เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง)Dareka Ayumi
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง) 6
  • ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากทุกคนในห้องกล้องวงจรปิด 
    กำลังตื่นตระหนกกับปริศนาการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของคนร้าย จากเทปบันทึกภาพ 
    ในที่สุด ปริศนาก็ถูกคลี่คลาย ด้วยคำใบ้ของ "ที่มาที่ไป"

    "แสดงว่า คนร้ายเข้ามาขโมยของห้องนี้ด้วย"

    เราส่ายหน้าปฏิเสธเจ้าหน้าที่เชน
    "เราว่าคนร้ายคงไม่ใช้เวลาตั้งหนึ่งชั่วโมงนั่งรออยู่ในนั้นหรอกคับ"
    เรากดมือถือ เปิดตารางสอนออนไลน์ของมหาลัยให้เจ้าหน้าที่เชนดู

    "คาปเช้าของห้องดังกล่าว ของปีสอง คณะของเราเอง คนร้ายก็คือ ชายหัวฟู ที่เข้าเรียนวิชานี้"

    ในเทปดังกล่าว คนร้ายไม่ได้เข้ามาขโมยของ เพราะไม่มีรายงานของหาย

    "...พี่เติ้ล"

    เด็กสาวตัวอ้วนกล่าว ก่อนจะน้ำตาใหล ดูเหมือนเธอจะรู้ตั้งแต่แรก 
    เมื่อเห็นจากระยะไกลแล้ว
    เพราะงั้นเธอเลยไม่รู้สึกแฮปปี้ 
    เธอดูออกทันที
    ว่านั้น คือคน ที่ถูกเรียกว่า "พี่ชาย" ที่ถูกแต่งตั้งโดยกิจกรรมรับน้อง
    เป็นคนลงมือก่ออาชญากรรมต่อ "น้องสาว" ที่ถูกแต่งตั้งโดยกิจกรรมรับน้อง 
    ของตัวเอง

    "อาจจะเป็นแม่บ้านก็ได้ เราจะไปเช็คมือถือแม่บ้านกัน-"
    เราเองถึงไม่ถูกกับกลุ่มคนที่มาคว่ำบาตรเรา แต่เราก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน

  • สิ่งที่เราจะเล่าต่อจากนี้ คือความเลวร้ายของระบบสังคม 
    ความล้มเหลว ความจริงที่ยากเกินกว่าจะนำมาพูด


    เด็กสาวตัวอ้วนร้องห่มร้องไห้ 

    "งั้นเดี่ยวพี่ไปทวงคืนให้"
    เรากล่าว

    เด็กสาวตัวอ้วนพยักหน้า ก่อนจะเห็นเพื่อนที่ตามมา เข้ามาถามรายละเอียดจากเธอ
     
    "ไม่แจ้งตำรวจอีกแล้วสินะครับ เฮ้อ"
    เจ้าหน้าที่เชน แสดงท่าทีไม่พอใจ 
    ดูเหมือนว่า เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นมาบ่อยครั้ง

    "ขอบคุณมากพี่ เราจะไปบอกอาจารย์ให้"
    เรากล่าวกับเจ้าหน้าที่เชน เจ้าหน้าที่เชนพยักหน้า ยิ้มยินดีราวกับว่าตนได้รางวัล

    แน่นอนว่า การจะไปทวงคืน เราควรอาศัยอำนาจจากอาจารย์
    และคนๆเดียวที่เราเห็นว่ามีอำนาจมากพอ
    คืออาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ของ ชั้นผู้ใหญ่อีกคน (รองคณบดีนั้นเอง)

    เราคิดว่า เรามีหน้าที่แค่สืบสวนความจริง
    ขั้นตอนกระบวนการสอบสวน เราอยากยกให้คนที่มีความรับผิดชอบจัดการ
    ให้ผู้ใหญ่ ที่มากประสบการณ์กว่า เป็นคนเดินเรื่องให้ 
    ตั้งแต่วันเกิดเหตุ ตอนนี้ก็ สามวันแล้ว เราหวังว่าแล็ปท็อปคงยังไม่ถูกขาย

    แต่ว่า 
    ...

  • "ทำไมถึงมาบอกอาจารย์ล่ะ"

    รองคณบดีกล่าวผ่านโทรศัพท์ จากห้องธุรการ 
    ซึ่งคนในห้องธุรการแนะนำ และเป็นคนเสนอ ยื่นเบอร์มือถือของรองคณบดีให้กับเรา 
    อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องเรา มาให้กับเรา (เราก็เพิ่งรู้ว่าเค้าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้องเรา)
    หลังจากเราให้รายละเอียดแก่อาจารย์ครบแล้ว

    "เธอต้องเป็นคนคิดเอง ว่าจะเอาอย่างไร อาจารย์ไม่รู้ด้วย"

    แน่นอนว่า เราช็อค กับคำพูดของคนเป็นอาจารย์

    เรา ตั้งแต่เด็ก มองว่า ครู อาจารย์ คือพ่อแม่คนที่สอง
    เรา เป็นครอบครัวทหารมาก่อน จึงให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มาก
    เรา เคยคิดจะมาลักเรียนฟรีในมหาลัย 
    แต่ผู้ปกครองมองว่า เราดูถูกมหาลัย และอาจารย์
    โดยไม่เคารพกฏระเบียบ

    เราเลยต้องมาสมัครสอบ แล้วเสียเงิน เพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์

    แต่วันนี้ อาจารย์ที่เราเคารพ กลับปัดความรับผิดชอบ

    อาจารย์ที่สมควรจะเป็น "ที่ปรึกษา" สมควรที่จะเป็น "พ่อแม่คนที่สอง" 
    ปฏิเสธ ไม่ให้คำปรึกษากับเรา แถมยังกลัวกับความรับผิดชอบที่จะตามมา
    โยนให้เราอย่างไม่ลังเล

    เราช็อค เพราะความคิดของเรามัน อ่อน เหลือเกิน
    เราช็อค เพราะ เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ
    เราช็อค เพราะ ความผิดหวัง เราไม่เคยนึกมาก่อนว่าเราจะเจอกับทางตัน
    ...


  • แต่อาจารย์ท่านนี้ ไม่สนใจใยดีอะไรกับเรื่องของพวกเราเลย

    สิ่งที่เข้ามาในหัวเราตอนแรก คือความว่างเปล่า
     ไม่กี่วินาทีต่อมา คือความโศกเศร้าเสียใจ
    และวินาทีต่อมา ความโกรธ สุดท้ายความเข้าใจเข้ามาแทนที่

    เพราะเราถูกหักหลังโดยสิ่งที่เราเชื่อ โดยสิ่งที่ "เขาทำต่อๆกันมา"
    เราเลยเลือกที่จะเชื่ออย่างปักใจ เราเลยโดนหลอกอย่างจังๆ

    แล้วไงล่ะ เราโดนหักหลัง โดยความเชื่อบริสุทธิ์ของเราเอง 
    "พ่อแม่คนที่สอง ถรุ้ย" (ในใจ) อาจารย์แบบนี้
     มันจะต่างอะไรกับพ่อค้า แม่ค้า ที่ทำของขาย เพื่อหวังแต่กำไร
    เลิกเรียกตัวเองว่าสูงส่งกว่าอาชีพอื่นๆได้แล้ว

    แน่นอนว่า เราระงับความคลั่งไว้ในชั่วพริบตา

    "อ่อ โอเคอาจารย์ ขอบคุณมาก"

    แล้ววางโทรศัพท์ทันที ไม่ฟังคำแนะนำใดๆต่อ

    "One man army" ทฤษฎี การฟันฟ่าอุปสรรค์ โดยพึ่งตัวของตัวเองเพียงลำพัง
    แน่นอน ตั้งแต่ไหนแต่ไร เราไม่เคยพึ่งความช่วยเหลือจากกลุ่ม

    "ทุกคนอ่อนแอ" เพราะคิดแบบนั้น คงทำให้เราไม่มีเพื่อน
    แต่ว่า เพราะคิดแบบนั้น เพราะความโดดเดี่ยว 
    เราจึงไม่มีทางเลือกนอกจาก
    ต้องแข็งแกร่ง เมื่อแข็งแกร่ง เราจึงจะได้เลือก

    ...

  • เราจึงเดินแผนทวงแล็ปท็อป 
    ด้วยตัวคนเดียว

    คนในห้องธุรการถามด้วยความสงสัย 
    ว่าจะเอาอย่างไรต่อ
    เราได้แต่ยิ้ม ก้ม แสดงความเป็นคนดีให้เขาเห็น 
    โดยไม่พูดอะไร เพราะถ้าขืนพูด
     เราคงระบายความอัดอั้นในใจ จนเสียสมาธิ
    เรามองหาตารางสอนของคนร้าย 
    แล้วมุ่งไปหาเจ้าตัวในทันที... 

    ไม่ช้า ก่อนที่เราจะรู้ตัว เราก็หายใจถี่ ตื่นเต้น
    ไม่รู้สึกเหนื่อย แต่รู้สึกราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ
    เมื่อเห็นเป้าหมาย
    เรารู้สึกว่า เราคุมทุกอย่างได้
    อยู่ๆเราที่เข้าสังคมยาก วางตัวราวกับว่า
    เราพร้อมยิ่งกว่าพร้อม เราเดินเข้าไปหากลุ่มเป้าหมายโดยไม่ลังเล

    เราดูป้ายทะเบียนรถ ที่เป็นรถของคนร้าย
    ก่อนจะทำเป็นจดชื่อป้ายทะเบียนรถ แล้วแสดงอาการผิดหวัง
    แน่นอนว่า รุ่นพี่ทุกคนรู้จักเรา
     เพราะเราคือศัตรูที่น่ากลัวที่สุดที่พวกเค้าจะใฝ่ฝันถึง

    จากนั้นเราเดินมาหาคนร้าย "พี่เติ้ล วันจันทร์ให้ใครยืมรถป่าว"
    เราพูดแบบไม่กระอุกกระอัก 
    (ปกติเราพูดเบาไป หรือเพี้ยนไป แต่ตอนสอบสวน มีพลังตลอด)

    "วันจันทร์ ทำไมเหรอ หรือว่าเรื่องแล็ปท็อป" รุ่นพี่เติ้ลกล่าว ... 

  • เราพยักหน้า ก่อนจะเสนอว่า
    "ไปคุยกันในที่ส่วนตัวดีกว่า"

    รุ่นพี่เติ้ลตีโต๊ะ พร้อมหยิบมีดที่ใช้สำหรับงานปั้น ออกมาขู่
    "คุยกันตรงนี้แหละ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง"

    ผู้หญิงข้างๆดูเหมือนจะเป็นแฟนของพี่เติ้ล ท่าทางที่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

    และเด็กๆจากห้องของเราสองสามคน ยืนฟังด้วยความตกใจ

    "คนที่ขโมยแล็ปท็อป ขี่รถของพี่เติ้ล 
    เราเลยถามว่าให้ใครเอารถไปยืมใช้ในวันนั้นป่าว"

    รุ่นพี่เติ้ลหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ ก่อนจะพูดด้วยการขึ้นเสียง
    "นี้สงสัยกูเหรอ"

    ธาตุแท้

     อ่า ใช่แล้ว เรารู้จักดี เพราะเราก็มีเหมือนกัน
    ในใจของเรายิ้ม แทบจะหัวเราะออกมาให้ทุกคนได้ยิน

    เรารู้สึกโชคดีที่เป็นคนได้มาสอบสวนด้วยตัวเอง
    โอกาสที่ได้เห็นชายผู้สงบเสงี่ยม แสดงอาการที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

    ชาตินี้ เราได้เห็นแล้ว เราเห็นมันแล้ว เรารู้สึกพอใจมาก 
    เราไม่กลัวชายคนนี้เลย
    แต่รู้สึกเวทนา และสงสาร พร้อมกับ โค-ตะ-ระ ยินดี 
    เพราะมันไม่ต่างกับ การกำลังเผชิญหน้า กับเด็กอมมือนั้นเอง

  • "เราเชื่อใจในตัวพี่เติ้ล พี่เติ้ลไม่มีทางเป็นคนร้ายไปได้หรอก"

    เราพูดด้วยเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ
    จนสังเกตเห็นเด็กๆร่วมห้องแสดงสีหน้าหวาดผวา 
    ไม่มีใครกล้าแซวส่งเสียงเหมือนตอนอยู่ในห้อง

    "แค่มากับเรา ไปเคลียความเข้าใจผิดกับอาจารย์คนอื่นๆ อย่างรองคณบดี"

    เราหัวเราะเสียงดังในใจ จนแทบจะระเบิดออกมา
    ใช่แล้ว
    หลอกให้คนอื่นเชื่อ เป็นความสามารถที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เด็ก
    การตีเนียนเล่นละครในช่วงสำคัญแบบนี้ 
    เราลืมไปแล้ว ว่าเราสุดยอดแค่ไหนในการเล่นตบตา 

    เพราะตั้งแต่เด็กเราพยายามทำความเข้าใจกับความคิดความต้องการของคนอื่น
    เราจึงรู้ได้ว่า คนที่หิว จะวิ่งไปหาของกิน คนที่ง่วง จะต้องการพัก

    รวมไปถึงเรื่องที่สลับซับซ้อนลงไปอีก ใช่แล้ว ยิ่งคนที่อารมณ์ระเบิด
    จะตรงไปตรงมา จนเหมือนกับว่า เราอ่านใจอีกฝ่ายได้

    เราหัวเราะเสียงดังใจ มีความสุขกับชัยชนะตรงหน้า โดยที่ไม่ต้องรอฟังคำตอบ
    เราเห็นอนาคต เห็นความพ่ายแพ้ของรุ่นพี่เติ้ลนี้แล้ว 

    รุ่นพี่เติ้ลหน้าซีดหนัก หลังจากได้ยินคำว่า รองคณบดี...

  • รุ่นพี่เติ้ลเก็บข้าวของ เดินนำหน้าเราไป เพื่อไปคุยกับเด็กสาวตัวอ้วน 

    "ผมไม่ได้ขโมยนะครับ น้องโก๊ะเค้ามากล่าวหาผม"

    รุ่นพี่เติ้ลแก้ต่างหน้าด้านๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ

    แต่เราเลิกพึ่งอาจารย์เหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว
    แม้แต่เครดิต เราก็ไม่หวังจากพวกเค้าแม้แต่คะแนนเดียว


    คนที่เป็นอาจารย์แค่ชื่อ ก็ไม่ต่างจากพวกสิบแปดมงกุฎ
    เราจะไม่นับถือใคร เพียงเพราะ คนอื่นบอก อีกต่อไปแล้ว !


    เรายังคงยิ้มแบบชายผู้มีชัยชนะอยู่ในกำมือ
    เพราะไอรุ่นพี่เติ้ลนี้ มันรู้แล้วว่าเรื่องไปถึงหูใครบ้าง
    วิธีเดียวที่มันจะยอมจำนน 
    ก็คือ "สารภาพ" และ "ขอโทษ" เหยื่อผู้เสียหาย 

    (เราขอข้ามไปเลย ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว หลังจากขอโทษ คืนของ เราได้เครดิต
    เราเลยไม่อยากเล่าสภาพความน่าสมเพชของรุ่นพี่คนนั้น 
    เพราะสัญญาไว้กับน้องตัวอ้วนนั้น)

    ...
  • ทุกคนในห้อง อยากรู้อยากเห็น บ้างก็กล่าวหาแม่บ้าน

    เราจำเป็นต้องคลี่คลายคดี และ รับเครดิตไปแบบพอประมาณ

    "คนร้ายเป็นพวกพี่ซิ่วที่เรียนไม่จบ เข้ามาจากข้างนอกลักขโมย 
    ไม่ใช่แม่บ้านหรอก"

    เรารู้สึกถึงพลังแห่งการสร้างภาพเป็นคนดี 
    และคนเท่ ขึ้นมาทันใด 

    นี้เป็นคำตอบที่เหมาะสำหรับพวกเด็กๆที่ไม่ไล่ล่าความจริง (จุ๊ๆ)

    อีกอย่าง 

    เราไม่อยากได้ชัยชนะมาแบบง่ายๆ โดยการบอกว่า "เนี่ยรุ่นพี่เมิงทำ ไงล่ะ"
    (เปล่าหรอก จริงๆแล้ว เด็กอ้วนนั้น ขอให้เราสัญญาว่า จะไม่เอ่ยปาก)

    แน่นอนว่าเราตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
     
    เพราะ เราต้องการแค่เครดิตความไว้วางใจที่มันคงทน
    ขืนเราเอ่ยปาก เราก็แค่ได้ความน่าเชื่อถือแบบเบาบางจากทุกคน
    แต่เสียความไว้วางใจจากเด็กอ้วนนั้น 
    เราแค่เห็นว่าเด็กอ้วนนั้น มีประโยชน์ต่อกลุ่มไส้เดือนในอนาคต

    แต่ เราจำเป็นต้องระบายเรื่องนี้ให้ใครฟัง เราต้องให้เพื่อนดาวที่เราเชื่อใจ รับรู้
    แต่ เพื่อนดาวโกรธเรามากที่ไม่ยอมเอาคนผิดไปลงโทษ จนเราเองก็รู้สึกทำพลาดไปจริงๆ
    แต่ แต่ แต่ เรามาเข้าใจเอาตอนหลังๆ ว่า เราเป็นนักสืบ ไม่ใช่ นักลงโทษ นั้นเอง !

     ( ตอนหน้า คดีที่ห้า ฆาตกรรม ! ในเรือนจำทหาร หุหุ )

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in