เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ส่องไพร่iwannabacktobed
วันที่สอง สาม "ลิฟต์ชั้น15" กับ "พี่เขาดูเราออก"
  • เช้าที่19 เดือนพฤษภาคม 2560 สะดุ้งตื่น กระแทกนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาปลุกให้หยุดร้อง มันเงียบแล้วเลื่องแสงโชว์เวลา ตี2 5นาที เดินตาปิดครึ่งแล้วเสียบที่ชาร์จแบตโทรศัพท์ กลับมานอนอีกสองสามตื่น

    "ตื่นได้แล้ว"

    แม่เข้ามาเขย่าให้ร่างสั่นนิดๆ เราลืมตาโพลง! เพราะแม่ปลุกด้วยสภาพผมเปียกยาวปรกหน้า งัวเงียไปอาบน้ำ และยัดตัวเองลงยีนส์เน่าๆเดินครึ่งหลับครึ่งตื่นครึ่งผี ครึ่งคนไปเปิดประตูรถ ทิ้งตัวลงและเข้าเฝ้าญาติที่ล่วงลับ ตื่นอีกครั้งที่ห้องทำงานของแม่ นั่งมองกล่องนมจืดวัวแดงที่แม่ซื้อให้ดื่มทุกเช้าอย่างสงสัย

    "เฮ้ย!!! หมดอายุแล้ว!! เรื่องนี้ต้องถึงหม่อมแม่!!"

    หยิบโทรศัพท์กดโทรหาแม่ 

    "กริ๊ก! ฮัลโลมีอะไร"

    "แม่นมมันหมดอายุแล้วเนี่ย วันนี้19แล้ว มันหมดไปเมื่อวาน วันที่18 เดือน....



    ...แค่นี้นะแม่"

    วางโทรศัพท์ลงอย่างเขินๆ โซ้ยข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วพาตัวออกจากห้องทำงานแม่ ก่อนที่อากาศจะหัวเราะเรา และโต๊ะเครื่องเขียนจะแอบขำนิดๆ


    เรียนไปอย่างเรื่อยเปื่อย จนผ่านหนึ่งวันไป เตรียมออกเดินทางกลับบ้าน เดินลงบันได นึกขึ้นได้ว่าแม่บอกให้ไปขอเอกสาร ความกลัวเหงาจึงพาเพื่อนอีกสองคนไปด้วย พอถึงที่หมาย กดลิฟต์

    "ตึ่ง ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    ประตูลิฟต์เปิดอ้าออก ทั้งสามแทรกเข้าไป กดชั้น3ประตูกำลังจะปิด จู่ๆก็มีคู่รักคู่หนึ่งกดให้ประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง ทั้งสองเข้ามากดชั้น5 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของตึก ประตูลิฟต์ปิด อากาศน้อยลงในทันที อากาศร้อนตีปะทะหน้าเล็กน้อย

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"

    "ชั้น1ถึงแล้วค่ะ"


    "เออ รู้แล้วโว้ย!!!" ลิฟต์ไม่ทำงาน มีเพียงเสียงประกาศเพื่อผู้พิการทางสายตาเท่านั้นที่ทำงานได้ดีเยี่ยมจนน่าหงุดหงิด จึงตัดสินใจที่จะเดินออกจากลิฟต์ ดีกว่าการติดในนั้นตลอดกาล เราทั้ง "สาม" ออกจากตัวลิฟต์ มีเพียงคู่รักคู่นั้นที่ไม่ยอมออก และเดินขึ้นบันไดบริหารกล้ามเนื้อน่องแทน


    เมื่อทำธุระเสร็จ ถึงจะไม่นานนัก แต่ลิฟต์ก็ไปถึงชั้น 15 แล้วเรียบร้อย


  • เช้าที่20 เดือนพฤษภาคม 2560 *หาวววว* มีความง่วงที่เต็มเปี่ยม ความเหนื่อยสะสม และไข้ที่ขึ้นๆลงๆ ทำให้การตื่นไปทำกิจในวันนี้ เชื่องช้าไปเสียหมด ค่อยๆแปรงฟัน ค่อยๆหยิบนู่นนี้มาใช้อย่างเรื่อยเปื่อย เมื่อเสร็จก็ยังเร็วที่จะออกจากบ้าน เลยนอนดูดิสนีย์คลับสักพัก
    "ครืน ครืน"
    เฮ้อ ช่วงเวลาวัยเด็กช่างแสนสั้น เลื่อนตุ่มสีเขียวเพื่อให้อีกเสียงเอ่ยทักทาย
    "ฮัลโล อยู่ไหนวะ"
    "อืม...กำลังออก แค่นี้นะ"
    นั่งดูดิสนีย์คลับต่ออีกนิดหน่อย แล้วเสยก้นขึ้นออกจากบ้าน
    .
    .
    .
    .
    .
    ยกถาดที่วางแฮมเบอร์เกอร์ และน้ำ ผ่านแมลงสาบที่กำลังออกกำลังกายด้วยท่าปั่นจักรยานอากาศอย่างขะมักเขม้นแล้ว หยุด! มันพักหายใจเวลาคนเดินผ่าน แต่ความสนใจก็เบี่ยงไปหาเพื่อนที่พยายามเข้าถึงwifiโดยการขโมยจากใบเสร็จเราไป แต่สุดท้ายเพื่อนก็หมดความพยายาม และเราก็เลิกสนใจทั้งท่าออกกำลังกายยามเช้าของแมลงสาบ ทั้งความมุมานะในการใส่รหัสwifiของเพื่อนไปในที่สุด พอทานเสร็จก็ออกไปโบกรถเมล์ 

    ถึงจุดหมาย

    นั่งรอพี่ที่นัดไว้สักพักนึง เมื่อถึงเวลาก็เริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง จนพักเที่ยง ก็ได้เงินช่วยงานเป็นค่าอาหารกลางวัน (ขอบคุณมากๆค่ะ) เรากับเพื่อนจึงตกลงปลงใจว่า จะอุดหนุนร้านของที่นี่ ซึ่งเป็นร้านเปิดโอกาสให้แก่ผู้พิการทางการได้ยิน พี่ๆในร้านน่ารักมาก
    (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ร้านอยู่ที่ซ.อรุณอัมรินทร์ 39 เราบอกทางได้ห่วยมาก จึงอธิบายได้เท่านี้ ขออภัยด้วย)
    การสั่งอาหารใช้การกดจอ (ครั้งหน้าจะลองเครื่องดื่มให้ได้) เมื่อทานเสร็จก็ขึ้นไปทำงานต่อ พี่ที่ทำงานด้วยบอกว่า
    "จริงๆแล้ว เป็นคนง้องแง้งใช่ไหม ถึงจะแต่งตัวให้ดูเป็นนิสัยอื่น ปิดบัง แต่ข้างในตัวจริงๆก็เป็นอีกคนสินะ"

    รู้ได้อย่างไงกันนะ หรือจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ดูยากอะไรเลย เพราะเป็นคนไม่มีอะไร
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in