New Harrier 2.5 Hybrid Premium รูปโฉมภายนอกได้รับการออกแบบและพัฒนามาเน้นความโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบไดนามิค เพิ่มความรู้สึกสปอร์ตลงตัวด้วยเส้นนำสายตารอบคันตั้งแต่กระจังหน้าจรดท้าย เพิ่มความหรูหราสะดุดตาด้วยคิ้วโครเมียมที่ด้านข้าง ตรงนี้ว่าง่ายๆ รูปโฉมภายนอกนั้นเหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป จะมีโลโก้ให้สังเกตที่ด้านข้าง และด้านท้ายตัวรถว่าเป็นรุ่นไฮบริด
ภายนอกมาพร้อมกับไฟหน้าทรงใหม่ ที่แบ่งช่องภายในโคมออกเป็น 3 ส่วน ส่วนไฟ DRL จะอยู่บริเวณขอบกันชนหน้า ในขณะที่ไฟตัดหมอกย้ายมาอยู่ด้านในช่องลมของกันชนหน้า ซึ่งไฟทั้งหมดที่กล่าวมานี้เปลี่ยนมาใช้แบบ LED ทั้งหมด ปรับองศาอัตโนมัติตามพวงมาลัย ไฟเลี้ยวในโคมหน้ายังเป็นแบบ Sequential LED ที่เปล่งแสงเป็นแนวจากด้านในของโคมวิ่งมาจนสุดอีกฝั่งก่อนที่จะดับลงทั้งหมด และเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง มาพร้อมกับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ
ด้านหลังของ Toyota Harrier Minorchange มาพร้อมกับไฟท้ายแบบ Combination Lamp พร้อม LED Tube ทรงใหม่ ส่วนไฟตัดหมอกหลังจะอยู่ขอบด้านล่างบริเวณกึ่งกลางของกันชนหลัง ฝาท้ายเป็นแบบไฟฟ้าที่ควบคุมการเปิด – ปิดได้ด้วยปุ่มกด ทั้งยังตั้งความจำได้ด้วยว่าจะให้เปิดสูงได้แค่ไหน
New Harrier 2.5 Hybrid Premium มาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ขนาด 18”x7.5” รัดด้วยยาง 235/55 R18 และยังมีแผ่นปิดป้องกันห้องเครื่องใต้ท้องรถยนต์ กระจกหน้าสามารถกรองแสง UV ส่วนกระจกบริเวณห้องโดยสารหน้าแบบ Super UV & IR Cut กระจกบริเวณห้องโดยสารด้านหลังแบบ Privacy Glass พร้อมตัดแสง UV
ภายในมาพร้อมกับเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และคนนั่งหน้า 4 ทิศทาง เบาะทั้งสองฝั่งมาพร้อมกับระบบปรับอากาศ เมื่อดับเครื่องยนต์และปลดเข็มขัดนิรภัยออก เบาะคนขับพร้อมพวงมาลัยจะถอยหลังอัตโนมัติเพื่อให้ขึ้น – ลงสะดวกขึ้น และจะปรับกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมตามที่ตั้งไว้ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์สปอร์ตเพื่อเพิ่มความสบายควบคุมอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างสะดวก มาตราวัดจะมีการเพิ่มการแสดงข้อมูลในส่วนของการทำงานระบบไฮบริด ปุ่ม EV Mode ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ทำงานเงียบ หน้าปัดของ Toyota Harrier Minorchange มาพร้อมกับจอแสดงผล LCD ขนาด 4.2 นิ้ว แต่จะมีสีตกแต่งบริเวณขอบมาตรวัดต่างกันไปตามชนิดของเครื่องยนต์ โดยในรุ่น NA จะเป็นสีขาว, รุ่น Hybrid เป็นสีน้ำเงิน และรุ่น Turbo เป็นสีแดง
ระบบปรับอากาศแบบสัมผัสง่ายเพียงปลายนิ้ว เครื่องปรับอากาศแบบแยกโซน และกรองอากาศแบบ NANOe
ในห้องโดยสารยังมีการตกแต่งด้วยไฟ LED สีน้ำเงินรอบคันทั้งบริเวณกันเตะประตู, มือเปิดประตูด้านใน, ที่วางขาคู่หน้า, ปุ่ม Push Start, คอลโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร, แป้นเกียร์, สวิตช์ปรับช่องแอร์ และที่วางแก้วน้ำด้านหน้า ระบบเครื่องเสียงเป็นหน้าจอขนาด 9.2 นิ้วแบบ TFT ทำงานร่วมกับลำโพง 11 ตำแหน่งของ JBL
ในส่วนของด้านความปลอดภัยมีระบบควบคุมการทรงตัวของรถ S-VSC, ระบบกระจายแรงเบรคแบบ EBD, ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน, ระบบเตือนขับรถออกนอกเลน, ระบบถุงลมนิรภัยคู่หน้า, เบาะคู่หน้า, หัวเข่า และถุงลมแบบม่าน, เบาะคู่หน้าแบบ WIL CONCEPT รองรับศรีษะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และยังรองรับ CAR SEAT แบบ ISOFIX
ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามาใน Toyota Harrier Minorchange คือ Toyota Safety Sense P ทำงานร่วมกับเรดาร์บริเวณใต้กระจังหน้าเพื่อตรวจสอบระยะห่างจากวัตถุด้านหน้า พร้อมกับกล้องที่อยู่ด้านหลังของกระจกมองหลังที่ตรวจสอบรูปทรงและความเร็วของวัตถุ ซึ่งสามารถระบุได้ว่าวัตถุดังกล่าวเป็นรถยนต์, คน, เส้นแบ่งถนน หรือรถยนต์สวนทางที่กำลังขึ้นเนินมาได้
สำหรับลูกเล่นของ Toyota Safety Sense P มีทั้งระบบเบรกอัตโนมัติ ที่ทำงานในช่วงความเร็ว 10 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง, ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจรพร้อมช่วยปรับแต่งพวงมาลัย ทำงานในช่วงความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป, ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ที่ลดความเร็วเองเมื่อพบรถยนต์คันหน้าวิ่งช้ากว่าความเร็วที่ตั้งเอาไว้ และระบบลดระดับไฟสูงอัตโนมัติ
New Harrier 2.5 Hybrid Premium ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง วัสดุภายในหุ้มหนังแท้ชั้นดี เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า พร้อมเมมโมรี่ตำแหน่งได้ ส่วนห้องโดยสารด้านหลังก็ให้ความกว้างขวางสะดวกสบาย ทั้งยังสามารถพับเบาะเพิ่มพื้นที่การใช้สอยได้อย่างอเนกประสงค์ แถมยังมีหลังคาพาโนรามิคไฟฟ้าไว้ให้ใช้งานอีกด้วย
New Harrier 2.5 Hybrid Premium มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 2AR-FXE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC ขนาด 2,500 ซีซี ให้พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400-4,800 รอบต่อนาที ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ชุดหน้า-หลัง ที่สามารถผลิตกำลังรวมกว่า 200 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ ECVT 6 สปีด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in