เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง)Dareka Ayumi
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง) 3
  • ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจาก ปิดคดีได้สองชิ้น เด็กๆก็เปิดใจมากขึ้น
    เครือข่ายในการติดต่อ ขอข้อมูล ก็กว้างขึ้นไปด้วย กลุ่มไส้เดือนของเรา ก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น
    จากจุดที่ตกอับ (แต่สิ่งที่เราไม่อยากเล่าคือ มีเด็กๆที่ต้องออกไปเพราะระบบรับน้องนี้ ถึง 4 คน)

    มันเป็นความพ่ายแพ้ เป็นความรับผิดชอบ ของคนเป็นแอดมินของกลุ่มไส้เดือน
    (เหตุผลที่ต้องมีแอดมินหลายคน เพราะเราจะไม่ได้โดนเล่นงานคนเดียว)

    ก่อนจะเริ่มคดีที่สาม
    ขอเกริ่นไปถึง ช่วงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น

    ต้องบอกว่า เหล่ารุ่นพี่ ที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด
    ตามมาจับเด็กๆไปบรรจุ เข้าหน่วยกีฬา ซ้อมเชียร์ ต่างๆ
    แบบอดหลับอดนอน เพื่อชัยชนะ เพื่อชื่อเสียงของคณะแล้ว เราต้องทำทุกวิถีทาง

    เพื่อนดาวได้รับเครดิตจากการเป็นพี่ซิ่วเหมือนเดิม
    แต่ไม่รู้ทำไม เราถึงโดนจับไปบรรจุเหมือนพวกเด็กๆด้วย (เครดิตพี่ซิ่ว !)

    "การมีพี่ซิ่วในทีม ทำให้เรามีความได้เปรียบเรื่องผู้เล่นที่มีประสบการณ์"
    รุ่นพี่ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด กล่าว พร้อมให้กำลังใจเรา

    กีฬาที่เราต้องไปซ้อมด้วย คือ ชกมวย
    ต้องบอกว่า เราไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนเลย
    เรากลัวมาก ว่าจะโดนต่อยแล้วร้องไห้

    แต่บางทีเราก็ตื่นเต้นว่า ถ้าน็อคเอาท์ คว้าแชมป์มาได้ละก็ คงสร้างเครดิตได้ไม่น้อย
    แต่เราก็กลัวการโดนชกอยู่ดี

    เราเลยพยายามหาทางออกด้วยการ สร้างเครดิตที่มากขึ้น แล้วคัดค้านการบรรจุนี้ 
    รวมไปถึง การบอยคอตระบบรับน้องอย่างเต็มรูปแบบ...

  • ขณะเดียวกัน อาจารย์ที่สอนวาดรูป ก็สั่งซื้อแผ่นผ้าใบ ที่ต้องใช้วาดรูป
    มันจะเป็นเหมือน การเอาผ้าใบมาขึงกับแกนไม้ให้มันตึงๆ 
    ราคาต่อชิ้นก็ราวๆ 100-200 บาท (ถ้าจำไม่ผิด)

    คดีที่สาม คือคดี "แผ่นผ้าใบที่หายไป" !

    และไม่ใช่ของใครอื่น นอกจาก เพื่อนดาวของเราเอง
    เนื่องจาก เราทั้งคู่โดนคว่ำบาตรใช่ปะ แล้วไม่สามารถฝากเก็บ
    หรือขอช่วยใครที่อยู่ในหอได้เลย

    เราเลยต้องร่วมมือกับเพื่อนดาวสร้างฐานทัพเล็กๆ แล้วเอาพวกสิ่งก่อสร้าง
    มาจัดวางให้ดูเป็นเหมือน ปราสาท
    ข้างในก็บรรจุพวกสี พวกวัตถุดิบสำหรับการเรียนที่เราขนย้ายได้ยากเก็บเอาไว้

    แต่ เราแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
    เมื่อแผ่นผ้าใบ หายไปหนึ่งชิ้น แถมเป็นของเพื่อนดาว ที่หาเงินมาอย่างยากลำบากอีก

    จริงๆแล้ว อีกหนึ่งความน่านับถือของเพื่อนดาวก็คือ เค้าทำงานส่งตัวเอง
    ใช้ชีวิตร่วมหอกับเพื่อน เป็นชีวิตที่เรามองว่า "นักเลง" มากๆ
    เราพยายามปรับรูปแบบการใช้ชีวิตให้เข้ากับเพื่อนดาว
    โดยการนั่งแบบ "นักเลง" 

    แต่เราไม่สูบบุหรี่ เพราะกลัวมะเร็ง ไม่ดื่มเหล้า เพราะกลัวคนเห็นธาตุแท้
    (อาจารย์หัวก้าวหน้านั้น เคยบอกว่า "เอ็งไม่ดื่มเหล้าอะดีแล้ว 
    เพราะปกติก็เหมือนคนเมา" เราพีคกับคำพูดนั้นไปสามวัน)
    จริงๆเราเป็นคนที่ขี้โม้มาก ถึงขนาดกับออกมารายงานหน้าชั้น ด้วยความยโสโอหัง
    ตอนนั้นเราไม่รู้ตัว บางทีเราเริ่มเข้าใจว่า ทำไมเราถึงไม่มีเพื่อน ...

    (ขออนุญาติเปลี่ยนแผ่น)


  • ผ้าใบมูลค่าเกือบ 200 บาท ถูกหยิบไปชั่วข้ามคืน

    เพื่อนดาวที่ชิลๆ ก็ยังทำหน้าชิลๆ แต่ก็แสดงความหน้าซีดให้เห็นเป็นช่วงๆ

    เราค่อนข้างเลือดร้อนมาก พอถึงเรื่องเงิน เราก็รู้สึกเดือดร้อนไม่แพ้กัน
    แถม ฐานทัพที่น่าจะรู้ว่า ใครเป็นเจ้าของ ยังกล้าที่จะเข้ามาหยิบไปใช้

    แรงจูงใจ คือสิ่งที่เราพอจะหาได้
    เราเลยเปิดตารางเรียนของรุ่นพี่ทั้งหมด 
    ที่ต้องใช้แผ่นผ้าใบขนาดเท่ากับของที่เราใช้ 
    เราเจอเด็กปีสอง กับ ปีสาม ที่อาจจะมีความเป็นไปได้
    เราตัดเด็กในห้องทิ้ง เพราะเรากับเพื่อนดาวทำสัญลักษณ์เขียนชื่อไว้บนผ้าใบ
    ถ้าเด็กในห้องเป็นคนขโมยไป เราก็จะดูตรวจสอบ รู้ทันที

    คนร้ายก็คือ รุ่นพี่ 
    ถ้าจะกลั่นแกล้ง ก็ควรที่จะเลือกหยิบไปทั้งสองชิ้น
    หรือหยิบชิ้นที่เป็นชื่อของเราไปแทน
    เป็นไปได้ว่า คนร้ายลงมือเพียงลำพังในช่วงกลางดึก
    เพราะเรากับเพื่อนดาว ออกจากห้องล่าสุดตอนประมาณเที่ยงคืน
    และกลับมาถึงห้องเรียนที่เราวางไว้ ตอนแปดโมงเช้า

    แต่พอนึกถึงรุ่นพี่ ถ้าเราไปกล่าวหาลอยๆ มีหวังโดนดิสเครดิตแน่ๆ 
    ต้องมีหลักฐานมากกว่านี้

    เราจึงพยายามตรวจสอบหาความแตกต่าง หาร่องรอย ที่พอจะเป็นเบาะแส

    และแล้ว

    เราก็เจอตะเข็บ !

    รอยเย็บ รวมไปถึง วิธีในการยึดแผ่นผ้าใบกับแกนไม้ เนื่องจาก เราสั่งซื้อกับอาจารย์
    มันถูกส่งมาจากร้านเฉพาะ รูปแบบการสร้างจึงแตกต่างจากแผ่นผ้าใบชิ้นอื่นๆ

    "เอ้อ" เพื่อนดาวร้องด้วยความสะใจ
     ดับบุหรี่เก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะแยกย้ายกันไปเช็คห้องเรียนของเด็กปีสองและปีสาม

    ความตื่นเต้นของเรากลับมาอีกครั้ง ขณะเราวิ่งไปหาห้องเด็กปีสอง...



  • เพื่อนดาวส่งคำตอบมาทางกล่องข้อความ Facebook 
    ขนาดแผ่นผ้าใบของเด็กปีสาม ใหญ่กว่าขนาดที่เราใช้

    นั้นหมายความได้อย่างเดียว
    คนร้ายคือหนึ่งในเด็กปีสอง

     เราทั้งสองคน มายืนรออยู่หน้าห้อง ภายในเต็มไปด้วย
    เด็กปีสอง รุ่นพี่ปีสอง แน่นอนว่า
    รุ่นพี่ปีสอง คือเด็กวัยเดียวกับเรา
    แล้วยังเป็นรุ่นน้องของเพื่อนดาว

    ความรู้สึกขยับตัวยาก เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
    "มีอะไรให้ช่วยคะ"
    เด็กผู้หญิงที่คาดว่า เห็นเราขวางทางเดินเข้าห้องอยู่ถามด้วยความสงสัย
    "มีคนเอาแผ่นเฟรมผ้าใบพี่ไป สงสัยหยิบผิด เลยมาขอดู" 
    เพื่อนดาว ให้รายละเอียดทุกอย่างกับเด็กสาว

    เด็กผู้หญิงคนนี้ เราจำได้ เป็นรุ่นพี่เด็กปีสองที่ดูเรียบร้อย
    แต่งกายมิดชิด กางเกงยีนส์ขายาว ผมตรงยาวถึงสะโพก
    ตัวไม่สูงมาก หน้ากลม ผิวขาว ดวงตาดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดใจอีกด้วย
    เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเข้าไปในห้อง แล้วบอกให้พวกเรารออยู่ข้างนอก

    รู้ตัวอีกทีเราก็ชมความงามของเธอจนลืมคดีไปแล้ว 
    (โล่งอกมากกว่าเพราะมีคนช่วยเข้าไปดูให้)

    "แอนนี่" 
    เราพูดขึ้น ให้เพื่อนดาวได้ยิน พร้อมบิดตัวด้วยความเคอะเขิน
    หลังจากที่เธอช่วยเดินเข้าไปถามคนในห้อง
    "อะไรนะ" เพื่อนดาวถามกลับมาด้วยความสงสัย

    "ชื่อของเด็กที่อยู่ในบทความวิชาภาษาอังกฤษ ที่อ่อนโยน และมีหัวใจที่เข้มแข็ง
    เราจะเรียกเด็กคนนั้นว่า แอนนี่ "
    จริงๆแล้ว เราเอือนเรื่องความรัก เรื่องที่เราพยายามแล้ว ความพยายามเราสูญเปล่า
    เรื่องที่เราต้อง ให้คนอื่นมาคอยตัดสิน มาคอยกำหนดว่า ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน

    เราอยากจะประกอบอาชีพที่ เรากำหนดด้วยตัวเราเอง
     พลาดด้วยตัวเราเอง สำเร็จได้ด้วยตัวเราเอง
    ความรัก จึงไม่เคยอยู่ในแบบแผนชีวิตใหม่ของเรา
    แต่ เราสร้างแรงจูงใจจากแอนนี่ได้ 
    เหมือนคนแปะภาพดาราที่ตนได้แต่ฝันถึงไว้บนฝาฝนัง 

    ใช่แล้ว ดอกไม้ ไม่จำเป็นต้องถูกเด็ดออกมาเพื่อเชยชม...
  • ประตูเปิดออก 
    "...มีแบบตะเข็บที่ว่าอยู่หนึ่งชิ้น...ของเอก"
    เด็กสาวกล่าวด้วยความลังเล

    เราสะกิดเพื่อนดาว ส่งซิกให้กลับไปตั้งตัวก่อน
    แล้วก้มหัวขอบคุณเด็กสาวแอนนี่
    เพราะเราได้ตัวคนร้ายแล้ว 
    เราควรส่งเรื่องการดำเนินคดี ให้กับผู้ใหญ่เป็นคนรับผิดชอบ
    โดยเฉพาะอาจารย์ที่เป็นคนสั่งซื้อมาแล้ว 
    ก็คุยกันด้วยไม่ยาก
    เนื่องจากสังคมเล็กๆแห่งนี้ กฏหมายเข้าไม่ถึง
    แค่เห็นรุ่นพี่ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมหาลัย ก็พิสูจน์เรื่องนั้นได้แล้ว
    ขืนไปเสนอหน้า 
    คนที่จะโดนคว่ำบาตรอีกรอบ 
    ก็คือ พวกเรานี้แหละ

    ในทางกลับกัน เราก็ได้จังหวะ แข็งข้อกับพวกรุ่นพี่แล้ว
    หลังจากอธิบายเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ และเด็กๆในห้องของเราบางส่วนฟัง
    เด็กๆต่างก็ไม่เชื่อหู แล้วกล่าวว่า 

    เรานั้นแหละผิด ที่ไปวางของไว้ไม่เป็นที่

    "แต่พี่ก็เขียนชื่อตั้งไว้แล้วนะ ถึงไม่ได้เขียนตั้งไว้ จะมาหยิบไปเฉยๆได้ยังไง"

    เรากล่าวให้เด็กๆฟัง ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ที่เราเผลอปล่อยออกมา
     จนหลุดจากเวอร์ชันคนดี
     เด็กอีกคนทำหน้าทำตาเหมือนกลัวเรา เหมือนกับว่า เห็นธาตุแท้ของเรา 
    (จนตอนนี้เราก็ยังรู้สึกผิด เหมือนไปทำลายภาพในฝันของเด็กๆ)
  • สิ่งที่ตามมาคือ
    อาจารย์ตัดสินใจ ไม่ลงโทษคนร้าย
    แต่รับผิดชอบส่วนของเพื่อนดาวให้แทน

    ดูเหมือนอาจารย์จะได้ไปพูดกับคนร้ายไว้เรียบร้อยแล้ว
    เหตุผลที่ไม่ลงโทษตามกฏหมาย ก็ยังเป็นเรื่องคาใจ ที่เราไม่เข้าใจ
    จนถึงคดีที่สี่ 

    คดีที่สี่ เป็นคดี ที่เราถูกขอให้เก็บเป็นความลับ
    เป็นคดีแรก ที่มีผู้ว่าจ้างอย่างเป็นรูปเป็นร่าง
    นั้นยังเป็นอีกคดีที่ยังทำให้เรา 
    เห็นความล้มเหลวของระบบในสังคม
    (แต่ในตอนนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันก่อนแล้วกัน)

    หลังจากคดีที่สามจบไป
    รุ่นพี่ก็เริ่มทวงถามเรา "ชาวโก๊ะแห่งหมู่เกาะมัลดีฟ"
    ซึ่งเป็นว่าที่นักชกอันดับหนึ่งของคณะ (ด้วยความได้เปรียบเรื่องอายุ)
    เป็นฉายาเรียกที่คล้องจองฟังดูเพลิดเพลิน 
    แต่วิธีการ ไม่ได้ดูสวยหรูเหมือนฉายา
    เมื่อเหล่า "โค-ตะ-ระ รุ่นพี่ กลับมาอีกครั้ง"

    "ทำไมไม่ไปซ้อม"
    คำถามตรงประเด็นอย่างกระทันหัน ทำให้เราตอบไม่ถูก
    ทั้งที่เราคิดจะบอยคอต แข็งข้อกับระบบรับน้องแล้วแท้ๆ
    เราก็ต้องสไตล์เดิม ไม่สู้คน ยอมแพ้ ถูกลากไปแต่โดยดี

    "เด็กมันไม่อยากซ้อม จะไปบังคับมันทำไม"
    เพื่อนดาวที่อยู่นอกหน้าต่าง กำลังสูบบุหรี่ พูดโพล่งขึ้นมา
    เราแปลกใจมาก 
    เราขี้โม้กับเพื่อนดาวว่าจะแข็งข้อ
    แต่กลับยอมแพ้เอาง่ายๆ
     ขณะที่เพื่อนดาว นั่งฟังเงียบๆ
    กลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นต่อสู้ขึ้นมาเสียเอง...




  • "อ่าว ไอดาว กี่รอบแล้ววะ"
    ดูเหมือน รุ่นพี่ที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดจะรู้จักกับเพื่อนดาว
    เราอยู่ในสถานการณ์ที่ ขยับตัวไม่ได้ 
    เลยต้องดูความเป็นไป เฝ้ารอปฏิหาริย์ (น่าคับแค้นใจยิ่งนัก)

    "รอบสาม"
    เพื่อนดาวกล่าว 
    นั้นทำให้เราเริ่มสงสัยว่า 
    เพื่อนดาวไม่ได้เข้าเรียนที่นี้ ครั้งที่สอง ? 
    แต่เป็น ครั้งที่สาม ?

    นั้นอธิบายว่าทำไมอายุของเพื่อนดาว ห่างจากเราสามปี
    "ไม่ไป ก็ไม่เป็นไร นี้เห็นแก่ความเป็นเพื่อนอันยาวนาน อยากทำไรก็ทำ"
    รุ่นพี่ผู้ไม่ไปผุดไปเกิดกล่าว ก่อนจะบอกให้เพื่อนๆของตน ทยอยกันเดินออกจากห้อง

    จริงๆเราก็เป็นแค่เด็กรูปร่างผอมบาง 
    ไม่รู้จักพาคนมาข่มทำไมเยอะแยะ 

    แต่นั้นหมายความว่า เราแข็งข้อสำเร็จแล้ว
    คราวนี้ เราต้องเตรียมรับมือกับการคว่ำบาตร
    หรือไม่ ก็เป็นระบบรับน้องที่ต้องจากไป 
    (รวมถึงการช่วยให้เหล่ารุ่นพี่ได้ไปผุดไปเกิดด้วย)

    ...


  • ในที่สุด ความน่ากลัวของคดีที่สาม มันตามมาทีหลัง
    แม้คดีจะสิ้นสุดไปแล้ว
    แต่การกระทำ ยังกลับมาหลอกหลอนพวกเรา

    ห้องที่สมควรจะเป็นฐานทัพอันมั่นคง ไว้สำหรับเก็บของ
    พื้นที่ทำงานส่วนตัว ที่เราจองไว้
    ถูกเด็กปีสองและปีสาม เข้ามายึดครองในเวลาอันรวดเร็ว
    เราไม่มีทางเลือก นอกจากต้องย้าย

    นี้คงเป็น การอดใช้โต๊ะ ใช้ห้อง ตามที่รุ่นพี่คนนั้นได้กล่าวไว้

    แต่ว่า

    ต้องขอขอบคุณเหล่ารุ่นพี่ ที่เปิดฉากโจมตีก่อน
    การย้ายห้องคราวนี้
    ทำให้เราได้ห้องใหม่ ที่มีทั้งเครื่องคอมพ์ แอร์ปรับอากาศ
    ห้องที่ไร้ฝุ่น สะอาดหมดจด อาคารใหม่นั้นเอง
    ซึ่ง ห้องดังกล่าว ยังเป็นห้องเรียนที่ไม่มีใครกล้าย่างเข้าไปแตะ

    เนื่องจาก เป็นห้องที่เต็มไปด้วยของมีค่า
    รวมไปถึงความรับผิดชอบที่สูงขึ้น 
    แต่ สำหรับคนบ้าๆบอๆแบบเรา นับเป็นการลงทุน 
    ด้วยความเสี่ยง ที่คุ้มค่ามาก
    แถมกล้องวงจรปิด 
    ก็ไม่ใช่กล้องดัมมี่อีกต่อไป

    นั้นเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่าง นักสืบมือสมัครเล่น 
    และ หัวหน้าเจ้าหน้าที่กล้องวงจรปิด ...
  • สิทธิในการใช้ห้อง
    ยังเป็นการยืมใช้ชั่วคราว
    เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น 
    เราก็จะถูกไล่ด้วยแม่บ้าน
    ก่อนจะถูกไล่ซ้ำในครั้งที่สองโดยเจ้าของคณะศิลปะ

    นั้นทำให้เราไม่มีสถานที่ทำงาน
    แถมการออกห่างผู้คน ทำให้ห่างไกลเหตุการณ์ความไม่ปกติ
    หรือคดีที่อาจจะเกิดขึ้นภายในห้องของเด็กๆได้ 
    โอกาสทำคะแนนก็มีน้อยลง

    เพื่อนดาวยังคงชิลเหมือนเดิม
    จนกระทั่งที่เรากำลังจะออกจากตึกเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน
    เราได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังมาจากตึกชั้นบน

    วินาทีนั้น เรารู้ทันที
    ถึงเวลาที่เราจะต้องหยุดคาดหวังอะไรเล็กๆน้อยๆอย่างห้องว่างๆ

    ในเมื่อความเสี่ยงในการลงทุนมีเท่ากัน 
    งั้นหาทางยึดตึกแห่งนี้ โดยอาศัยเครดิตไปเลยไม่ดีหรือ ?

    ใช่แล้ว 
    เราจะยึดทั้งตึก แล้วสร้างหมู่บ้าน ชุมชนกลางดึก
    ในตึกแห่งนี้กัน 

    เราลืมนึกไปว่า ที่แห่งนี้ ตึกแห่งนี้ ก็มีเหตุการณ์ความไม่สงบได้เหมือนกัน
    และมีผู้เดือดร้อนได้เหมือนกันนั้นเอง

    (ตอนหน้า ยังไม่ถึงคดีที่สี่ แต่เป็นสถานการณ์ช่วงก่อร่างสร้างตัว)


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in