“You know that place between sleeping and awake, that place where you can still remember dreaming? That's where I'll always think of you.”
― J.M. Barrie
ทุกคนย่อมมีวันที่ต้องเติบโต และเซเวอร์รัสก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เด็กชายยังจำได้ถึงบ้านสีขาวในสวนรกร้าง ตั้งอยู่เลียบขอบแม่น้ำสีดำสกปรกมืดมัวเพราะขยะและคราบน้ำมันลอยมาจากโรงงานที่ตั้งอยู่ไกลออกไป เขาจำได้ว่าเคยชะโงกหน้าลงไปในนั้น (เซเวอร์รัสคิดว่าเขามองเห็นจักรยาน มันกำลังโบกมือให้เขา – ปลายล้อถูกเกี่ยวด้วยพืชเบื้องล่างจนไม่อาจขึ้นมาได้) และเขาก็โดนไอลีนตีอย่างหนัก เพราะเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องอันตราย
อันตราย? แปลกนัก แต่เซเวอร์รัสไม่สน
เขาใช้เวลาทั้งหมดของตัวเองเดินไปตามแม่น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว เมื่อน้ำแข็งเบาบางฉาบอยู่บนผิวหน้า เปราะบางและพร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อหากคนเหยียบไม่ระมัดระวัง เขาเฝ้ามอง -- จดจ่ออยู่กับกระแสเย็นเยือกของมัน เซเวอร์รัสรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นส่วนตัวของเขา สถานที่ๆไม่ว่าใครก็ไม่อยากได้ และเซเวอร์รัสก็ค่อนข้างพึงพอใจกับข้อนั้น เพราะมันหมายความว่ามีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองมัน
ใช่
จากนั้นลิลี่ อีแวนส์ก็ปรากฏตัวขึ้น
เธอเป็นเพื่อนบ้านของเขา เซเวอร์รัสรู้ดี เขาใช้เวลาอยู่ชั่วขณะเพื่อสังเกตเธอ จนรู้ว่าลิลี่ 'พิเศษ' เหมือนกันกับเขา (เซเวอร์รัสไม่เคยดีใจขนาดนั้นมาก่อน) ผมสีแดงและนัยน์ตาสีเขียวของเธอนำสีสันมาสู่โลกของเขา สีของเปลวไฟที่เผาลึกที่สุด และเวทมนตร์อันอ่อนเยาว์เปล่งประกายอยู่ในดวงตาคู่นั่น -- โอ้ เซเวอร์รัสเกลียดเธอเหลือเกิน แต่เขาก็รักเธอมากเช่นกัน เพียงแต่การคงอยู่ของลิลี่ทำให้แม่น้ำสีดำของเขาดูจืดจางลง น่าขัน ทุกครั้งที่เขามองหน้าเธอ เซเวอร์รัสรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังถูกสัมผัสด้วยแสงอ่อนละมุนของดวงตะวัน
มันไม่น่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายไปได้ แต่ใช่ เซเวอร์รัสทำให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะเขาหลงใหลในน้ำเสียงและความสว่างสดใสของลิลี่ จนกระทั่งหลงลืมอะไรบางอย่างไป ลืมแม่น้ำสายนั้น ลืมวิธีที่มันลูบไล้ผ่านตัวเขาอย่างนุ่มนวล เขาลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่ควรลืม
เขาน่าจะรู้ตัวหลังจากนั้นแล้ว ว่าลิลี่ไม่ใช่ของเขา เธอไม่เคยเป็นของเขามาตั้งแต่ต้น
และเซเวอร์รัสเพิ่งตระหนักสิ่งนี้ หลังจากวันที่ลิลี่ตาย
ซิเรียส แบล็กคนทรยศถูกส่งตัวไปยังอัซคาบัน ส่วนเจมส์ พอตเตอร์ก็ตายแล้ว เช่นเดียวกับเพ็ตติกรูว์ -- ลูปินคงกำลังเลียแผลใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง -- เซเวอร์รัสรู้สึกถึงความพึงพอใจขึ้นมาวูบหนึ่ง (เขาควรจะเคียดแค้นรึ? เศร้าใจ? มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างอยู่ดี) แต่มันก็จางไปทันทีเมื่อเขานึกถึงจุดจบของลิลี่
มันไม่เคยหายเจ็บปวด บางครั้งในคืนที่อากาศหนาว หรือฝนตก มันยังคงรวดร้าวอยู่อย่างนั้น เหมือนบาดแผลเก่าๆที่ไม่ยอมจางหายไป
โลกของเซเวอร์รัสกลับไปหมุนเวียนอยู่กับหน้าที่ของเขาเช่นเดิม บางครั้งเซเวอร์รัสฝันถึงแม่น้ำสีดำแห่งนั้น ราวกับว่ามันกำลังเรียกเขากลับไป กรงเล็บที่เซเวอร์รัสเคยจินตนาการในยามเด็กโผล่พ้นขึ้นมาเหนือพื้นผิวสีเข้ม มันยึดดึงร่างของเขาไว้ และทันใดนั้น -- ในความฝัน -- เขาก็จมลงไปอยู่ใต้น้ำ เห็นเพียงแสงสาดส่องลงมาบนผิวน้ำอย่างผิวเผิน มันค่อนข้างสวยงาม เขาเงยหน้าขึ้น รู้สึกถึงกรงเล็บนั้นลูบผ่านเนินแแก้มและเปลือกตาราวกับสัมผัสของคนรัก และเซเวอร์รัสคิดว่าถ้าเขาหลับไปตลอดกาลได้อย่างนี้ก็คงจะไม่เป็นไร
เพราะเหนือผิวน้ำนั้น ไม่มีสิ่งใดให้เขายึดจับอีกแล้ว
เซเวอร์รัสไม่รู้สึกถึงความทรมานอย่างที่เหยื่อจมน้ำสาธยายให้ฟัง เขาฝันถึงเพียงผืนผ้าสีดำสนิทพันอยู่รอบตัว สายน้ำเย็นเยียบที่หลั่งรินเข้าสู่ปอดผ่านทางปากและจมูก เสียงกรีดร้องถูกกักแน่นอยู่ในลำคอของเขา หอมหวานและต้องห้ามอยู่บนปลายลิ้นเหมือนยาพิษอันร้ายแรง
มันช่างคล้ายคลึงกับการนอนหลับ เสียแต่ว่าเขามองไม่เห็นอะไรเลย
เซเวอร์รัสสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก
บนเตียงของเขามีหยดน้ำชุ่มโชกไหลเป็นทาง
==
แฮร์รี่ พอตเตอร์ เอาชนะเจ้าแห่งศาสตร์มืด
ถ้าจะให้กล่าวกันตามตรง เซเวอร์รัสค่อนข้างจะประหลาดใจ เขาไม่นึกมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะทำได้เพียงนี้ หรือไม่บางที สิ่งที่เซเวอร์รัสคาดเอาไว้จริงๆคือตัวเขาตาย ส่วนพอตเตอร์อาจจะรอด แต่คงสูญเสียแขนขาไปบ้าง
แต่ทุกอย่างช่างตรงข้ามกับที่เซเวอร์รัสคิดเสียเหลือเกิน
พอตเตอร์ -- ด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างจะดีใจจนเกินมารยาทไปเสียบ้าง -- พุ่งตรงเข้ามาหาเขาเป็นคนแรก อารามตกใจเซเวอร์รัสจึงไม่ได้นึกอะไรมาก เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางผู้คนในห้องโถงใหญ่และด้วยบาดแผลที่มีเลือดแห้งกรังบนลำคอ เซเวอร์รัสทำได้เพียงแค่อ้าปากน้อยๆเมื่อพอตเตอร์กุมมือเขา จากนั้นก็พูดด้วยเสียงซาบซึ้งว่า "เซเวอร์รัส สเนป -- คุณคือผู้ชายที่กล้าหาญที่สุดที่เคยรู้จัก!" จากนั้น ด้วยเสียงที่ไม่เบานัก "..เรามีเรื่องต้องคุยกัน"
เซเวอร์รัสดึงมือของเขาออกอย่างสุภาพ จากนั้นก็ฝืนพูดด้วยน้ำเสียงที่ประนีประนอมที่สุดของเขา (ซึ่งภายหลังมีการบรรยายถึงว่าเหมือนอยากบีบคอใครสักคนเต็มที) ว่า "แน่นอน พอตเตอร์ ยินดีด้วยกับชัยชนะ"
จากนั้นเขาก็เดินหนีออกมา ทิ้งพอตเตอร์ให้ยืนทื่ออยู่ข้างหลัง กลายเป็นเป้าให้แก่บรรดานักข่าวและช่างถ่ายภาพ
“สเนป เดี๋ยว!”
เซเวอร์รัสรู้ดีว่าเขายังมีความผิดอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้สะสาง ดังนั้นเขาจึงทำเรื่องที่ตนเองถนัดที่สุด
หนี
เขากลับมาที่แม่น้ำสีดำอีกครั้ง มันยังคงทอดตัวไหลเอื่อย ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ผิดเพี้ยนไป แผ่นน้ำแข็งบางเบาที่อยู่บนผิวหน้ายังคงไม่ละลาย มันเปล่งประกายด้วยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ และเซเวอร์รัสหลับตาลง สูดกลิ่นอันเคยคุ้นของบ้านเมืองอันแออัดและน้ำครำสกปรก
หน้าที่ของเขาจบลงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องทำอีกแล้ว
มีเรื่องบางอย่างที่่ฝังอยู่ในใจของเซเวอร์รัสตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งที่เขาเคยถามแม่ว่าโทไบอัสหายไปไหน ไอลีนมองเขา ประกายประหลาดอยู่ในดวงตาของเธอ ก่อนที่เธอจะลูบหน้าเขาเบาๆ "ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เซเวอร์รัส" มือของเธอเย็นและเปียก "เขาแค่ไปข้างนอกตามปกติแค่นั้นเอง"
แต่หลังจากวันนั้น โทไบอัส สเนปไม่เคยกลับมาบ้าน
และสี่ปีหลังจากนั้น วันที่เขาเรียนจบจากฮอกวอร์ต ไอลีนก็หายตัวไปเช่นกัน ไร้ร่องรอย ตำรวจมักเกิ้ลบอกเซเวอร์รัสว่าพวกเขาไม่พบแม้แต่รอยนิ้วมือของเธอบนสิ่งของใดๆในบ้าน ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตาม สิ่งเดียวที่เซเวอร์รัสรู้สึกคือ -- โล่งใจ
ครอบครัวของเขาเหมือนกับก้อนหินที่ตั้งอยู่บนน้ำแข็งเปราะบาง เมื่อใครบางคนเหยียบย่ำแรงไป พื้นน้ำแข็งคงทะลุลง และก้อนหินนั้นก็จมสู่ผืนน้ำดำสนิทเบื้องล่าง เซเวอร์รัสค่อนข้างมั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเขา และเขาเก็บความคิดเหล่านั้นไว้กับตนเอง -- บางทีอาจเป็นเพราะว่าภายในของเซเวอร์รัสนั้นบอบช้ำเกินไป ถ้าเขายังนึกถึงมันมากไปกว่านี้ ตัวเขาคงพังทลายเป็นแน่
และนั่นคือสาเหตุที่ทำไมเซเวอร์รัสถึงหนีมาที่นี่ เขาเห็นสิ่งนั้นในดวงตาของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทุกอย่างในท่วงท่าของอีกฝ่ายบอกถึงสิ่งที่เขาต้องการมีร่วมกับเซเวอร์รัส และเขาไม่อาจปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้ บางทีพอตเตอร์อาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเปิดเผยตนเองมากขนาดนั้น แต่นั่นละ เซเวอร์รัสไม่อาจเสี่ยง
สิ่งที่เขารู้คือ: ทุกคนย่อมเรียกร้องมากขึ้นเสมอเมื่อเวลาผ่านไป
เขาไม่อาจเสี่ยงกับพอตเตอร์ได้ ถ้าพอตเตอร์เรียกร้องความรู้สึกที่เซเวอร์รัสไม่อาจให้ หรือบางสิ่งที่เขายังไม่พร้อมที่จะมอบ…
ไม่ เขาจะไม่คิดไปถึงขั้นนั้น
เซเวอร์รัสดึงชายเสื้อคลุมขึ้น และหย่อนขาข้างหนึ่งลงไปในน้ำ แผ่นน้ำแข็งกระจายออกเป็นเกล็ดเล็กๆ ความเย็นเฉียบของมันซึมผ่านผิวหนังเขาเข้าไปราวกับหยดน้ำรินรดผ่านดิน ท่อนขาของเขาดูขาวจัดเมื่อตัดกันความมืดมิดเบื้องล่าง แสงแดดส่องทะลุไปอย่างเลือนราง เพียงแค่ชั้นบน แต่ไม่เคยไปถึงก้นบึ้งแม่น้ำ
เซเวอร์รัสหลับตาลง คล้ายกับได้ยินเสียงกระซิบเก่าแก่ลอยผ่านสายลมมาอยู่ริมโสต บางอย่างที่อยู่เหนือกาลเวลา และมันกำลังสัมผัสเขาประหนึ่งคนรัก เหมือนกำลังตื่นเต้นดีใจ เหมือนได้สิ่งที่มีค่ามาและกำลังสัมผัสมันด้วยความทะนุถนอมสุดชีวิต
เซเวอร์รัสตระหนักว่าเขาคงไม่มีวันตอบรับพอตเตอร์ -- เขาไม่เคยเหมาะกับแสงสว่าง ทั้งเจ้าของเรือนผมสีแดงเหมือนเปลวไฟนั่นและรอยยิ้มเจิดจ้าของพอตเตอร์ บางอย่างในใจของเซเวอร์รัสแตกหักลงตั้งแต่วันที่ลิลี่ตาย และเขารู้ว่าสิ่งทั้งหลายที่สวยงามจะไม่มีวันเป็นของเขา รวมถึงพอตเตอร์ก็ด้วย เด็กนั่นยังมีชีวิตให้เรียนรู้ มีผู้คนมากมายที่พร้อมจะเสนอตัวให้ เซเวอร์รัสแน่ใจ
หนทางข้างหน้าของพอตเตอร์ยังสว่างสดใส ต่างกับเขา
เซเวอร์รัสตระหนักถึงอีกอย่าง ขณะที่กระแสน้ำไหลผ่านต้นขาของเขา เหมือนนิ้วมือของใครบางคนลูบผ่านแผ่วเบา – ลุ่มหลง – คลุ้มคลั่ง
เขาไม่ใช่เจ้าของแม่น้ำสีดำนี่หรอก ไม่ใช่ตั้งแต่ต้น
มันต่างหากที่ครอบครองเขา กวักมือเรียกด้วยสัมผัสรักใคร่และความกระหายอย่างไม่ปิดบัง
เซเวอร์รัสถอนหายใจแผ่วเบา รู้สึกหมอกขาวที่ออกมาจากริมฝีปาก และสัญญาณที่บ่งบอกว่าดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แม่น้ำส่งเสียงกระซิบอยู่ข้างหูเขา ร้องเป็นทำนองเพลง มาสิมาสิมาสิมาสิ เซเวอร์รัส ฉันต้องการเธอ
สิ่งสุดท้ายที่เซเวอร์รัสรับรู้คืออ้อมกอดเย็นเยือกที่รองรับร่างของเขาไว้ คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงหัวเราะเริงร่าเหมือนเด็กๆดังแผ่วจาง มันสื่อสารกับเขาผ่านเสียงอื้ออึงของน้ำในหู ในที่สุด และเซเวอร์รัสเงยหน้าขึ้น มองเห็นแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่เล็ดรอดผ่านผิวน้ำเบาบาง
มันช่างสวยงาม และเขาคงไม่มีวันเอื้อมถึงมัน
.
.
.
.
.
.
.
.
แถมครัฟ
Epilogue
"จริงๆนะ! คุณคิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้ลงแม่น้ำไปทั้งๆที่อากาศหนาวแบบนั้น!"
ชาร์ลส ทิมเบอรอยด์พึ่งเป็นตำรวจมาได้สองปี เขาพึ่งออกลาดตระเวนเป็นสัปดาห์ที่สองในชีวิตการทำงาน (ก่อนหน้านี้เขาเคยทำอยู่จราจรที่เมืองเล็กๆชื่อดิลบรู๊ค) แล้วก็เจอแจ็กพ็อตเข้าพอดี
ผู้ชายที่เขาพึ่งช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำเมื่อกี้นั่งนิ่งอยู่บนผืนหญ้า ผิวของเขาซีดจนน่ากลัว ริมฝีปากก็ออกจะดูฟ้าน้อยๆ ตัวของเขาสั่นไม่หยุด ชาร์ลสคิดว่าอีกฝ่ายดูหมือนแวมไพร์ เฮ้ ล้อเล่นมั้ง ไอ้สติดีที่ไหนจะมากระโจนลงน้ำตอนมืดๆกัน
"ทำไม..ถึง..ช่วย?" ชายผู้รอดชีวิต (เอาน่า เรียกเขาอย่างนี้ไปก่อนละกัน) ถามเสียงเข้ม เขาทำได้ยังไง ทั้งๆที่เห็นชัดๆว่าฟันกระทบกันดังกึกๆอยู่น่ะ ชาร์ลสแอบสงสัย
"มันเป็นหน้าที่ของผม" ชาร์ลสตอบ ก่อนจะช่วยให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน "คุณต้องรีบเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวจะตายเอาเปล่าๆ อย่างน้อยไปสถานีตำรวจก่อนก็ได้..."
“ขอบคุณ” ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะไม่อยากพูดเสียงสั่นอีกต่อไป เขาเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาแทน “ผมมีธุระ..ต้องทำ”
หมายถึงไปกระโดดลงน้ำอีกรึไง? นายตำรวจชาร์ลสนึกเข่นเขี้ยวในใจ แต่เขาก็ทำอะไรไปไม่ได้นอกจากสละแจ๊กเก๊ตที่ติดตัวมาให้อีกฝ่าย ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็หนาวไม่แพ้กัน ดีนะที่อีกฝ่ายไม่ได้จมไปถึงก้นบึงแม่น้ำเสียก่อน ทีนี้คงได้มางมศพกันแทนล่ะ
“คุณมีญาติไหม อยากให้ผมติดต่อใครให้รึเปล่า?”
ชายผมดำนิ่งเงียบ เขายืนตรงไม่ขยับเขยื้อนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบเบาๆ “ไม่มี”
ชาร์ลถอนหายใจ ก่อนจะดึงตัวของเขาให้เดินตามมา อีกฝ่ายดูตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สังเกตได้จากมือของเขาที่กระตุกน้อยๆราวกับไม่ชินให้ใครมาสัมผัส ทั้งคู่เดินออกมาจนถึงเลนถนนที่เปิดกว้างออกไปสู่ถนนใหญ่ -- จักรยานของนายตำรวจหนุ่มนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น ล้อยังหมุนอยู่น้อยๆเนื่องจากเขาแทบจะบินลงมาจากจักรยาน (เชื่อเถอะ ถ้าใครได้ยินเสียงดัง “ซ่า” ดังลั่นเหมือนมีฐานทัพลับของรัฐบาลโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำคงต้องตกใจกันทั้งนั้นแหละ) เขาชี้ให้ชายผมดำขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย ซึ่งทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากอีกฝ่ายจนเขาเขม็งเหมือนจะสูบวิญญาณออกมาทางตาอย่างไรอย่างนั้น
“โรงพักไม่ไกลมากหรอก แค่ห้านาทีก็ถึง” ชาร์ลสพูด เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“เมอร์ลิน!” ชายผมดำสบถ เป็นคำสบถที่ดูแปลกประหลาดมาก เขามองเบาะหลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเก้ๆกังๆเหมือนไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ชาร์ลสเม้มปากเล็กน้อย
เป็นคืนที่แปลกประหลาดอะไรอย่างนี้
.
.
.
.
.
.
“คุณชื่ออะไร?”
“…โรเบิร์ต”
“นั่นชื่อจริง? ชื่อกลางหรือนามสกุล?”
ชายผมดำไม่ตอบ เขาเสมองไปอีกทาง สายลมที่ระผ่านใบหน้าทำให้เขาดูน่ามองแปลกๆ ดู – โกธิค? ใช่มั้ง คงจะเป็นศัพท์นั้นแหละ ตอนเขาอยู่เรียนในคอลเลจก็มีคนประเภทนี้เหมือนกัน
ชาร์ลสพยายามใหม่
“ทำไมคุณพยายามฆ่าตัวตายล่ะ?”
“ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น”
“…ไม่เข้าใจคุณเลยนะ”
“ไมได้ต้องการ”
หมอนี่แปลกมาก แปลกจริงๆ ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว…
“คุณไม่รู้รึว่าเขาจะถมแม่น้ำนั้นแล้ว? ผมได้ข่าวว่าเขาจัดแผนผังเมืองใหม่ตรงนั้น อีกอย่าง แม่น้ำตรงนั้นมัน…มืดด้วย”
ใช้เวลาสักพักนึง ชาร์ลรู้สึกว่ามือของ ‘โรเบิร์ต’ กำแน่นขึ้นรอบๆชายเสื้อของเขา
“อย่างนั้นรึ?”
“อีกอย่างมีข่าวลือด้วยนะ แถวนั้นน่ะ เมื่อห้าหกปีก่อนมีคนเจอแหวนลอยขึ้นมาด้วยล่ะ ผมจะไม่พูดหรอกนะ – แต่เขาเหมือนมันหลุดมาจาก..เอิ่ม คนใส่…ข้างใต้น่ะ สดๆร้อนๆเลย”
“ใช่ ผมพอจะรู้อยู่บ้าง” เสียงของโรเบิร์ตแผ่วเบาลง เกือบจะเป็นเสียงกระซิบ “…แหวนแต่งงานใช่ไหม?”
“ผมคิดว่างั้นแหละ” ชาร์ลสตอบ
ใกล้จะถึงโรงพักแล้ว เขาเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้ารำไร บรรยากาศเริ่มเย็นสบายขึ้น เขาคิดว่านี่คงใกล้ช่วงเปลี่ยนฤดูแล้ว
“คุณคิดจะทำยังไงต่อไป” ชาร์ลสโพล่งออกมา และรู้สึกอายทันทีที่คำถามเด็กๆนั่นหลุดจากปากเขาไป เขาถูกหัวหน้าตำหนิเสมอว่าชอบทำให้เสียรูปคดี บลาบลาบลา “ผมหมายถึง…เราค่อยไปคุยกันที่โรงพักก็ได้ ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ยังไงผมก็ต้องถามอะไรคุณนิดๆหน่อยๆอยู่แล้ว”
“ไม่จำเป็นหรอก”
ไม่จำเป็น?
โรเบิร์ตคลายมือของจากชายเสื้อของชาร์ลสก่อนที่เขาจะกระโดดลงจากรถ นายตำรวจหนุ่มหยุดจักรยานลงเมื่อเขารู้ว่าน้ำหนักเบาลง เขาหันไปมองด้วยอารามตกใจ
อีกฝ่ายยืนอยู่ข้างๆรถจักรยาน ใบหน้าขาวของเขาราบเรียบท่ามกลางความมืด แต่ในชั่วขณะหนึ่ง ชาร์ลสคิดว่าเขาได้รับรอยยิ้มเล็กๆที่ดูบิดเบี้ยวและแปลกประหลาด – แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนคนที่สิ้นหวังเสียยิ่งกว่าอะไร
“บางที สถานที่ที่ผมต้องการตอนนี้…คงเป็นที่ไหนสักแห่งที่ไม่ต้องมีตัวตน”
อะไรนะ?
“…ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีรู้ว่าผมคือใคร” โรเบิร์ตพูดต่อเหมือนกำลังละเมอ “ที่ๆผมเป็น…อิสระ..”
ชาร์ลสจ้องมอง – ตกใจเล็กน้อย – เขาคุยกับคนบ้ามาตลอดทางเลยหรือ? ไม่ใช่มั้ง โรเบิร์ตดูไม่มีวี่แววอะไรสักหน่อย เขาดูปกติดี แต่ชาร์ลสต้องไม่ลืมว่าเมื่อกี้หมอนี่พยายามฆ่าตัวตายเชียวนะ!
“คุณมีครอบครัวรออยู่ที่บ้านรึเปล่า คุณตำรวจ” อีกฝ่ายพึมพำ ก่อนที่เขาจะพูดต่อโดยไม่รอคำตอบ “ผมไม่มี”
ก่อนที่ชาร์ลสจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็หันความสนใจมาทางเขา นัยน์ตาสีดำดูเข้มข้นและดำมืด เหมือนท้องฟ้าในคืนที่ไม่มีดาวของแมนเชสเตอร์
“ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเราคงไม่มีวันได้พบกันอีก” เขาพูด นุ่มนวล “มันช่างเป็นบทสนทนาที่คุ้มค่าเหลือเกิน” เสียงเขาเหยียดออกนิดหนึ่งตอนท้าย
ชาร์ลสรู้สึกว่ากรามของเขามีเสียงดังกร๊อบจากการที่กัดฟันแน่นเกินไป นี่เขาเป็นอะไรไป?
ชายคนนั้นยก – แท่งไม้ – ในมือขึ้น ก่อนจะชี้ตรงมาที่เขา ชาร์ลสยกมือบังหน้าตนเองตามสัญชาตญาณ แต่เขากลับได้ยินเสียงพึมพำเบาๆแทน
“อ๊อบลิวิอาเต้”
ทุกสิ่งทุกอย่างเลือนหายไปในแสงสีขาว แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามีเสียงกระซิบ “ขอบคุณ” ดังขึ้นเบาๆข้างหู
ช่างเป็นคืนที่แปลกอะไรเช่นนี้
Fin.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in