbusters เพียงแต่ว่า การรีบู้ทครั้งนี้ ไม่ได้ออกมาถูกใจแฟนๆทุกคนเท่าไหร่นัก...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"โอเค! ไม่รู้หรอกนะว่า นี่มันเกี่ยวกับชาติพันธ์หรือเพศมั๊ย
แต่ตอนนี้ฉันโคตรจะเดือดสุดๆเลยโว้ย!!"
Ghostbusters (2016) ที่ภายหลังได้ชื่อว่า
Ghostbusters: Answer The Call เป็นหนังรีบู้ทของ Ghostbusters ที่มาพร้อมไอเดียที่ทำให้เหล่าแฟนๆ คิ้วขมวดตั้งแต่ตอนที่ได้ยินครั้งแรก นั่นคือการให้สมาชิกแก๊งค์ปราบผี เป็นทีมหญิงล้วน ตรงกันข้ามกับต้นฉบับที่เป็นชายล้วน..
เรื่องราวก็จะคล้ายกับในหนังต้นฉบับ เกี่ยวกับ 2 นักฟิสิกส์เพื่อนซี้ ร่วมกับวิศกรสาวสติเฟื่องอีก 1 ที่ต้องการจะพิสูจน์ว่า "ผี" มีตัวตนอยู่จริง จนเมื่อพวกเธอได้บันทึกการมีอยู่ของผีได้ และกลายเป็นไวรัลที่โด่งดังอย่างรวดเร็วแพร่ไปในอินเตอร์เน็ต จุดเริ่มต้นการต่อตั้งบริษัทนักปราบผีจึงเริ่มขึ้น
สมาชิกทั้ง 4 คนของ Ghostbusters: Answer The Call ประกอบด้วย 4 สาว ได้แก่...
ดร. อิริน กิลเบิร์ต (Dr.Erin Gilbert) รับบทโดย คริสเตน วิก (Kristen Wiig) - ผู้ช่วยอาจารย์สอนฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้ที่เชื่อเรื่องผีอย่างมาก จากการที่เธอเคยเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีใครเชื่อเธอเลยนอกจาก แอ๊บบี้ เพื่อนซี้ของเธอ ทำให้ทั้งคู่มีความฝันร่วมกันมาอย่างยาวนาน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจิตใจดีและหัวอ่อน
ดร.แอ๊บบี้ เยตส์ (Dr.Abby Yates) รับบทโดย เมลิสซา แมคคาร์ธี (Melissa McCarthy) - เพื่อนซี้ของอิริน มีเป้าหมายร่วมกันที่จะพิสูจน์การมีอยู่ของผี แอ๊บบี้เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของ Ghostbusters ผู้ริเริ่มที่จะทำธุรกิจปราบผี เป็นคนร่าเริงและมีความเป็นผู้นำสูง
ดร. จิลเลียน โฮลท์สแมนน์ (Dr.Jillian Holtzmann) รับบทโดย เคต แมคคินนอน (Kate McCinnon) - นักวิศวกรรมนิวเคลียร์ และเป็นเพื่อนร่วมงานวิจัยเรื่องผีของแอ็บบี้ เธอใช้ความรู้ทางวิศวกรรมนิวเคลียร์ของเธอในการสร้างอุปกรณ์จับผี ทั้งโปรตอนแพคและกับดักผี มีนิสัยเพี้ยนๆ และมักจะทำพฤติกรรมแปลกๆ ออกมาสร้างสีสันให้กับเรื่องตลอด
แพตตี้ โทแลน (Patty Tolan) รับบทโดย เลสลี่ โจนส์ (Leslie Jones) - สาวจอมโวยวายบุคลิกโผงผาง ทำงานอยู่ในสถานีขนส่งแมนฮัตตัน (MTA) เป็นคนที่คลั่งไคล้เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติอย่างมาก และหลังจากได้เจอผีตัวเป็นๆ อยู่ในสถานีรถไฟ เธอจึงเข้ามาร่วมทีม Ghostbusters พร้อมกับรถ Ecto-1 ที่เป็นของขวัญจากลุงของเธอ
ร่วมด้วยเลขาหนุ่มเนิร์ด
เควิน เบคแมน (Kevin Beckman) รับบทโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) ที่มาเป็นคนยกหูโทรศัพท์หน้าออฟฟิศให้กับสาวๆ ในเวอร์ชันนี้
ผลตอบรับของหนังภาคนี้ ตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างแรก ก็โดนถล่มดิสไลค์แบบเละเทะเลย ซึ่งอันนี้เข้าใจได้ครับ เพราะ Ghostbusters ไม่ใช่หนังที่ใครจะมาทำอะไรกับมันก็ได้ มันเป็นหนังที่มีแฟนเดนตายจำนวนมาก บางคนแทบจะถวายชีวิตให้หนัง ฉะนั้นการที่หนังจะรีบู้ทด้วยไอเดียแบบพลิกกระดานอย่าง ให้ตัวละครหลักๆ เป็นผู้หญิงล้วน มันเลยรู้สึกเหมือนว่า แฟนๆกำลังถูกผู้สร้างดูถูกความศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อหนังต้นฉบับ
แต่สำหรับผม ผมคิดว่า
"Ghostbusters รีบู้ท ไม่ใช่หนังแย่ครับ" ...ตรงกันข้าม มันเป็นหนังที่สนุกมากด้วยซ้ำ ผมชอบหนังของ พอล ฟีก ทุกเรื่อง ฉะนั้นผมเอนจอยกับหนังในสไตล์ พอล ฟีก อยู่แล้ว อีกอย่างคือหนังไม่ได้ทำออกมาแบบขอไปที หนังใส่ใจและเคารพในหัวใจของหนังต้นฉบับไม่ใช่น้อย ที่สำคัญคือหนังมี
"หัวใจ" หนังใส่ใจในตัวละคร พัฒนาการของตัวละครที่มีมิติ ทำให้คนดูอินด้วยได้ไม่ยากเลย
แต่... เพราะมันไม่ใช่ Ghostbusters ในแบบที่แฟนเดนตายต้องการนี่แหละครับ และหนังเองก็ไม่ได้น่าสนใจมากพอที่จะดึงดูดคนดูกลุ่มใหม่ในระยะยาวขนาดนั้น ..ฉะนั้น คนไม่ใช่ ต่อให้จะดีขนาดไหน เขาก็มองว่าไม่ใช่อยู่ดี (ฮาา) หนังเองก็ตั้งใจจะเป็นหนังรีบู้ท แต่หนังก็เดินตามรอยหนังต้นฉบับแบบเป๊ะๆ จนหลายคนรู้สึกว่า มันกำลังเล่าเรื่องเดิมซ้ำอยู่ ตัวละครทุกตัวก็ดูเหมือนตั้งใจถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่ตัวละครต้นฉบับ (ส่วนนักแสดงต้นฉบับก็โผล่มารับเชิญกันในบทสมทบ ไม่ใช่ตัวละครเดิมของพวกเขา ...ยิ่งเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า หนังต้นฉบับกำลังจะโดนแทนที่)
และการที่หนังมีตัวเอกเป็นหญิงล้วน ที่จริงๆมันไม่ควรจะเป็นประเด็นสำคัญ แต่สำหรับบางคน มันกลายเป็นสิ่งที่ใช้แยกระหว่างหนังต้นฉบับกับรีบู้ท หนังก็ดันใช้ชื่อเหมือนกัน คนเลยเลือกจะเรียกหนังต้นฉบับว่า
"Ghostbusters เวอร์ชันผู้ชาย" แล้วเรียกหนังรีบู้ทว่า
"Ghostbusters เวอร์ชันผู้หญิง" ..กลายเป็นหนังถูกใช้แสดงความต่างทางอัตลักษณ์ระหว่างชายกับหญิงไปอีก ทั้งที่จริงหนังไม่ได้ตั้งใจจะเน้นไปในบริบทนั้นเลย
ซึ่งผลตอบรับด้านรายได้ก็ค่อนข้างตอบชัดเจนว่า แฟนๆและคนดูทั่วๆไป เขาคิดยังไงกับหนังภาคนี้... รายได้ 229 ล้าน จากทุนสร้าง 144 ล้าน Sony เองก็คงต้องคิดหนักพอสมควรว่าจะเอายังไงต่อดีกับหนัง Ghostbusters ฉบับนี้... จนกระทั่งปี 2019 Sony ก็ได้ประกาศคอนเฟิร์มหนัง Ghostbusters ภาคใหม่ ที่จะเป็น
"ภาคต่อโดยตรงของหนัง 2 ภาคต้นฉบับ" และจะกำกับโดย
เจสัน ไรท์แมน ลูกชายแท้ๆของ ไอแวน ไรท์แมน ในชื่อ "Ghostbusters: Afterlife"
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"ไม่มีผีปรากฏตัวออกมาเลยนับตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน..."
Ghostbusters: Afterlife เปรียบเป็นหนังที่ตั้งใจสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นของขวัญให้แก่แฟนๆของหนังชุดนี้ และเป็นดั่ง "มรดกของครอบครัว" จากพ่อสู่ลูกโดยตรง ระหว่าง ไอแวน ไรท์แมน ผู้เป็นพ่อ ถึง เจสัน ไรท์แมน ผู้เป็นลูก... เพื่อให้แฟนๆแน่ใจว่า นี่จะไม่ใช่แค่หนังภาคต่อทำหวังตังค์จากสตูดิโอ แต่จะเป็นอะไรที่พิเศษที่สร้างขึ้นมาเพื่อพวกเราทุกคน
หนังจะสานต่อเรื่องราวโดย
คาลลี่ สเปงเลอร์ (Callie Spengler) รับบทโดย แคร์รี่ คูน (Carrie Coon) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูกสาวแท้ๆของ อีกอน สเปงเลอร์ ที่ประสบปัญหาด้านการเงิน จนถูกยึดบ้าน ทำให้เธอต้องพาตัวเองและลูกสองคน
เทรเวอร์ (Trevor Spengler) รับบทโดย ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด (Finn Wolfhard) ลูกชายคนโต และ
ฟีบี (Phoebe Spengler) รับบทโดย แมคเคนน่า เกรซ (McCenna Grace) ลูกสาวคนเล็ก ย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าห่างไกลความเจริญ ในเมือง ซัมเมอร์วิลล์ เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในโอกลาโฮม่า
นอกจากเด็กทั้งสองคนต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ต่างจากเมืองใหญ่มาก พวกเขาก็เริ่มพบว่า มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในเมืองนี้
คุณครูกรูเบอร์สัน (Mr.Gruberson) รับบทโดย พอล รัดด์ (Paul Rudd) ครูประจำชั้นของฟีบี เป็นหนึ่งในผู้ใหญ่เพียงไม่กี่คนที่เริ่มจะสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ และเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์หายนะเหนือธรรมชาติ ที่เคยเกิดขึ้นที่แมนฮัตตันเมื่อปี 1984 ว่ามันอาจมีความเกี่ยวข้องกัน
และในขณะเดียวกัน เทรเวอร์และฟีบีก็ได้ค้บพบ
"มรดก" ที่คุณตาของพวกเขาทิ้งไว้ให้ สิ่งที่อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเขาจึงต้องมาอยู่ที่ซัมเมอร์วิลล์ ...เพราะหายนะในอดีตกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
ตัวอย่างหนังออกมา 2 ตัว ซึ่งหนังก็ค่อนข้างชัดเจนมากครับว่า มันจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร ไม่น่ามีอะไรเดายาก ที่แน่นอนคือ มันเป็นภาคต่อโดยตรงกับหนังภาคแรก หลายอย่างที่เห็นในตัวอย่าง ล้วนมาจากภาคแรกทั้งสิ้น ทั้งผีตัวสีฟ้าชื่อ
มุนเชอร์ (Muncher) ที่เป็นผี type เดียวกับสไลม์เมอร์ในหนังภาคแรก,
มินิ-พัฟฟ์ (Mini-Puff) หรือ สเตย์พัฟฟ์ ในเวอร์ชันตัวจิ๋ว สุดน่ารักและมากันเป็นฝูง และเหล่าหมานรกหรือ
Terror Dogs ที่คราวนี้น่าจะร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับ Terror Dog ตัวใหม่ที่ยังไม่ทราบชื่อ
องค์ประกอบเหล่านี้มันชัดเจนเลยว่า เราจะได้เห็นการกลับมาของ โกเซอร์ เดอะ โกเซอร์เรียน อีกครั้งอย่างแน่นอน (ในตัวอย่างที่ 2 เราจะได้เห็นแว้บๆว่า มีสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น
วิหารบูชาโกเซอร์ อยู่)
ส่วนโทนของหนังนั้น เท่าที่ดูหนังมาในโทนที่ต่างจากภาค 1-2 อย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นแนวทางใหม่เลย ด้วยโทนที่ดูจริงจังกว่าเดิม, มีฉากหลังเป็นเมืองเล็กๆในแถบชนบท จากที่ตลอดมา Ghostbusters จะมีฉากหลังเป็นใจกลางเมืองใหญ่มาตลอด และมีการใช้ตัวละครหลักเป็นเหล่าเด็กๆ ผู้ซึ่งจะกลายเป็น
New Generation Ghostbusters ซึ่งในตัวอย่าง เราจะเห็นว่าพวกเขาสามารถเอาอุปกรณ์จับผีของเก่า มาดัดแปลงใช้ต่อได้อย่างสร้างสรรค์ (เช่น
Gun-Seat ที่นั่งในเบาะหลัง Ecto-1 ที่เด้งออกมาจากตัวรถได้ และกับดักผีแบบติดล้อ ที่ใช้ไล่ตามผีไปพร้อมๆกับ Ecto-1 แบบไม่ต้องเสียเวลาหาที่วางแล้ว)
ที่สำคัญคือ นี่ถือเป็น
"หนังภาคที่ 3 อย่างเป็นทางการ" ของหนังชุด Ghostbusters ที่เราจะได้เห็นนักแสดงหลักๆ ของหนังต้นฉบับทุกคน มามีบทบาทในหนังภาคนี้ ในบทเดิมของตัวเองกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแน่นอน ที่เราเห็นในตัวอย่างไปแล้วก็มี แอนนี่ พ็อตส์ ในบท เจนนีน เมลวิทส์ ...และตัวละครที่รับสายโทรศัพท์ในท้ายตัวอย่าง ที่ไม่ต้องบอก ทุกคนก็คงรู้ว่า เขาคือ เรย์ สแตนท์ส ตัวละครของ แดน แอครอยด์ นั่นเอง
ในฐานะแฟน ผมตื่นเต้นมากครับ... แม้จะพยายามบอกตัวเองว่า อย่าไปคาดหวังมาก แต่เห็นตัวอย่างทำออกมาดีขนาดนี้ ยังไงก็ขอให้ผมได้หวังบ้างเถอะ 555+ เพราะถ้า เจสัน ไรท์แมน ทำหนังภาคนี้ออกมาดี มันจะเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในรอบหลายสิบปีของแฟนๆ Ghostbusters อย่างแท้จริง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in