เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เกือบจะเป็นบทความ--และเกือบจะลามเป็นเพ้อเจ้อ...imonkey7th
พื้นที่ตรงกลางระหว่าง 0 กับ 1
  • พื้นที่ตรงกลางระหว่าง 0 กับ 1



    ความเศร้าโศกแห่งมวลประชา


    ในบรรยากาศความโศกเศร้าของปวงประชาชาวไทยต่อการจากไปของ "พ่อแห่งแผ่นดิน” ได้สร้างความสะเทือน แหว่งเว้าในชีวิต เขย่าชาวไทยจากภวังค์ที่คลุมเครือ ลืมตาจากหมอกที่ปกคลุมบ้านเมืองมายาวนาน


    ทำให้พวกเราได้แสดงพลังบางอย่าง พลังแห่งความรักต่อ "พ่อ" ของพวกเรา แต่จะละเลยเสียไม่ได้ กับปรากฏการณ์อีกอย่างที่เข้ามาขนาบข้าง เป็นเงาที่ไม่สามารถสลัดทิ้งให้สิ้นไปได้ นั่นคือภาวะการ “ตัดสิน” กันของผู้คนในสังคม จากข่าวในโลกโซเชี่ยลที่กระพือพัดแพร่ภาพถึงความไม่เหมาะสมในช่วงกาละแห่งความโศก และเทศะแห่งความเศร้า เข้าโจมตีผู้ที่ไม่แสดงความอาลัย เข้ากระหน่ำผู้ที่ไม่แสดงความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นไม่แต่งกายเสื้อดำ ไม่กล่าวอาลัย ไม่เปลี่ยนสีรูปโปรไฟล์ แม้กระทั่งบันทึกข้อความที่ว่า "หิวข้าว" ลงสู่โลกออนไลน์ เขาเหล่านั้นจะถูกโจมตีและกีดกันออกจากการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์กันเลยทีเดียว  

    แต่ความสนุกยังไม่หยุดแค่นั้น 

    ต่อมาก็จะมีกลุ่มก้อนบางกลุ่ม ออกมาสวนกระแสโจมตีผู้ที่โจมตีคนอื่นในเรื่องเหล่านี้อย่างเผ็ดมัน พยายามแยกตนออกจากคนกลุ่มแรกที่เดียดฉันท์ชาวบ้านอย่างไม่มีเหตุผล โยนความเลวกลับไปยังกลุ่มแรกเพื่อประกาศว่าตนอยู่เหนือกว่าคนอื่นโดยท่าทีที่แสดงว่าเข้าใจในทุกอย่าง มีสติ และออกหน้าปกป้องผู้อื่นโดยวิธีการโจมตีผู้อื่น กู่ก้องหาพ้องพวกเข้าร่วมประจานกลุ่มล่าแม่มดด้วยการล่าแม่มด


    อาจยกคำพ่อหลวงมากล่าว อาจชี้ให้เห็นความต่ำทรามของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดเลยว่าตนก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่กีดกัน แบ่งแยกคนอื่นออกจากตนเอง


    ในตลอดระยะเวลากว่า ๑๐ ปีที่บ้านเมืองเราสั่งสมวิสัยทัศน์แห่งการแตกแยก ซึ่งผมคิดว่ามันนานพอจนทำให้เด็กรุ่นหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาได้ยึดเอาหลักการแตกแยกมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทำกัน หรือแม้กระทั่งมันนานพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่มีนิสัยที่เปลี่ยนไปได้เลยทีเดียว 

      


    ภาพการล่าแม่มดในยุโรปยุคกลาง กำลังกลับมาให้เห็นในบ้านเมืองเรา


    ทุกอย่างเริ่มต้นจากการแบ่งแยกตามพรรคการเมือง พัฒนาเป็นกีฬาสี วัฒนธรรมขั้วข้างเหล่านี้ กลายเป็นวัฒนธรรมหลักที่เติบโตและครอบงำผู้คนในบ้านเมืองของเราอย่างกล้าแข็ง อุกอาจ มันไม่ยอมให้มีพื้นที่ตรงกลาง ไม่ผ่อนปรน หรืออ่อนข้อให้พวกสองจิตสองใจ ฝ่ายซ้ายจัด หรือ ขวาจัด(ในเรื่องต่างๆ ) จะเป็นแกนนำในการประกาศแบ่งฝักฝ่าย ด้วยถ้อยคำจำพวก “มึงไม่ใช่ฝ่ายกู แสดงว่าเป็นฝ่ายมัน” ปั้นก้อนความเชื่อเขวี้ยงใส่หน้ากันอย่างมันมือ สร้างตัวเลือกในสังคมให้เป็นสองฝั่งเสมอ  


    “เฮ้ย! มึงสีไหน แดงหรือเหลือง, Introvert หรือ Extrovert, ผู้ชายหรือผู้หญิง, ดำหรือขาว, กลางวันหรือกลางคืน ฯลฯ ” 



    นานวันเข้าสิ่งเหล่านี้ก็สร้างภาพจำขึ้นในหัวของผู้คนว่า “ถ้าไม่ทำแบบเรา เขาก็เป็นอีกข้าง” ทันที ยิ่งยุคสมัยแห่งความรวดเร็วตามกระแสออนไลน์ ผ่านรหัส 0 กับ 1 ด้วยแล้ว บ้านเมืองเรายิ่งกลายเป็นยุคสมัยที่ไร้ตรงกลาง ตัวเลือกมีเพียง 0 กับ 1 คนที่ไม่ยอมเลือกก็จะถูกคนอื่นที่แน่วแน่ในแนวทางเลือกให้ หรือไม่ก็ถูกตราหน้าว่าอ่อนแอ ไม่แยแส กระทั่งไม่รักชาติ หรือ ไม่ใช่คนไทยเลยทีเดียว


     


     

    วลียอดฮิตที่เรามักได้ยินคือ "ไม่ทำเพื่อชาติ หรือ ไม่รักในหลวง” ถูกสาดเทใส่กันจนพวกเราลืมกันไปแล้วว่าเป้าหมายตั้งต้นของพวกเรานั่นคืออะไร ทั้ง ๆ ที่ทุกฝ่ายออกมาบอกว่าทำเพื่อ “ท่าน” ทำเพื่อ “ไทย” แต่กลับแบ่งแยกแตกในทุกๆ เรื่อง ปัจเจกบุคคลถูกตัดสิน ลิดรอนอำนาจในการตัดสินใจ และไม่ยอมให้ใครอ่อนแอ


    เรายังยังเจ็บปวดกันไม่พอหรือกับการแบ่ง การแยกขั้วข้าง


    "กลุ่มคนเงียบ" คือผู้คนที่เลือกจะไม่ออกความเห็นไม่ใช่ไม่มีความเห็น คนเหล่านี้ไม่เลือกเข้าฝ่าย หรือฝักใด รักสงบ ไม่สนใจ หรือ บางคนมีชีวิตที่ยากลำบาก ตั้งใจทำมาหากินมากกว่าจะเอาเวลามาโต้เถียงเรื่องการแบ่งแยก กูถูก มึงผิด แบบนี้ พวกเขาต้องหาเช้ากินค่ำ สู้รบกับความขัดสนหรือความไม่พอของชีวิต แต่เมื่อพวกเขาไม่แสดงความเห็นใด ๆ ก็กลับกลายเป็นโดนโจมตีจากทั้งสองฝั่งฝ่ายว่า ขี้ขลาด ไม่มีส่วนร่วมในการพัฒนา ดักดาน หรือแม้กระทั่งถูกเรียกว่าไร้ค่า เป็นฝั่งฝ่ายตรงข้ามขั้วกันอย่างสิ้นเชิง โดยไร้โอกาสอธิบาย 


     แด่ท่านที่แข็งแกร่งทั้งหลายเหล่านั้น กรุณาลืมตามองว่าท่านทำอะไรกันอยู่ โลกเรามิได้มีทางเลือกเพียง ๒ หรือ ๔ตัวเลือก แบบ ก ข ค ง ที่เราทำ ในข้อสอบแบบปรนัย แต่ชีวิตของพวกคือ อัตนัย ไร้ข้อจำกัด ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความเห็น พูดในความเชื่อ ทำความต่าง และสร้างความไม่เหมือนให้เกิดขึ้น โลกถึงเป็นโลกอยู่ทุกวันนี้


     

    ในกลุ่มคนที่ประกาศปาว ๆ ว่ายอมรับความต่าง แต่กลับไม่พอใจ กล่าวว่า หรือโจมตีกลุ่มที่ไม่ยอมรับความต่าง ก็แสดงว่าเขาไม่ได้ยอมรับความต่างของคนอื่นจริงๆ !


    กลุ่มคนที่ไม่พูด อาจเป็นคนอ่อนแอ เหลาะแหละ และไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พวกเขาขลาดและหวาดกลัวต่อขั้วข้างอำนาจอย่างพวกท่านที่มีอาวุธ (ถึงแม้จะเป็นแค่กระดานชนวนออนไลน์ก็ตาม) พวกเขาหดหัวเพราะมีสิ่งที่ต้องทำสำคัญกว่าการออกมาป่าวประกาศ ว่ารักชาติ ว่าโศกเศร้า แต่มิใช่เพราะกลุ่มเหล่านี้หรอกหรือที่สร้างความสงบสุข ลบรอยปะทะบาดหมางไม่ให้รุนแรงมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่ภาวนาให้พวกท่านกลับมาเป็นกลุ่มก้อน เป็นคนไทย เป็นคนรักชาติแบบที่พวกท่านต้องการ 

    การที่บทความนี้ถูกเขียนออกมาเช่นนี้ ก็กลายเป็นแบ่งคนออกเป็นสองขั้วเช่นกัน (พวกร้องกับพวกเงียบ) แต่เชื่อเถอะ คนขี้ขลาดและอ่อนแอในสายตาพวกท่าน ๆ คือคนที่ต้องการพื้นที่โล่งตรงกลางระหว่างเลข 0 กับ 1 ต้องการสร้างสีสันใหม่ ความเชื่อใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้เป็นทางเลือกแก่ผู้ที่แสวงหาความสงบสุข 



    ผมไม่อาจกล้านำคำพ่อหลวง มาอวดอ้าง เพราะผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายืนไว้อาลัยด้วยน้ำตาที่ท่วมใจ แต่ไม่มากพอที่จะเอ่อไหลมาท่วมแผ่นดิน ให้เป็นที่ประจักษ์เท่าเทียมพวกท่าน แต่คนขี้ขลาดคนนี้ไม่อยากให้บ้านเมืองถูกแบ่งเป็นฝั่งฝากในทุกๆ เรื่อง 

    อยากให้ทุกท่านยอมรับความจริงของความต่าง อยากให้บ้านเมืองเป็นของพวกเราจริงๆ เป็นของคนไทยที่ใคร่จะทำอะไรก็ได้ ตราบที่ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่รังแกหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ได้ยืนสูดดมกลิ่นเสรีภาพอันชื่นใจบนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ก็พอ


    ลิง

    17.10.16

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in