เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง)Dareka Ayumi
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง) 5
  • ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากคลี่คลายปมปริศนา ในตึกห้าได้สำเร็จ 
    ได้ข้อสรุปว่า มันคือความพยายามของใครบางคน ที่จะส่งข้อความมาถึงพวกเรา

    หลังจากนั้น เมื่อได้เจรจาต่อรองกับอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ 
    อาจารย์ก็ยินดี เปิดพื้นที่ตึกห้า ชั้นล่าง ให้ใช้บริการกันอย่างเต็มที่ 
    (เราจำชื่ออาจารย์ไม่ได้ แต่อาจารย์ใจนักเลงมาก แค่เราอ้างว่า "เพื่อเด็กๆ" ก็ยอมทำทุกอย่างให้ทันที)

    พื้นที่ชั้นล่าง ของตึกห้า มีอยู่ทั้งหมดสี่ห้อง
    ห้องเรียนปกติ ห้องเก็บอุปกรณ์ ห้องทำงาน และ ห้องพัก 
    (จริงๆมันก็เป็นห้องเรียนทั้งหมด แต่นักศึกษาเข้ามาจัดสรรพื้นที่กันจนลงตัวในที่สุด)

    แน่นอน เมื่อขึ้นชื่อว่า ห้องเรียน จึงไม่มีใครกล้าย่างเข้ามา
    เรากับเพื่อนดาว จึงยึดห้องดังกล่าวไว้ อยู่ร่วมกันแค่สองคน
    ส่วนเด็กๆจากกลุ่มรับน้อง ก็จัดสองห้องไว้เป็นที่ทำงาน
    น่าแปลกที่ กลุ่มไส้เดือนของเราเอง ก็ยึดพื้นที่ห้องทำงานไว้ได้หนึ่งห้องเช่นกัน
    เพราะแต่ละกลุ่ม หลายคนไม่กินเส้นกัน เลยจำต้องแยกกันอยู่เป็นกลุ่มๆ

    กลุ่มไส้เดือนของเรา ดูแฮปปี้มากขึ้น
    พอเห็นเด็กๆมีความสุข เราก็รู้สึกภาคภูมิใจไปอย่างเงียบๆ
    ส่วนกลุ่มรับน้องเอง ก็ดูจะให้เครดิต ให้ข้อมูลกับเรามากขึ้น
    แม้แต่คดีเล็ก คดีน้อย ลืมพู่กัน บัตรจอดรถหาย(เดือดๆ) ปริศนาต่างๆ
    เด็กๆก็มักจะเข้ามาในห้อง ซึ่งเป็นฐานทัพของพวกเรา เพื่อขอความช่วยเหลือ

    เนื่องจากตึกห้า เป็นพื้นที่ ที่เข้มงวดในเรื่องของกฏระเบียบ และระบบรักษาความปลอดภัย
    เหล่ารุ่นพี่ ที่อยู่นอกกฏหมาย มักจะไม่มาป้วนเปี้ยนแถวๆนี้ 
    ทำให้งานของพวกเรา ดำเนินไปอย่างปกติสุข
    (เหนือความคาดหมายมาก พวกรุ่นพี่นั้น คงแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราหายหัวไปไหน)

    ...


  • ก่อนจะเริ่มคดี ที่สี่
    เรามี ปม ที่ติดค้างมาตั้งแต่เด็ก
    ความกลัว ในความไม่รู้
    ความกลัว ในสิ่งที่อธิบายไม่ได้

    ผีนั้นเอง

    เราเดินสายนักสืบมาได้ซักพัก ต้องบอกว่าเรายังเชื่อเรื่องผีสางอยู่เลย
    ความคิดเป็นเหตุเป็นผล ขัดกับเรื่อง ความเชื่อที่ไร้เหตุผลอย่างผีสางอย่างสุดๆ

    เหมือนกับชะตาฟ้าลิขิต 

    ...

    เราโดนผีอำ ครั้งแรก !
    (เราเดาได้เลย หลายคนก็คงเคยโดน) 

    กำลังหลับฝัน แต่เจอความมืด
    พอจะตื่นขึ้นมา
    ก็ดันขยับตัวไม่ได้
    จู่ๆ ก็มีเงาอะไรไม่รู้ โผล่มา
    แล้วมากด มาทับ มาจับ มาทำให้กลัวสุดขีด

    เราโดนแล้ว เราบอกตามตรง เราแทบประสาท
    เพราะผีแค่มายืนอยู่นิ่งๆ เราก็กลัวสุดขั้วหัวใจแล้ว

    แม้แต่เพื่อนดาว ก็บอกว่า เคยโดนผีอำจับขาขยับไม่ได้เหมือนกัน

    แต่โชคดี ที่วันนั้น ตอนโดนผีอำ เราเปิดเพลงตั้งไว้ด้วย...

  • การที่เราเปิดเพลงตั้งไว้
    ทำให้เรารู้ช่วงเวลาที่ผ่านไป
    ช่วงความยาวนานเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะขยับตัวได้
    ทำให้เราสงสัยว่า

    "นี้อาจจะมีคำอธิบายซ่อนอยู่"

    เราพยายามค้นหาความเป็นไปได้
     ที่มันจะเป็นอาการความผิดปกติอะไรบางอย่างของร่างกาย

    เพราะในวันนั้น เราเองก็ออกกำลังหักโหม นอนน้อย 
    เป็นครั้งแรกในชีวิต หลังเข้ามาเรียนคณะศิลปะ 
    ปกติ เราจะหลับตั้งแต่ สี่ทุ่ม ถึง หกโมงเช้า

    เดี่ยวนี้เรานอนไม่เป็นเวลามากขึ้น (เพราะถูกรับน้องนั้นแหละ)

    REM SLEEP 
    สิ่งที่อธิบายได้ตรงที่สุด จาก Google 
    สภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ที่สมองเราพยายามหาคำอธิบายให้กับความไม่เข้าใจ
    เดิมที ความไม่เข้าใจ มักจะเป็นที่มาของ ความกลัว แทบทุกประเภท
    สมองจึงสร้างภาพ ที่หลายคนเคยได้ยินมา เช่น เงาดำ ผีตัวเขียน มนุษย์ต่างดาว 
    ออกมาในขณะที่อยู่ในโลกความเป็นจริง ซ้อนทับกับภาวะที่กึ่งหลับ กึ่งตื่น

    (เคยสังเกตมั้ย ว่าทำไมตอนเราตื่น ร่างกายถึงไม่ค่อยมีแรง)

    นั้นแหละ !
  • พอเราลองอ่านเงื่อนไขในการเข้าสภาวะนี้
    เราก็รู้ทันทีว่า คนที่จะเจอผีอำได้ 
    จะต้อง เคยได้ยินเรื่องผีอำตัวดำๆ รวมไปถึง ความเชื่อเรื่องผี

    เพราะเมื่อเรากลัวขึ้นมา แล้วตั้งคำถามตอนเกิดอาการนี้
    เราจะนึกถึงสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความกลัวขึ้นมา 
    เป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด 
    ดังนั้น บางคนก็มีทั้งผีอำมาเดิน มาทับ มาจับ แต่ของเราโชคดี มายืนอยู่ข้างๆเฉยๆ
    (เพราะ แค่ปรากฏตัว เราก็กลัวจนจะช็อคแล้ว)

    ข้อสันนิษฐานจบ
    เราเลยรอเฝ้าสังเกต เพื่อทดลองอีกครั้ง
    ปรากฏว่า เราเข้าสภาวะนี้อีกจนได้
    แต่คราวนี้ เราพยายามเอื้อมมือไปจับตัวผีอำ
    เรารู้ว่า ร่างกายต้องใช้เวลาซักพัก ก่อนจะตื่น แล้วเราจะขยับได้
    แต่เราพยายามขยับตัวไปจับตัวผีอำ

    เราขนลุก แล้วกลัวมาก 
    แต่เราต้องจับมัน เพื่อทำลายความกลัว
    ปรากฏว่า เราขยับแขนได้ และจับมันได้
    แล้วเราก็ตื่นขึ้นมา

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่เคยโดนผีอำอีกเลย
    แล้วความเชื่อเรื่องผีสาง ก็ถูกทำลายลง จนเราไม่กลัวความมืด
    (จนเราไม่สวดมนต์ ไม่เอาศาสนาอีกเลย ถึงตอนเจอผีจะท่อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เถอะ)
  • ช่วงฤดูฝน
    เรานั่งทำงาน วาดภาพสบายใจอยู่ในฐานทัพ
    ที่ปลอดสงครามจากเหล่ารุ่นพี่มาได้พักใหญ่

    แถมห้องปัจจุบันของเรา กับเพื่อนดาว ก็ยังเป็นจุดที่เหมาะแก่การชมกีฬาคณะ
    พอตกกลางคืน เราก็จะย้ายไปทำงานบนชั้นห้า เราเรียกว่า "ห้องของจ็อฟฟรี่"
    ตามชื่อ แอคเค้าท์ของคนนิรนาม ที่พยายามส่งข้อความถึงพวกเรา

    ในที่สุด คดีที่สี่ก็มาถึง ในเช้าที่อากาศแจ่มใส
    เด็กสาวตัวอ้วน ที่ทำรองเท้าแตะหายวันก่อน
    เดินเข้ามาแบบยิ้มๆ

    เราด้วยความที่มีความสามารถในการสร้างความประทับใจ
    เพื่อรักษาภาพลักษณ์รับดับสูง เรายืนขึ้นราวกับพนักงานต้อนรับ 
    ยิ้ม พร้อมโค้งเล็กน้อยเพื่อให้เป้าหมายรู้สึกเหมือนเป็นคุณนาย

    "พี่โก๊ะ แล็ปท็อปหาย"
    เรานิ่งไปซักพัก
    ในใจคิดว่า คงเป็นเรื่องล้อเล่น หรือไม่ใช่เรื่องใหญ่
    แต่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่การมาสงสัย หรือ ข้องใจ กับคำร้องขอ
    เพราะมันเสียเวลา และทำให้เสียความไว้เนื้อเชื่อใจอีกต่างหาก
    เราพยายามทำตัวให้ดูเหมือนกับ เอาจริงเอาจังยิ่งกว่าผู้เสียหาย

    "เก็บไว้ที่ไหน แล้วรู้ตัวว่าหายไปเมื่อไหร่"
    เรามักจะพกปากกาและกระดานวาดรูปขนาดเท่า A-4 ติดตัวอยู่เสมอ
    เรารีบจดบันทึกคำให้การทุกอย่างราวกับเจ้าหน้าที่ ผู้มีประสบการณ์อันโชกโชนในการสืบสวน

    เด็กสาวตัวอ้วน กล่าวว่า 
    "เก็บไว้ในห้องเรียนรวมใต้ตึกห้าตอนเช้าประมาณแปดโมง เพราะไปเข้าแถวหน้าเสาธงเพื่อรับน้อง"

    เรารู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อยตอนได้ยินคำว่า รับน้อง แต่เราต้องเป็นมืออาชีพไว้
    "พอกลับมาที่ห้อง ตอนบ่ายสามมันก็หายไปแล้ว" ...



  • เราสูดหายใจ ควบคุมความตื่นเต้น อะดรีนาลีนกำลังสูบฉูดอีกครั้ง

    "งั้นนำทางพี่ ไปดูที่เกิดเหตุกันเลย"
    เด็กสาวตัวอ้วนดูมีความโล่งใจมากขึ้น 
    มันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ดูเหมือนเธอจะขาดที่พึ่งพา
    และดูเหมือนเธอจะคิดว่า การมาขอช่วยเรา คือทางเลือกสุดท้าย
    มันเลยทำให้เรารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

    ในห้องมีผู้คนเพ่นพ่าน
    หลายคนดูเหมือนจะดูออกแล้วว่า เด็กสาวตัวอ้วนมาเรียกเราให้มาช่วย

    "โคนัน มาช่วยสืบแล้วเย้"
    เด็กชายหัวฟูคนหนึ่ง พูดจาเชิงเสียดสี แต่มันทำให้เรารู้สึกไม่เกร็งมาก 
    บรรยากาศในห้องเป็นกันเองมากขึ้น

    แน่นอนว่าเด็กๆในห้องนี้ คือสมาชิกกลุ่มรับน้องทั้งนั้น
    พวกเขายังรู้ว่า เราเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเหล่ารุ่นพี่

    แต่หลังจากเรียนกับอาจารย์สุนทรีย์หัวรุนแรงด้วยกัน
    ทำให้เราพวกเรา เข้าใจจุดยืนของกันและกันมากขึ้น

    เรานอนคว่ำลงกับพื้นทางเดิน หลายคนถึงกับตกใจ
    แต่เราก็คาดเดาไว้แล้ว แต่เราคงไม่มีเวลามาอธิบาย เพราะมันจะยิ่งทำให้เราดูหยิ่งผยอง
    เราเลยขยับตัว ทำทุกอย่าง โดยทุกคนรู้ตรงกันว่า "นี้คือหนึ่งของวิธีของการสืบสวน"

    ขณะที่นอนคว่ำ เราพยายามมองหาวัตถุที่ดูเหมือนจะถูกเก็บซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ
    เพราะเพื่อตัดความเป็นไปได้ว่า นี้คือการลักซ่อนไว้ก่อนลงมือขโมยจริงเมื่อสบโอกาส
    นั้นหมายความว่า คนร้าย ไม่สะดวกในการขนย้าย หรือ เวลาไม่พอสำหรับแผนการ
    จึงต้องดำเนินการทีละขั้น ทำให้ปลอดภัยในการถูกจับได้ไว้เป็นจุดๆ...




  • เมื่อหาจนทั่ว ก็ทำให้เราตัดความเป็นไปได้หลายๆอย่างออกไป
    คนร้ายที่ลงมือ คือคนที่รู้เวลา เข้า-ออก ของสมาชิกภายในห้อง

    ทันทีที่เห็นผลงานในห้อง เราก็ได้จดชื่อของทุกคนไว้
    เพื่อสอบถามภายหลัง ทุกคนต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า
    "ไม่มีใครเลย ที่อาศัยอยู่ในห้องนี้ ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ"

    เราจึงออกจากห้องไปคุยกับแม่บ้านที่รับผิดชอบชั้นล่าง
    "แล็ปท็อปหายเหรอคะ ไม่ได้ยินเสียง หรือเห็นคนแปลกหน้าเข้าไปเลยค่ะ"
    แม่บ้านกล่าวแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ
    เราพยักหน้าโค้งแสดงความสุภาพ เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนดี (หึๆ เพอร์เฟค)

    จากนั้น เรารีบไปดูตามจุดต่างๆที่อาจจะมีแล็ปท็อปซ่อนอยู่เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
    ปรากฏว่า ไม่มีเลย
    "เสียดาย โดนลักไปแล้วอะพี่โก๊ะ"
    เด็กสาวตัวอ้วน กล่าวด้วยความน้อยใจ และหมดหนทาง

    "พูดอะไรแบบนั้น นี้แค่เริ่มต้น"
    จริงๆเราก็แอบรู้สึกว่า ความรับผิดชอบมันสูงกว่าคดีที่ผ่านๆมา
    ถ้าเป็นคนนอกเข้ามาขโมยละก็ เราต้องแจ้งความเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่
    เหตุผลที่เด็กๆเลือกไม่ทำเช่นนั้น เพราะกลัวว่าเป็นเพื่อน หรือคนรู้จัก

    คดีลักขโมย เมื่อถึงหูตำรวจ มันจะยอมความไม่ได้นั้นเอง

    อนาคตอาจจะดับวูบลงทันที เมื่อคิดแบบนั้น เธอจึงมองว่า เราเป็นทางเลือกเดียวของเธอ

    หน้าที่ของเรา แค่ยืนยันว่า คนร้าย ไม่ใช่คนใน หรือคนรู้จักของเธอก็พอแล้วนั้นเอง

  • หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่เรศ หัวหน้ากล้องวงจรปิด
    เขาก็เชื่อใจเรามาก จนฝากแฟลชไดร์ฟไว้กับเรา 
    เพื่อให้เสพข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดไว้ 
    (จริงๆก็คงโบ้ยงานนั้นแหละ  
    แต่เราแน่ใจว่า เราอยากจะเดินเรื่องด้วยตัวเอง ไม่งั้นเรานั่งไม่ติด ใจเต้นถี่ตลอด)

    เนื่องจาก เราต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่กล้องวงจรชั้นห้า ที่เป็นศูนย์ทำการขนาดใหญ่
    เจ้าหน้าที่นามว่า เชน เป็นชายร่างผอมซีด ดูยิ้มแย้มแจ่มใส
    ต้องตกใจเมื่อเราถือ แฟลชไดร์ฟมาเพื่อเซฟข้อมูล

    "ข้อมูลเหล่านี้ ไม่อนุญาติให้นำออกไปนะครับ เดี่ยวผมจะเซฟเก็บไว้ในเครื่องแทน"
    เจ้าหน้าที่เชนกล่าว พร้อมกับ จดวันที่ช่วงเกิดเหตุไว้

    "งั้นเราขอดูแค่ภาพได้มั้ยคับ"
    เจ้าหน้าที่เชน ดูจะสงสัยในเครดิตของเรา แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้า
    "นานหน่อยนะ จะเร่งความเร็วภาพให้"
    เจ้าหน้าที่เชนกล่าว พร้อมเปิดเครื่องวิดีโอถ่ายทอดภาพในช่วงเวลาเกิดเหตุ
    ซึ่งเป็นจุดที่อยู่หน้าห้องพอดี ทำให้เรารู้ว่า ใครเข้า-ออก ตอนไหนกี่คน
    นี้จะบอกว่า เป็นคนใน หรือ คนนอก
    และยังบอกได้ว่า คนร้ายมีที่มาที่ไปอย่างไร

    "คิดว่า เป็นช่วงไหนที่คนร้ายเข้าไปหยิบของ"
    เจ้าหน้าที่เชนถาม เราเลยประเมินซักพัก
    ก่อนจะกล่าวไปว่า
    "ช่วงเช้าคับ เพราะตารางสอนห้องตรงข้าม เริ่มช่วงสิบโมง คนเพ่นพ่านเยอะไป"

    เจ้าหน้าที่เชนพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ
    "แล้วตอนเที่ยงล่ะ"

    "เป็นช่วงเวลาพัก นั้นก็เสี่ยง เกินกว่าจะเข้ามาหยิบของได้"


  • เจ้าหน้าที่เชนพยักหน้าเหมือนเดิม 

    "แสดงว่าตอนบ่ายสินะ ให้กลอไปเลยมั้ย"

    เรารู้สึกอารมณ์บูดเล็กน้อย เหมือนกับว่า 
    เจ้าหน้าที่เชนไม่คิดว่า เราจะเจออะไรเข้า 
    หรือมองว่า เราไม่มีประโยชน์ 

    ดังนั้นเราเลยพูดออกไปอย่างเด็ดขาด เหมือนการโยนเต๋าพนัน
    "คนร้าย ก่อเหตุในช่วงเก้าโมงเช้าคับ" 

    เด็กสาวตัวอ้วนรู้สึกตกใจ พร้อมๆกับเจ้าหน้าที่เชน
    "ทำไมล่ะ" ทั้งสองพูดพร้อมกัน

    "ถ้าคนร้ายเป็นคนใน จะต้องรู้จักช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นอย่างดี และถ้าเราเป็นคนร้าย
    เราจะเลือกช่วงที่ยังไม่ถึงคาปเรียน และเป็นช่วงที่เด็กๆจะไม่กลับมาที่ห้อง "

    ดูเหมือนเราจะได้เครดิตมาเล็กน้อยจากเจ้าหน้าที่เชน

    แล้วกล้องวงจรปิดก็ตรวจพบ ผู้ต้องสงสัยในเวลา เก้าโมงเช้าถึงสิบโมง จำนวน สี่คน
    ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่เข้าไปในห้องตามลำดับ

    เริ่มต้นจากแม่บ้าน ช่วงเวลา เก้าโมงสิบห้านาที
    เราตั้งข้อสงสัยแรกคือ แม่บ้านไม่ถูกอนุญาติให้เข้าไปทำความสะอาดในห้องเรียน
    เพราะ แม่บ้านหรือคนทั่วไป ไม่สามารถแยกศิลปะออกจากขยะได้ 
    จึงเคยมีเหตุการณ์แม่บ้านทิ้งผลงานศิลปะไปโดยไม่ตั้งใจ  (ผลงานเหมือนขยะ)

    แต่ตอนออกมาจากห้อง เธอไม่ได้พกอะไรติดตัวมา 
    แต่นั้นไม่ได้ทำให้เธอหลุดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัย 
    เพราะ เธอสามารถเข้าไปดูต้นทาง แล้วส่งสัญญาณให้คนมาลงมือทีหลังได้อีกด้วย


  • คนที่สองและสาม อยู่ในห้องพร้อมกัน ทั้งคู่เป็นสมาชิกในห้อง ที่ดูเหมือนจะเข้ามาเพียงชั่วครู่
    แล้วออกไปพร้อมกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครคนใดคนหนึ่งจะลงมือก่อเหตุ 

    เด็กสาวอ้วนยังยืนยันอีกว่า ทั้งคู่ไม่สนิทกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะร่วมลงมือกันก่อเหตุ
    อีกอย่าง เวลาในการลงมือ ก็ยังน้อยเกินไป แถมทั้งคู่
    ยังกลับเข้าไปร่วมกิจกรรมได้ทันเหมือนคนอื่นๆ

    คนที่สี่ เราต่างรู้ดีว่า คนๆนี้ คือคนที่ลงมือ
     แต่ที่เราไม่รู้คือ เขาคือคนนอก หรือคนใน
    หรือคนที่ถูกว่าจ้างมา ชายหัวฟู สไตล์คณะศิลปะ รู้ทางหนีทีไล่ 
    และสามารถลงมือก่อเหตุในช่วงที่เหมาะเจาะ เกินกว่าจะเรียกว่า ความบังเอิญ 

    ขณะเดินออกมาจากห้อง เขาถือแผ่นผ้าใบขนาดเล็กเท่า A-3 
    ที่สามารถนำแล็ปท็อปไปวางซ้อนกัน แล้วปิดซ่อนของได้อย่างมิดชิด

    "งั้นคนที่ขโมย ก็คือไอนี้สินะครับ" 
    เจ้าหน้าที่เชน กล่าวด้วยท่าทีดีอกดีใจเมื่อหาตัวคนร้ายเจอ

    "คนร้ายออกไปข้างนอกสินะ เดี่ยวจะโทรไปให้เจ้าหน้าที่กล้องตรงทางเดินดูให้ครับ"
    เจ้าหน้าที่เชนกล่าวก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือ 
    พร้อมบอกรายละเอียดช่วงเวลา ลักษณะรูปร่างของคนร้าย ให้กับเจ้าหน้าที่อีกคนทราบ

    เด็กสาวตัวอ้วนดูช็อคหลังจากได้เห็นเทปบันทึกภาพ
    ทำไมเธอถึงไม่ดีอกดีใจ
    หรือว่าเธอรู้แล้วว่าคนร้ายคือใคร
    แต่ในเทป เบลอเกินกว่าจะระบุตัวได้ 

  • "หา ! ไม่มีใครเดินออกมา ! ลองดูดีๆครับ เก้าโมงครึ่งถึงสิบโมง หน้าตึกไม่มีได้ไง 
    แล้วแม้แต่ช่วงแปดโมงถึงสิบโมง
    ก็ไม่มีใครที่มีลักษณะใกล้เคียงเดินเข้ามาทางเข้าหน้าตึกงั้นเหรอ"
    เจ้าหน้าที่เชนโวยวาย

    อย่างที่คิดคดีนี้ไม่ง่าย คนร้ายหายตัวไปจากประตูทางออก
    ทั้งที่ทุกคนเห็นคนร้ายเดินออกไปใกล้ประตู 
    แต่แสงตรงประตู คงทำให้เราไม่เห็น ว่าจริงๆแล้วคนร้ายใช้เส้นทางไหน

    "เราว่า คนร้ายไม่ได้หนีออกนอกตึกทันที" เราชี้ให้เจ้าหน้าที่ดูจุดที่เราหยุดภาพไว้

    เจ้าหน้าที่เชน แสดงสีหน้าไม่พอใจ 
    "แต่คนร้ายก็เดินออกไปทางประตู-"
    เจ้าหน้าที่เชนนิ่ง ก่อนจะเห็นเทปบันทึกภาพ 
    ซึ่งมีแสงแดดตอนเช้าจากนอกประตู ส่องเข้ามา จนทำให้ร่างของคนร้ายหายไปจากกล้อง

    "งั้นรอที่นี้นะ เดี่ยวผมจะไปดูจากกล้องอีกตัว สงสัยมันไม่ได้เดินออกไปหน้ามหาลัยทันที"

    เราต่างเข้าใจจากสภาพความเร่งรีบของคนร้าย 
    ว่าเขาคงเข้ามาขโมย แล้วหนีออกจากมหาลัยทันที
    แต่พวกเรากำลังเข้าใจผิด 

    "กล้องที่นี้ ดูภาพจากชั้นสองได้ป่าวคับ"
    เรากล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่เชนใจเย็น

    "ดูได้  แต่ มันจะขึ้นไปทำไมข้างบน"
    เรายิ้มด้วยความโล่งอก เพราะไม่งั้นเราเองก็เริ่มสติแตก

    "ที่มา ที่ไป หัวใจของการสืบสวนเลยนะคับ"
    ทั้งสองคนในห้อง ดูเหมือนจะใจเย็นลง
    เพราะพวกเขาได้มองเห็นสีหน้าของเรา ที่รู้คำตอบหลังจากกำลังดูเทปชั้นสอง
    คนร้ายเดินเข้าห้องว่างอีกห้อง แล้วกลับออกมาพร้อมกระเป๋าสีดำ 
    ในช่วงสิบเอ็ดโมงเช้า !

    (ติดตามต่อตอนหน้า)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in