เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง)Dareka Ayumi
เรื่องที่ระบายไม่ได้ เราจะพูดว่ามัน เป็นเรื่องใส่ใข่(เรื่องแต่ง) 2
  • ถึงไหนละ จากความเดิมตอนที่แล้ว เราถูกคว่ำบาตรจากระบบรับน้อง
    ใช่แล้ว 
    เพราะเด็กๆไม่เชื่อใจเรา ความจริงที่เราทิ้งกลุ่มไป มันปฏิเสธไม่ได้
    วิธีเดียวที่จะซื้อใจทุกคนกลับมา คือการพิสูจน์ว่า เราจริงใจที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดี
    (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อการเอาตัวรอด แต่มันก็น่าจะเรียกความจริงใจใช่ปะ)

    แต่เราต้องบอกว่า ในชีวิต ไม่เคยถูกคว่ำบาตรจากสังคมมาก่อน
    มันเป็นเรื่องยาก 
    ท้ายที่สุดเราก็หาความตื่นเต้นจากมันได้
    เรามองมันเหมือนกับ เควส(ภารกิจ) ในเกม ที่ต้องเอาชนะใจเด็กในห้อง

    แต่สองอาทิตย์ผ่านไป เราก็ยังซื้อใจของคนในห้องมาไม่ได้เลย
    เราจำได้ว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ น่าหดหู่ใจมาก
    นั้นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ที่เรารู้ว่า "เพื่อน" สำคัญแค่ไหน
    เพื่อนดาวของเรา แม้จะมาสาย แม้จะส่งงานช้า เข้าแถวหลังเพื่อน 
    แต่ชายคนนี้ คือชายที่มักจะไม่พลาดที่จะปรากฏตัวทุกครั้งในช่วง เดดไลน์ 

    "เดี่ยวปีสอง พอถูกเลิกกดดัน เด็กๆก็ไม่เคืองแล้วล่ะ"
    เพื่อนดาวพูดกับเรา ทำให้เรามีกำลังใจ 
    จริงๆแล้ว เราตัดสินใจว่า การเดินทางสายนี้ หมายถึงความโดดเดี่ยว
    หมายถึงการต่อสู้ตัวคนเดียว เพราะงั้น การถูกคว่ำบาตรจากเด็กๆ
    เป็นเรื่องหมูๆสำหรับเรามาก 

    เพราะเราแพ้กับชีวิตเก่าๆไปแล้วหนึ่งรอบ เราไม่อยากเจอความเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว
    เราไม่อยากเริ่มต้นอะไรใหม่เพียงเพราะสิ่งที่เจออยู่ตอนนี้ มันยาก...


  • เด็กหญิงตัวกลมๆ อ้วนๆในห้อง ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของความเฮฮา
    คล้ายว่าเป็นที่พึ่งพาของคนในห้อง ทำรองเท้าแตะหาย

    แม้เราจะถูกคว่ำบาตร ก็ไม่ถึงขนาดกับไม่มีคนมาพูดด้วย
    ต้องขอขอบคุณความสามารถที่สั่งสมมานานในการสร้างภาพเป็นคนดีของเรา
    "ได้ไปแถวไหนมาบ้าง"
    เราว่าไป ขณะได้ไอเดีย เล่นบทเป็นนักสืบ 
    เพื่อเป็นข้ออ้างเข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงตัวอ้วนๆนั้น
    "พี่โก๊ะ เห็นบ้างมั้ยอ่า เมื่อกี้ นั่งอยู่แถวๆลานหน้าห้อง" (บอกตามตรงเราจำชื่อใครในห้องไม่ได้เลย)
    เนื่องจากมันเป็นเวลากลางคืน ของคณะศิลปะ 
    เด็กๆก็มักจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆห้องเรียนสำหรับใช้ทำงาน พัก กิน เล่น แถวๆนี้

    เราตื่นเต้นผิดปกติ
    เราไม่รู้สึกว่ากำลังฝืนทำ 
    เรารู้สึกว่ามันง่าย และรู้สึกสนุกกว่าการวางตัวที่ต้องคอยยิ้ม คอยหัวเราะแบบฝืนๆ
    เราเลยสันนิษฐาน หาความเป็นไปได้ 
    "หมาคาปไปแน่ๆ" 
    นั้นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว เรากล่าวมันออกไปจากปากทันที 
    เราออกไปเดินหาในสนามฟุตบอล ที่มีหมาวิ่งไปมา
    ทุกตารางนิ้ว แต่ก็ไม่เจอ 

    ซักพัก เด็กหญิงตัวอ้วน ก็ตะโกนเรียกเรา 
    "พี่โก๊ะ เจอแล้ว อยู่ใต้ม้านั่ง"
    น่าแปลก
    ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกโล่งอกที่เจอรองเท้า
    ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้เป็นคนเจอ จนไม่สามารถทำแต้มความน่าเชื่อถือได้
     แต่เพราะเราพลาดในการหาความเป็นไปได้
    ที่เหมือนกับเรื่อง เส้นผมบังภูเขา

    แต่ว่า เด็กตัวอ้วนนั้น กลับแสดงท่าทีขอบคุณเราจนเราคิดว่า เราทำแต้มได้
    เรารู้สึกดีใจมาก เราเลยกระโดดโลดเต้นไปหาเพื่อนดาวที่กำลังทำงานค้างอยู่
    เราเล่าความคืบหน้าให้เพื่อนดาวเสมอ 
    "บอกแล้ว"
    เพื่อนดาวพูดสั้นๆ สมกับเป็นชายที่รู้ทุกอย่าง ชิลทุกอย่าง ทันทุกอย่าง
    ความนับถือของเราต่อเพื่อนดาว เลยค่อยๆก่อตัวขึ้นไปพร้อมกัน...


      
  • ของหาย เกิดขึ้นบ่อยมากในคณะศิลปะ
    แถมระบบรักษาความปลอดภัยในคณะ ก็ต่ำมาก
    "กล้องดัมมี่" 
    เพื่อนดาวกล่าว บอกเล่าประสบการณ์ความเลวร้าย
    ของงบประมาณของคณะศิลปะที่ถูกจำกัด กดขี่ ประวัติศาสตร์อันน่าเศร้า
    ทำให้คณะยังคงอยู่ในสภาพ "กำลังพัฒนา" มาเป็นทศวรรษแล้ว

    "ถึงตัวจะเป็นเด็ก แต่สมองเป็นผู้ใหญ่ ชื่อของเค้าคือ ยอดนักสืบโคนัน"
    เป็นการ์ตูนที่เรามองว่า เป็นเรื่องสำหรับเด็ก

    แต่เราอยากจะเอาชนะใจเด็กๆ 
    เราเลยคิดว่าจะสร้างบุคลิก หรือ บทพูดของการ์ตูนมาใช้บ้าง 
    เผลอๆคงได้เจอของหาย รับรองว่า ต้องพีคแน่ๆ

    เราเลือกเรียนมหาลัยใกล้ๆบ้าน เพื่อที่จะไม่รบกวนเงินทางบ้าน
    และเราคิดว่า ห้องเรียนศิลปะ เหมาะจะเป็นที่พักนอนของเรามาก
    เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มใช้ชีวิตในมหาลัยอย่างเต็มรูปแบบ
    อาบน้ำเหรอ ในห้องน้ำเลย พื้นที่ออกกำลังกาย ก็ใกล้แค่นี้เอง

    เราสัมผัสได้ถึงชีวิตคนจรจัด กิน นอน (ขอบคุณร้านค้า24ชั่วโมง)
    ตั้งแต่มาเรียนคณะศิลปะ เราพบกับอะไรใหม่ๆในชีวิตเยอะมาก
    ทั้งที่ดี และ เลวร้าย แต่ก็เป็นราคาที่เรารู้สึกว่าคุ้มค่า
    พอถึงช่วงกลางคืน ในห้องทำงานส่วนตัว
    มีเด็กๆแวะเข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว ทำให้ไม่เหงา

    ในที่สุดเราก็มีเวลาดู ยอดนักสืบ โคนัน
    เราตั้งใจจะดูแค่สองสามตอน แต่ โมริ รัน กับ คุโด้ ชินอิจิ เป็นคู่ที่เราลุ้นมาก
    ในที่สุด 600 ตอน ... เราว่าเราฟังและดูซับจนพูดภาษาญี่ปุ่นได้เลยล่ะ

    เราคิดเสมอว่า คนเป็นนักสืบ จะต้องมีมันสมองมาก อ่านหนังสือมาก
    แต่เราเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย แถม ความรู้กลางๆด้วย
    ยิ่งเกมปริศนา เราไม่เคยทันเด็กหัวไวๆในชั้นเลย

    แต่ช่วยไม่ได้ เราคือคนๆเดียวในห้องตอนนี้ ที่มีความสามารถในการสืบสวน
    พอคิดแบบนั้นแล้ว เราก็ตื่นเต้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...




  • แต่ขณะที่เรากำลังเดินทางกลับบ้าน
    เพราะเนื่องจากเรานอนบนพื้นแข็งๆ รองด้วยกระดานวาดรูปมาหลายวันแล้ว
    ก็กะว่าจะกลับบ้านไปนอนพักบนที่นอนนุ่มๆบ้าง

    เราทำบัตรจอดรถหาย 
    เรายิ้มกลางลานจอดรถ จำได้ว่า แทบจะหัวเราะเสียงดังด้วยซ้ำ (ตอนนั้นเวลาราวๆเที่ยงคืน)
    เพราะนี้อาจจะเป็นช่วงที่เราได้ทดลองวิชาที่ได้มาจาก ยอดนักสืบ โคนัน

    เราสังเกตตัวรถสี่จังหวะของเรา 
    สังเกตเส้นทางที่เราใช้ 
    ทบทวนกิจวัตรประจำวัน
    อย่างแรกที่เรานึกได้คือ ห้องน้ำ 
    อย่างที่สองคือ ทิ้งไว้หน้าตะกร้ารถ
    อย่างที่สามคือ อยู่ในกล่องเครื่องมือวาด
    ประมาณหนึ่งชั่วโมง

    เราก็ต้องเอาบัตรนักศึกษาไปให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่รับผิดชอบ
    เพราะเราหาไม่เจอ

    วันนั้น เราแค้นมาก
    เราหัวเราะไม่ออก 
    เราดูโคนันตั้งหกร้อยตอน 
    แต่แค่บัตรจอดรถหาย 
    เรายังหาไม่เจอ
    ที่สำคัญ มันเป็นของที่อยู่กับเราด้วยซ้ำ

    วันนั้นเราสาบานกับตัวเองเลยว่า จะไม่พลาดอีกแล้ว
    เราไม่เคยแค้นกับอะไรที่เรารู้สึกว่าไร้สาระแบบนี้มาก่อนในชีวิต...

  • "ใครทิ้งเปลือกลูกอมไว้วะ"
    ขณะที่เรากับเพื่อนดาวนั่งเก็บของ เตรียมแยกย้ายกันไปพัก อยู่หลังห้อง
    หลังจากเรียนเสร็จ ก็มีเด็กในห้องตะคอกขึ้นมา
    เพราะรุ่นพี่กำชับเรื่องความสะอาดของห้องเรียน
    ทุกคนเลยดูจริงจังกับเรื่องความสะอาดมาก

    ( ใช่แล้ว เปลือกลูกอม ที่เปลี่ยนชีวิตของเรา คือเปลือกลูกอมชิ้นนี้แหละ ! )

    "ทุกคนอย่าเพิ่งออกจากห้อง"
    เราตะคอกด้วยความแค้น เพราะเราดันไปนึกถึงบัตรจอดรถที่หายไปเมื่อหลายวันก่อน

    เด็กๆดูท่าจะตกใจกับเรามาก 
    แม้แต่เพื่อนดาวที่ชิลๆ ง่วงๆ เพราะฝนเพิ่งหยุดตกหมาดๆ 
    อากาศกำลังเย็นๆได้ที่ ตาเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความแปลกใจไม่แพ้พวกเด็กๆ
    หลายคนตะคอกด่าเรา แต่เราไม่สนใจ เราตื่นเต้นด้วยความแค้นเกินกว่าจะมาห่วงภาพลักษณ์
    เรารีบไปดูเปลือกลูกอม เรารู้ทันทีว่า นี้คือสิ่งที่เราทำหายในวันนั้น
    ตัวแทนของบัตรจอดรถ อยู่ในเปลือกลูกอมชิ้นนี้ !

    เรายิ้มอย่างดีใจ หลังจากได้เห็นเปลือกลูกอม
    "ลูกอมสองเม็ดบาท" เรากล่าวอย่างยินดี
    เรารู้ทันทีว่ามันขายตรงจุดไหน มีแค่สองที่เท่านั้น ร้าน A และ ร้าน B
    แล้วเรายังรู้ด้วยว่า นี้เป็นคาปเรียนเช้า ที่เด็กทุกคนที่มาจากหอพักในมหาลัย
    จะต้องผ่านร้านค้า A 
    ส่วนเด็กที่พักอยู่นอกมหาลัย จะต้องผ่านร้านค้า B 

    จริงๆแล้ว มันแทบไม่เกี่ยวกับ การหาตัวคนร้ายเลย
    เราดันตื่นเต้น และคิดไปแบบกว้างๆ
    เราจะต้องไม่พลาดเรื่องอย่าง เส้นผมบังภูเขา
    เราต้องมองให้ง่ายกว่านั้น อะไรคือข้อสังเกตของคดีในคราวนี้
    ถ้าเป็นโคนัน เขาจะสามารถหาคำใบ้มาจากไหน

    เราจำได้ว่า หัวใจเราสูบฉีดจนสั่นไปทั้งตัว
    เราได้ยินเสียงเศษเงินในกระเป๋า
    เราเดินไปหาต้นตอของเสียง ก่อนจะตบกระเป๋าเด็กคนหนึ่งเบาๆ
    จู่ๆเราที่เข้าสังคม คุยไม่เก่ง
    ก็พูดชัด จนเรารู้สึกแปลกใจ
    "เมื่อตอนเช้าซื้ออะไรไปบ้าง" เราจำเป็นต้องถามเด็กคนนั้น เพื่อหันเหความสนใจ
    เพราะทุกคนดูเหมือนทำท่าจะหมดความสนใจ แล้วเดินออกจากห้อง

    แต่โชคดีเหลือเกิน เรากลับได้คำใบ้มาช่วยไขปริศนาอีกหนึ่งข้อ ...




  • เด็กที่เราถาม ทำท่าไม่พอใจก่อนจะบอกว่า
    "จริงอยู่ที่ผมซื้อลูกอม แต่เปลือก...อยู่นี้"
    เด็กคนนั้น หยิบเปลือกในกระเป๋าของเพื่อนอีกคนที่ตัวเล็กกว่าใกล้ๆออกมา

    "ไอเฮี้*" 
    เด็กที่ตัวเล็กกว่าร้องตะคอกออกมาแบบไม่พอใจ
    พร้อมทั้งเอาเปลือกลูกอม ปากลับไปให้เจ้าของ

    "ลูกอมสองเม็ดบาท"
    เด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆ วันก่อนที่ทำรองเท้าหาย พูดเหมือนให้ท้ายสนับสนุนเรา
    "อีกเม็ดหนึ่งทำตก ไม่รู้ใครหยิบไป"
    เด็กชายกล่าวตอบ

    ใช่แล้ว ลูกอมสองเม็ดบาท หมายความว่า ใครก็ตามอีกคนที่กินลูกอม
    แต่ไม่มีเปลือกติดไว้กับตัว คนนั้นก็คือ คนร้าย

    ก่อนจะพูดออกไป เรารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
    เรา เก๊กท่า แบบโคนัน ก่อนจะชี้ตัวคนร้าย

    "คนร้าย ก็คือคนที่ มีกลิ่นของลูกอมชนิดนี้อยู่ในปาก 
    และไม่มีเปลือกลูกอมติดอยู่กับตัว"

    เด็กหญิงตัวอ้วน ที่ดูเหมือนเป็นหัวโจกของห้อง ตะคอกให้คนทั้งห้อง
    ช่วยกันตรวจดูกลิ่นปาก ที่ตรงกับ ชนิดของเปลือกลูกอมที่ตกอยู่บนพื้น

    เรารู้สึกภูมิใจมาก และเหมือนกับได้ล้างแค้นเรื่องวันก่อนของบัตรจอดรถที่หายไป
    เราได้ยินเด็กๆบางคนพูดถึงชื่อ โคนัน ด้วย (เอิ๊กๆ)

    แต่ที่เจ๋งกว่าคือ เราแทบลืมไปเลย ว่าเด็กหลายคนในห้องกับเรา ไม่ถูกชะตากัน
    เพราะเราดันทอดทิ้งเด็กๆ อยู่ๆเราก็รู้สึกผิดมาที่แสดงท่าทางดีอกดีใจออกนอกหน้า
    เราต้องสร้างความน่าเชื่อถือ และทำคะแนนจากไอพวกเด็กๆพวกนี้คืนมา
    เพื่อที่จะใช้ชีวิตให้จบจากมหาลัยนี้ เพื่อไปทำงานซักที...


  • เด็กๆน่ารักหลายคนในห้อง ที่เป็นสาวๆ เริ่มกลับมาทักทายเรามากขึ้น
    แต่เด็กน่ารักอีกหลายๆคน ก็ยังคงเย็นชา
    แน่นอนว่าภารกิจสำเร็จไปกว่าครึ่ง เท่านี้ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเรียน
    ก็เปิดกว้างขึ้นมาอีกหน่อย

    แต่การไปรบกวนถามข้อมูลใครคนใดคนหนึ่งซ้ำๆ 
    มันจะทำลายภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของเรา
    เราเลยคิดว่า เราต้องไม่ทำให้ตัวเองดูน่ารำคาญ
    เราต้องมองว่า เราแค่ขอข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 

    ความรู้สึกของการได้สัมผัส การเข้าถึงความจริง เพียงเล็กน้อย
    มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก 
    ถ้าเราไม่ตะโกนขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนช่วยกันไขคดี
    ความจริงก็จะถูกมองข้าม
    ความจริงก็จะหายไปก่อนที่เราจะได้สัมผัสกับมัน

    เราคิดว่า เราได้พบกับความรู้สึกประหลาด
    บางทีเราก็สงสัยว่า "เราสนุกกับมันขนาดนี้เลยเหรอ"

    สิ่งนี้ ค่อยๆกัดแทะ เส้นทางความฝัน
    เหมือนกับความสงสัย ของตัวเราอีกคน
    ที่กระซิบข้างหูว่า "ชอบมั้ย ชอบป่าว ชอบแน่นะ"
    อาจจะฟังดูปัญญาอ่อน
    แต่เราไม่รู้เลยว่าอาชีพ "นักสืบ" จะอยู่รอดได้ยังไง

    เราว่า มันเป็นไปไม่ได้ และหากินยากกว่า การเป็นศิลปินไส้แห้งแน่เลย
  • ไม่ใช่แค่เรากับเพื่อนดาวเท่านั้น
    ที่รู้สึกตื่นเต้นกับความสำเร็จอันเล็กๆ ของการได้แต้มความเชื่อใจจากเด็กๆ
    สมาชิกกลุ่ม ไส้เดือน ต่างแฮปปี้ ราวกับหมู่บ้านที่เพิ่งจ่ายค่าน้ำค่าไฟได้สำเร็จ

    เด็กๆเองก็ต่างอยากที่จะทดสอบ ลองความสามารถของเราเหมือนกัน

    ไม่นานเกินรอ คดีที่ สอง ก็เริ่มต้นขึ้น ! 
    (จริงๆอยากจะลัดไปเจอคดีโหดเลย แต่ ขอคนเขียนระบาย อวดความสุขเล็กๆบ้างนะ)

    เด็กคนหนึ่ง ที่เคยอยู่กลุ่ม "ไส้เดือน" 
    สมาชิกที่เคยสร้างบาดแผลไว้บนแผ่นหลังของเรา
    (ต้องบอกว่า หักกระดูกไขสันหลังของเรามากกว่า)
    เข้ามาขอช่วยเรื่องกุญแจรถที่หายไป

    (พอเกี่ยวกับรถ เราต้องมีอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาทุกที)
    แน่นอนว่า เราต้องสร้างเครดิตเพิ่มอีก
    ไม่มีเวลามาคัดเลือกว่า ใครเป็นข้าศึก ใครเป็นมิตร
    ในเวลาคับขัน ศัตรูของศัตรูคือมิตร

    จริงๆเราก็ไม่แค้นอะไรเด็กพวกนี้มาก
    เราทิ้งความแค้นทั้งหมดไปยังพวกรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว แต่ยังมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่แถวๆนี้มากกว่า
    รวมถึงระบบรับน้อง 
    ที่เราเพิ่งมาตาสว่างด้วยคำพูดของอาจารย์จากวิชาสุนทรีย์ศาสตร์
    (ที่สอนทั้งประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง
     และโจมตีไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
     อะไรจะขนาดนั้น เราไม่เข้าใจทั้งหมด
     โดยเฉพาะเราเป็นคนสายเลือดครอบครัวทหารด้วยแล้ว 
    เราก็ยังคิดว่า แกโหดเกินไปอยู่ดีอะ)  

  • ปริศนาในคราวนี้
    เราเคยเจอมาก่อน
    ความผิดพลาดของการเสียบกุญแจตั้งไว้
    เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 
    (จริงๆก็เรียกว่ายามนั้นแหละ แต่เราสนิทไปตั้งแต่แม่บ้าน 
    เจ้าหน้าที่กล้อง อาจารย์บางท่าน เลยต้องเรียกแบบให้เครดิตแบบเต็มๆหน่อย 
    ได้ร่วมงานให้การช่วยเหลือกันบ่อยมาก)
    มักจะนำกระดาษ มาแปะไว้ที่ตัวรถ พร้อมกับนำกุญแจไปเก็บรักษาไว้ในป้อมยามใกล้ๆ

    แน่นอนว่า เด็กๆเฟรชชี่ คงนึกไม่ถึง 
    เราเลยคาดเดาว่า กระดาษคงถูกลมพัดปลิวหายไป
    ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปหาป้อมใกล้ๆ 

    พอไปถึง เราก็แค่ 
    บอกป้ายทะเบียนรถที่จอดลืมกุญแจไว้
    เจ้าหน้าที่ที่จดเลขไว้ ก่อนจะดึงกุญแจออกมา
    ก็จะส่งกุญแจให้ แบบไม่สงสัยอะไรเลย

    เด็กชาย(ที่หักหลังเรา) แสดงท่าทีรู้สึกขอบอกขอบใจ

    แน่นอนว่า เราเองก็รู้สึกอิ่มใจ
    (แต่ในใจลึกๆ เราต้องรู้ไว้ว่า แหล่งข่าวไหน กลุ่มไหน รับผิดชอบได้
    ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะพลาดแบบครั้งก่อนอีก เครดิตที่เรามอบให้เจ้าเด็กนี้
    มีจำกัดนั้นเอง นี้ก็เรียกว่าความจริงใจใช่ปะ)

    คดีน้ำจิ้ม จบลงตรงนี้
    จริงๆแล้ว สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการเป็นนักสืบของจริง
    มันต่อจากคดีที่สาม 

    มุมมองที่ไม่สามารถเล่าแบบเปิดปากได้ ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับความจริง 
     "ความจริง" ไม่ใช่อะไรที่เรียกว่า โคนัน ได้เลย 
    (เปลี่ยนตอนๆ)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in