เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง)Dareka Ayumi
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง) 7
  • ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากได้ตัวคนร้ายที่ขโมยแล็ปท็อปไป 
    พร้อมกับได้เห็น ธาตุแท้ ของคนร้ายเรียบร้อย 
    เราจึงเข้าไปคุย ทำความเข้าใจกับคนร้ายอีกรอบ เพื่อไม่ใช้เกิดความเกลียดชังต่อกัน
    เพราะ ผู้เสียหายตัดสินใจให้อภัยไม่ไปแจ้งความ
    (แต่ถึงแจ้งความ ก็โดนกฏหมู่ตามมาอะ ช่วยไม่ได้) 

    (เราจะขอเรียกเด็กตัวอ้วนในห้องซึ่งเป็นผู้เสียหายว่า อลิซาเบธ 
    เพราะดูเหมือนว่าคนอ่านอาจจะสับสน เธอมีบทในชีิวิตเราเยอะมาก)

    แต่เราสงสารแม่บ้านมาก 
    แม่บ้านทุกคนที่รู้ว่าเราเป็นนักสืบของมหาลัย (พูดเอง เออเอง อร้ายเขิน)
    ต่างก็คอยมาบอกว่า "แม่บ้านไม่ได้เป็นคนขโมยหรอกลูก"

    แน่นอนพวกเด็กๆต่างก็สงสัยแม่บ้านกันใหญ่ 

    เฮ้อ จะว่าไป จริงๆแล้วเด็กคณะศิลปะ 
    ฐานะไม่ใช่ปานกลางนะ รวยๆมีเงินทั้งนั้นแหละ
    ยกเว้นเรา ฐานะปานกลาง ได้เรียนฟรี เบิกได้  
    (ภาษีจากผู้อ่านนั้นแหละ)

    เพื่อทำลายความวิตกกังวลเราเลยอธิบายให้เหล่าแม่บ้านฟัง 
    "แม่บ้านที่รับผิดชอบตึกใหม่อยู่ ก็คงไม่รู้ว่าคณะศิลปะเพิ่งย้ายเข้ามา 
    จึงไม่แปลกหรอก ที่เธอจะเข้ามาทำความสะอาดโดยไม่รู้
     วางใจได้เลย เราได้ตัวคนร้ายตัวจริงแล้ว"

    หลังจากนั้น อลิซาเบธ ก็นำนมกล่องแพ็กใหญ่มาฝาก
    (หูย เราก็บอกไปหลายรอบแล้วว่า ทำเพื่อความสนุก 
    ที่ไม่ได้บอกคือ เอาเฉพาะเครดิต)

    แต่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน 
    ไม่เคยได้ของตอบแทนจากการทำงานที่ชอบมาก่อน
    เป็นอีกความรู้สึกใหม่ เราก็ยินดีรับไว้ ตามมารยาท

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อลิซาเบธ ก็เป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยม 
    (กลุ่มไส้เดือนอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ต้องขอขอบคุณ อลิซาเบธ นะทุกคน)

  • ในที่สุด
     เด็กๆที่ได้เรียนกับอาจารย์ที่สอนสุนทรียศาสตร์
    ก็ค่อยๆตาสว่าง 
    เมื่อขึ้นปีสอง หัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ นิ๊ค ทำการปรับเปลี่ยนระบบรับน้อง
    ให้กลายเป็นแบบสร้างสรรค์ และได้รับความเห็นชอบจากเหล่าปีสองที่เป็นปีสาม
    ซึ่งแอนนี่ รุ่นพี่ปีสองเก่า ก็ได้ให้การสนับสนุนความคิดนี้อย่างเต็มที่
    (สมกับเป็นนางฟ้าของเรา)

    ส่วนปีสามที่เป็นปีสี่ ต่างก็เห็นชอบด้วยมานานแล้ว
    เพียงแต่ถูกกดดัน จนไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
    นิ๊ค เป็นเด็กหัวดีมาก จริงๆแล้วรู้จักกับเราในฐานะคู่ปรับ
     เพราะเราพยายามพูดคุยสื่อสารกัน 
    ราวกับ เจรจาสันติภาพ สร้างความปรองดองกันบ่อยๆ 
    เราเลยชอบเด็กคนนี้เป็นพิเศษ เราจำชื่อได้


    กลุ่มไส้เดือน ทำหน้าที่ของมันจบแล้ว 
    จึงต้องสลายตัว

    ตอนนี้เด็กๆได้อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเดียว 

    แต่
    เรารู้สึกเหงาเหมือนกัน ที่ต้องกลับไปอยู่คนเดียว
    เหตุผลที่เราตั้งชื่อว่ากลุ่มไส้เดือน
    ก็เพราะว่า มีนัยยะแฝง  รู้ว่าเด็กๆมันคงไม่ชอบ 
    และเป็นการบอกกับตัวเราเองว่า
    กลุ่มเราอยู่ได้ไม่นาน และไม่ต้องการให้อยากอยู่นาน...
  • เป้าหมายของที่แท้จริงของเราคือ 
    เรียนให้จบ แล้วไปทำงานวาดเขียน

    พอระบบรับน้องแบบมาเฟีย หยุดลง
    รุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ก็ได้ไปผุดไปเกิด 

    ชีวิตเราอยู่ในจุดที่อิ่มตัวมาก
    มีสถานที่ทำงานที่พัก
    เป็นช่วงเวลาที่แบบ นี้แหละ คือความสุขของการใช้ชีวิตในมหาลัย

    เครดิตที่เราทำไว้ ทำให้เหมือนเราเป็นเจ้าของตึกไปเลย
    เข้าใช้ตอนไหนก็ได้ อาบน้ำ นอน ที่ไหนก็ได้ภายในตึกห้า

    แน่นอนว่า เรายังรับสืบคดีอยู่เรื่อยๆ ของหาย แมวหาย
    เรายังไม่เคยเจอคดีฆาตกรรม

    ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน 
    เราอยู่บ้านตลอด แต่ต้องคอยไปส่งอาหารให้กับพ่อ
    ซึ่งเป็นผู้คุมเรือนจำ

    และในตอนนั้นเกิดมีเหตุคนตายในห้องขัง ตอนหกโมงเช้า
    พร้อมกับข่าวนักโทษหลบหนี ...
  • ผู้คุมคนหนึ่ง ตะคอกอย่างมั่นใจว่า 
    นักโทษหลบหนีต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ
    นักโทษในเรือนจำเป็นแน่

    เพราะเราเข้าออกเรือนจำบ่อยๆ เป็นที่รู้จัก
    จึงได้มีโอกาสเข้าไปในที่เกิดเหตุ ขณะขนย้ายศพ
    แน่นอนว่า
    ไม่มีการเรียกตำรวจมาช่วยตรวจสอบ 
    เพราะเรือนจำทหารจะเดือดร้อน จึงต้องรีบนำศพไปโรงบาล
    เพื่อถ่ายโอนความรับผิดชอบ เช่น ตายในโรงบาล ไม่ใช่ เรือนจำ
    โดยอ้างว่า "มีแค่แพทย์เท่านั้น ที่ยืนยันการตายได้"

    เราเห็นสภาพของศพ ที่ถูกผ้าขึงกับลูกกรง
    กลิ่นของฉี่ บ่งบอกว่าผู้ตายทำให้ผ้าเปียก ก่อนจะใช้มัน
    บิดเป็นเกลียวทำเป็นเชือกเพื่อรัดคอตัวเองเข้ากับประตูลูกกรง
    แต่ ยังมีรอยบิดเบี้ยวของลูกกรง เหลือทิ้งไว้ สองจุด 
    ตรงห้องขังผู้ตาย และ ประตูทางออกสู่ลานในเรือนจำ

    ผู้ตายไม่ได้สวมเสื้อ
    หมายความว่า  ผ้าที่ใช้ คือเสื้อของผู้ตาย

    (ถึงนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราเคยเห็นศพจะๆ
    แต่ว่า 
    เราเคยอยู่ในกลุ่ม Facebook สืบสวนข่าวอุบัติเหตุมาก่อน
    เราเลยเห็นจากภาพศพ จากภาพถ่ายมาจนชินแล้ว)

    เราพยายามดูร่องรอยการต่อสู้
    ปรากฏว่าพบรอยสีแดงๆตามคอ และใบหน้า
    บ่งบอกถึงร่องรอยการขัดขืนและต่อสู้ (ตามสูตรโคนัน)

    ห้องขังเป็นห้องขังขนาดสองคนอยู่ร่วมกัน
    สังเกตจากความชื้นที่เหลืออยู่กับเสื้อ แขวนอยู่กับลูกกรง
    น่าจะเกิดเหตุมาตั้งแต่ช่วงตีสามกลางคืน


  • คนที่หลบหนีไป จะต้องเป็นคนในห้องขังนี้เป็นแน่
    แต่นั้น ไม่ได้หมายความว่า 
    ฆาตกรและนักโทษหลบหนีจะเป็นคนเดียวกัน

    จริงๆแล้ว
    เราแน่ใจความผิดปกติในทันที เกี่ยวกับผู้คุมเรือนจำ
    ที่รับผิดชอบห้องที่เกิดเหตุ

    เราจึงอยากจะสอบปากคำคนในเรือนจำ ทั้งนักโทษ และผู้คุม
    โดยการอธิบายให้พ่อของเราฟัง แต่

    "พอแค่นี้แหละ"

    พ่อของเรากล่าวขึ้น ขณะรู้ว่าเรากำลังทำอะไร
    สีหน้าของคนที่มีความเครียด
    ทำให้เราเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมาสุดขั้วหัวใจ

    คำสั้นๆที่มีความหมายบอกว่า "เรากำลังเล่นกับสิ่งที่เราไม่รู้จัก"
    หรือเพราะเราอาจจะถามคำถาม ที่ทำให้เครดิตของพ่อของเราสั่นคลอน

    คนในครอบครัวเราคิดว่าเราเป็นนักสืบจอมปลอม
    จนกระทั่งได้ฟังเรื่องราวที่เราจับคนร้ายได้ จนเริ่มจะเชื่อ
    แล้วกลัวว่า เราจะสามารถทำอะไรได้

    เรารู้ดี หลังจากหลายคดีที่ผ่านมา

    ยิ่งคดีใหญ่ขึ้น ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงขึ้น...


  • ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจ 
    เราเป็นนักสืบอิสระ ที่ทำอะไรก็ได้ แต่ 
    กฏหมาย ไม่สามารถตามมาคุ้มครองเราได้เช่นกัน

    ตราบเท่าที่เรายังมี "ผู้ปกครอง"
    (ยังหาเงินด้วยตัวเองไม่ได้ ยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้)

    เราจะให้คนอื่นมาช่วยรับผิดชอบสิ่งที่เราทำไม่ได้

    วันนั้นเราจึงรู้ว่า

    "คดีฆาตกรรม ยังเร็วเกินไปสำหรับเรา"

    คดีฆ่าคนตาย หมายถึง
    จำนวนค่าปรับของคนที่กระทำความผิด
    ที่สูงเกินกว่าจะวัดค่าได้
    และนั้น หมายถึง ความเป็นไปได้ของความเสี่ยง
    ที่ถูกขับออกมา เพื่อหนีเอาตัวรอด

    คนเหล่านี้ จะทำทุกวิถีทาง เพื่อปกปิดความจริง
    และนั้นจะทำให้เราและครอบครัวตกอยู่ในอันตราย

    ในสังคมทหาร มีกฏที่ต่างจากกฏหมายทั่วไปในสังคม
    โดยเฉพาะเรื่องสิทธิหน้าที่ จะต้องเดินตามหลังกฏหมู่อยู่เสมอ

    นั้นคือครั้งแรกที่เราได้สัมผัสความน่ากลัวของคดีฆาตกรรม
  • หลังจากนั้นสามวัน
    ก็ตามจับตัวนักโทษได้สำเร็จ (อีกทั้งเรารู้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า
    ผู้ตายกับผู้คุมคนดังกล่าว ไม่ถูกกันมาก่อน อาจจะหมายถึงแรงจูงใจได้อีกด้วย)

    เราจึงได้มีโอกาสเข้าไปซักถาม ขณะนักโทษหลบหนีถูกนำตัวเข้าสู่เรือนจำ
    "ตกลงพี่หนีไปตอนไหน"

    ชายรูปร่างผอมบาง มีรอยสักตามแขน ยิ้ม
    พร้อมตอบเราด้วยน้ำเสียงสุภาพ
    "แอบอยู่ในเรือนจำนี้แหละ จนถึงตอนเช้า แอบออกไปพร้อมรถขนผ้า"

    "แล้วเพื่อนในห้องขัง ตายก่อนหรือหลังที่พี่ออกมาจากลูกกรง"

    ชายคนนั้นนิ่ง ส่ายหัวแล้วพูดคนเดียวว่า 
    "ผมไม่ใช่คนทำ"

    เราช็อค แล้วขนลุกทันที เหมือนได้ฟังบทสรุป

     เพราะดูเหมือนชายคนนี้จะรู้ความเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ 

    "ผมพูดเรื่องนี้ไม่ได้จิงๆ" ชายคนนั้นกล่าว

    มันเป็นคำตอบที่ ชี้ตรงกับเงื่อนไขมากพอดู

    เหมือนกับ เราสงสัยว่า เพื่อนเรากับแฟนของเขา
    เคยมีอะไรกันหรือยัง
    เพื่อนเราตอบว่า "ไม่ขอตอบนะ ไม่อยากทำให้แฟนเสียหาย"
    คำตอบนั้นก็น่าจะชัดเจน 
    เช่นเดียวกันกับ
     คำตอบของชายที่เป็นนักโทษหลบหนีคนนี้


  • เราพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
     ดูเหมือนว่าทั้งการตาย
     และการหลบหนี 
    จะเป็นข้อตกลงของคนที่มี
    ความสามารถในการเปิด-ปิด ประตูห้องขัง

    และคนๆเดียวที่รับผิดชอบดูแล เวร ในคืนนั้น
     ก็คือชายผู้คุมซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัย 
    ในคดีฆาตกรรมอำพลางเพราะลูกกรงทั้งสองที่
     ซึ่งถูกบิดโดยผ้า มันเล็กเกินกว่าที่คนจะผ่านไปได้และ 
    นั้นหมายความว่า นักโทษหลบหนี
     อาศัยความช่วยเหลือจากผู้คุม
    เพื่อแลกกับข้อเสนอบางอย่าง

     นั้นอาจจะหมายถึงเพื่อที่เขาจะได้ลงมือฆาตกรรมนั้นเอง

    สองปีถัดมา พ่อของเราเล่าว่า เพื่อนร่วมงานคนดังกล่าว
     ได้ถูกจับในข้อหาพยายามฆ่า
    จากนั้นถูกจำคุกไปอีกสิบปี 

    คราวนี้ มันทำให้เราสงสัยเรื่อง ความรับผิดชอบ
    ถ้ามีคนตายเพราะชายคนนี้ขึ้นมา
    คนที่รู้ความจริงอยู่แบบเรา กลับนิ่งเฉย จะรู้สึกยังไงกันบ้าง

    ระหว่างใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน อยู่กับความกลัว
    หรือ จะใช้ชีวิตตรงหน้า อย่างเต็มที่ แบบที่ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง ?


    (เป็นอีกคำถามที่ตอนนี้ เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เพราะถ้าไม่หลบซ่อน
    เราก็คงอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อมาเล่าเรื่องพวกนี้ อิจฉาโคนันแบบเงียบๆ)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in