เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สัมภาษณ์โฮชิโนะ เก็น จาก Flood Magazinegenhoshithfan
ความหลากหลายอันน่าอัศจรรย์ของโฮชิโนะ เก็น (Flood Magazine)
  • สัมภาษณ์โฮชิโนะ เก็น จาก Flood Magazine
    แนะนำให้กดเข้าไปดูค่ะ มีรูปและเพลงของคุณเก็นด้วย

    In Conversation: Gen Hoshino’s Magical Multiplicity

    ความหลากหลายอันน่าอัศจรรย์ของโฮชิโนะ เก็น

     

    21 กันยายน 2020

    โดยคุณ AD Amorosi

    ช่างภาพ Hiroshi Manaka และ Jiro Konami

     

    นักแต่งเพลงหลากหลายแนวคนนี้ได้พูดคุยถึง “สไตล์ของโฮชิโนะ เก็น” ที่ปรับเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ ทั้งเพลงสำหรับเจาะตลาดอเมริกา และการมีส่วนร่วมในเพลงรีมิกซ์ของ Dua Lipa 

     

    โฮชิโนะ เก็น เป็นศิลปินมากความสามารถที่แต่งเพลงอารมณ์ซับซ้อนเข้มข้น ผนวกกับการปรากฏตัวตามละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่วงการหนังสือ ส่งผลให้ดนตรีของเขาเปลี่ยนแนวไปเรื่อย ๆ ในช่วงชีวิต  39 ปีนี้ จากวง

    ป๊อบบรรเลง (วงแรกของเขาคือ SAKEROCK) จนมาเป็นนักร้องเดี่ยวที่เริ่มจากเพลงโฟล์คอเมริกา ขยับไปเพลง EDM ทำนองแปลกหู จนเป็นเพลงพังก์ยุ่ง ๆ หรือเพลงบีทหนักหน่วงที่นำสไตล์ของทุกแนวมารวมกัน ก่อนที่จะเริ่มเขียนเพลงภาษาอังกฤษครั้งแรกกับช่วงวัยที่จะแตะสี่สิบ

     

    นอกจากนี้ การนับคุณฮารุโอมิ โฮโซโนะ แห่ง Yellow Magic Orchestrที่มีสไตล์หลากหลายเช่นเดียวกันนี้เป็นอาจารย์ และเป็นอิทธิพลแรกเริ่มของเขา แนวเพลงของโฮชิโนะก็เหนือกว่าจะตัดสินเป็น J-pop ไปแล้ว ปลายทางของเขาคือที่เดียวกับศิลปินในตำนานแบบ ซากาโมโตะ ริวอิจิ วง YMO, Beck, Prince, Bowie และ Byrne 

     

    นอกจากนี้ โฮชิโนะได้เขียนเพลงภาษาอังกฤษเพื่อแฟนเพลงอเมริกา (เขาเคยเล่นคอนเสิร์ตที่นิวยอร์กในปี 2019 กับเพื่อนโปรดิวเซอร์ Mark Ronson ที่มาแจมเขาบนเวทีด้วย) เขาเองก็เป็นเพื่อนกับ Missy Elliott และ Madonna ตอนทำเพลงรีมิกซ์ ‘Good in bed’ ของ Dua Lipa ในอัลบั้ม Club Future Nostalgia

     

    นอกเหนือจากชื่อเสียงของเขาในญี่ปุ่นแล้ว เขาไปได้ไกลกว่านั้นอีก J-pop ดูจะแคบเกินสำหรับเขาแล้ว

     

    ด้วยการสัมภาษณ์ทาง Zoom และความช่วยเหลือของล่ามข้าง ๆ เขา ทำให้ฉันและโฮชิโนะเจาะลึกประวัติและความลับของอาชีพเขาได้ลึกขึ้น

     

    ช่วยบอกได้ไหมว่าดนตรีเปลี่ยนจากงานอดิเรกไปเป็นความหลงใหลได้ยังไง?

     

                ถ้าพูดถึงการร้องเพลง ตอนแรกก็เป็นแค่งานอดิเรกครับ ถึงจะเรียกว่าร้องเพลงเอาสนุกก็เถอะ ผมก็ได้ร้องให้คนอื่นฟังหลายครั้งเลยนะ มีครั้งนึงที่คนฟังผมเล่นสดร้องไห้เลย ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพลงของผมมีพลังแบบนั้นด้วย ผมชอบดนตรีและอยากยึดมันเป็นอาชีพนะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักร้องเลย ความคิดนั้นเปลี่ยนไปทันทีตอนเห็นคนนั้นร้องไห้ และผมก็คิดเรื่องที่เสียงร้องของผมไปสะกิดใจผู้ฟัง หรือผมสามารถถ่ายทอดอารมณ์อะไรลงในเพลงนั้นได้บ้าง ไม่นานหลังจากนั้น ฮารุโอมิ โฮโซโนะ ก็มามีอิทธิพลต่อผม และผมก็รู้สึกว่านี่เป็นเวลาที่จะเป็นนักร้องจริงจังซักที

     

    ฉันทราบมาว่าฮารุโอมิ โฮโซโนะ นอกจากมีอิทธิพลต่องานคุณ เขาเหมือนเป็นอาจารย์ซะด้วย มีอะไรจะพูดถึงเขาและอิทธิพลของเขาต่องานคุณไหม? คุณในฐานะศิลปินเป็นยังไงบ้าง?

                ตอนที่ผมรู้จักคุณโฮโซโนะ YMO ก็ยุบวงไปแล้ว เขาเองก็วางมือจากวงการเพลงไปซะส่วนใหญ่ และเริ่มทำเพลงแอมเบียนท์ (เพลงที่เน้นเรื่องของเสียงสิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศมากกว่าตัวโน้ต) ตอนนั้นผมอยู่ม.ปลายและเป็นแฟนเพลงของคุณโฮโซโนะสุด ๆ ผมรู้สึกจากใจจริงเลยว่าเพลงของเขาสนุกมาก ถึงเขาทำเพลงไว้เยอะ แต่ไม่มีแนวไหนซ้ำกันเลย ผมคิดว่าแม้เขาจะเปลี่ยนแนวเพลงไปเรื่อย มันก็ไม่เป็นไรเลย ถึงแม้จะไม่ใช้นักร้องก็ร้องเพลงของเขาเองได้ ผมประทับใจมากจริง ๆ ครับ

     

    งานเดี่ยวของคุณสลับไปมาระหว่างเพลงแดนซ์ อิเล็กโทรนิค เพื่อชีวิต หรือแม้แต่โฟล์ค โดยทั่วไปมันจะไม่มาอยู่ด้วยกันเลยนะ คุณเชื่อไหมว่าจะทำมันได้?

     

                สิ่งนึงที่ผมได้เรียนรู้จากคุณโฮโซโนะก็คือ “ไม่ว่าจะเป็นแนวอะไร ทำเพลงที่ชอบก็พอ” การฟังเพลงของคุณโฮโซโนะยิ่งย้ำความคิดในหัวผมเข้าไปอีกว่า “อันนี้น่าสนใจนะ อยากทำเพลงแบบนี้จัง” หรือ “ถ้ารวมเพลงแนวนี้กับแนวนั้น แล้วก็พลิกแพลงเข้าแนวของเรานิดหน่อย มันต้องสุดยอดแน่ ๆ” ไม่เคยรู้สึกเลยว่าแต่ละเพลงของเขาเป็นการด้นสดไปเรื่อย หรือแค่ทำเพราะได้เงิน ผมรู้สึกว่าเขาทำเพลงเพราะชอบมันมากจริง ๆ 

     

                เอาเข้าจริงผมก็ฟังเพลงดัง ๆ เพลงอื่นนะ รวมถึงเพลงของศิลปินญี่ปุ่นคนอื่นด้วย แต่ผมจะไม่ให้เขามีอิทธิพลต่อผมเด็ดขาด ผมจะทำเพลงที่ผมอยากทำ แนวเพลงไม่ได้ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนแต่แรกอยู่แล้ว ขอบเขตของแต่ละแนวไม่เคยชัดเจนด้วยซ้ำ ผมแค่ทำสิ่งที่ผมอยากจะทำ 

     

    “ตอนผมทำอัลบั้ม ความรู้สึกของผมต่อเพลงของผมมันเอ่อล้นไปหมด ผมคิดอยู่เสมอว่าจะนำมุมมองชีวิตของผมถ่ายทอดลงไปยังไง”

     

    อัลบั้ม Yellow Dancer อาศัยทำนองแบบคนดำ บางคนมองว่านี่เป็นการฉกฉวยวัฒนธรรมมาใช้ บางคนก็มองว่าเป็นแค่อิทธิพล และคุณล่ะรู้สึกยังไง?

     

                ผมอยากพูดถึงรากฐานของเพลงผมสักหน่อย มันเริ่มมาจากหนังเรื่อง The Blues Brothers ที่เคยดูมา ทำให้ได้ฟังเพลง R&Bบลู และแจ๊ส เหมือนมันเปิดประตูให้ผมเข้าไปเจอโลกแห่งเสียงเพลง ตอนที่พ่อแม่ผมยังหนุ่มสาวอยู่ พวกเขาอยากเป็นนักดนตรีแจ๊ส ก็เลยเล่นเพลงแจ๊สและเพลง R&B ที่บ้านทุกวันเลย ผมอยากทำเพลงที่ต่อยอดมาจากรากฐานพวกนั้น ก็เลยเป็นที่มาของอัลบั้ม Yellow Dancer


    “จริง ๆ ผมชอบเต้นนะ แต่ผมรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีพื้นฐานการเต้น เวลาไปคอนเสิร์ต ผู้ชมก็จะมองรอบข้างก่อนเริ่มเต้น ผมอยากให้เขาได้เต้นโดยไม่ต้องสนใจอะไร ด้วยความคิดแบบนั้น ก็เลยตั้งชื่ออัลบั้มว่า Yellow Dancer นั่นเอง”

     

                ในตอนนั้น ผมอาศัยส่วนประกอบดนตรีของคนดำในงานเพลงของผม และด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นคนญี่ปุ่นเต้น ผมเลยเรียกเพลงของผมว่า yellow music ไม่ใช่เพราะว่าอยากเลียนแบบวัฒนธรรมของคนดำหรอกนะครับ ผมแค่อยากให้ตลาดเพลงญี่ปุ่นหันมาฟังเพลงของผมและเข้าใจความอยากให้เต้นของผมด้วย พอมาย้อนคิด ๆ ดู การตั้งชื่อแบบนั้นมันผิด เพราะอัลบั้ม Yellow Dancer ได้รับอิทธิพลจากคนดำมามาก และก็ได้รับอิทธิพลมากจากดนตรีประเทศอื่นรวมถึงญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ผมจะแต้มสีอะไรให้เพลง แต่ผมกลับรวมทุกแนวเพลงเป็นสีเหลืองนั้นสีเดียว

     

    คุณทราบเรื่อง Black Lives Matter ที่เกิดขึ้นในอเมริกาไหม?

     

                ครับ ผมทราบดี และสนับสนุนอย่างเต็มที่จากใจจริง ผมไม่ต้องการให้เกิดการแบ่งแยก ยังมีหลายเรื่องเกี่ยวกับ BLM ที่ผมยังไม่เข้าใจ และผมก็อยากจะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่มีผู้คนมากมายเกี่ยวข้องด้วยอย่างนี้ เพราะอย่างนั้น ผมเลยอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเด็นนี้มากขึ้น และก็ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด ที่ญี่ปุ่นเรื่องนี้แทบไม่เป็นข่าวและมีข้อมูลน้อยมาก ผมเลยคิดหาวิธีจะแบ่งปันสิ่งที่ผมรู้กับแฟนคลับ ดังนั้นก็ลงลิ้งค์ต่าง ๆ ในอินสตาแกรม เช่น หนังเรื่อง 13th และบทความหรือหนังสือที่ข้อมูลมา

     

    คิดยังไงกับการแบ่งหมวดเพลงง่ายๆ เป็น J-pop กับ K-pop?

     

                ประมาณปีก่อน ผมรู้สึกว่า J-pop มีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่หลังจากได้ทำงานกับศิลปินต่างประเทศคนอื่นและไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างประเทศมา ผมก็รู้สึกว่าเพลงของผมมันไม่ใช่  J-popพอมาคิดดูดี ๆ แล้ว มันก็จะมีแนวย่อยในเพลงแต่ละแบบอีก ขนาดปัจจุบันก็ยังไม่ได้จบที่ J-pop เลย ขอบเขตของแนวเพลงกำลังจะหมดไป นั่นคือเหตุผลที่ผมอยากจะมีชื่อเรียกแนวเพลงผมเอง ในตอนนี้เพลงของผมถูกจัดว่าเป็น J-pop บน Apple Music และ Spotify แต่ผมก็อยากคิดชื่อใหม่ให้สอดคล้องกับเพลงของผม และจะเปลี่ยนมันเมื่อถึงเวลา

     

    อัลบั้มล่าสุดของคุณ Pop Virus เป็นตัวแทนของคุณและดนตรีของคุณ คิดยังไงกับมัน คุณรู้สึกหรือเปล่าว่ามันเป็นจุดจบของช่วงเวลานึงเพื่อเริ่มบทใหม่ของอาชีพคุณ?

                

    อย่างที่คุณพูดแหละครับ มันปฏิเสธไม่ได้ว่า Pop Virus คือผลงานในวงการของผมโดยรวมจนถึงตอนนี้ พอมีคนฟังเพลงผมมากขึ้น ผมก็อดหัวเสียเล็ก ๆ ในใจไม่ได้ ตั้งแต่เพลงที่ผมมองว่ามันเป็นเพลงป๊อบ กับเพลงที่คนทั่วไปมอง

    ว่ามันคือเพลงป๊อบ เพลงป๊อบที่ผมอยากทำน่ะไม่ได้ติดชาร์ต และถึงแม้ผมอยากทำเพลงฮิปฮอปมาก ญี่ปุ่นก็มีศิลปินฮิปฮอปน้อยจริง ๆ มันทำให้ผมหงุดหงิดใจ ความตั้งใจหลักของ Pop Virus คือการรวมเพลงที่ผมรัก หรือแนวป๊อบในความคิดผม มารวมกันในเพลงเหมือนไวรัสที่ติดผู้คน ให้เพลงป๊อบของผมเขาไปอยู่ในใจเขาได้บ้าง

     

    ทำไมถึงเลือกทำเพลงภาษาอังกฤษในซิงเกิล Same Thing ล่ะ?

     

                ตอนที่ผมตัดสินใจจะทำเพลงกับ Superorganism จะเขียนเพลงญี่ปุ่นก็ได้ แต่ผมแค่อยากลองทำเพลงภาษาอื่นดูบ้าง คุณโอโรโนะนักร้องของวง จริง ๆ เขาเป็นเพื่อนที่ดีมากของผมเลย เขาเขียนเพลงและร้องเป็นภาษาอังกฤษ และเขาก็ช่วยผมเขียนเพลงภาษาอังกฤษของตัวเองด้วย เหตุผลที่ผมสนใจกระบวนการทำเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ก็เพราะผมสนใจในวัฒนธรรมของชาติที่พูดภาษาอังกฤษ อย่างที่ผมได้บอกไปว่าพ่อแม่ของผมอยากเป็นนักดนตรีแจ๊ส ดังนั้นก่อนผมเกิดพวกเขาก็ไปนิวยอร์กบ่อยมาก ตอนเด็กผมเลยได้ฟังเรื่องราวนับไม่ถ้วยเลยว่าพวกเขาเจอนักดนตรีที่อาศัยที่นั่นและทำตัวกลมกลืนกับวัฒนธรรมที่ผสมมากมายขนาดนั้นได้ยังไง ผมอยากไปนิวยอร์กมาก อยากพูดภาษาอังกฤษและสื่อสารกับคนที่นั่นด้วยตัวเอง ผมคิดว่ามันคงจะดีถ้าทำแบบนั้นผ่านเพลงได้ด้วย

     

    ล่าสุดนี้คุณได้ร่วมรีมิกซ์เพลงของ Dua Lipa พวกคุณรู้จักกันได้ยังไง? ทำไมเลือกเพลง Good in Bed?ทำไมได้อยู่ในอัลบั้มเดียวกับ Missy Elliott และ Madonna?

     

                ผมได้ร่วมงานกับ Tom Misch ในเพลง Same Thing และเราก็สนิทกันนับจากนั้น วันนึง ผู้จัดการของทอมถามผมให้ช่วยทำอัลบั้มรีมิกซ์ของ Dua ผมที่ชอบ Dua เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยตกลงไปทันที “ครับ ทำครับ!” ก็ประมาณนั้นล่ะครับ ผมมานั่งฟังเพลงทั้งหมดใน Future Nostalgia แล้วก็ได้ไอเดียการรีมิกซ์เพลง Good in Bed โดยอัตโนมัติเลย ก็เลยถามไปว่า “จะเป็นอะไรไหมถ้าผมขอทำเพลงนี้” และทีมงานของ Dua ก็ชูนิ้วโป้งให้ ผมดีใจมากตอนที่รู้ว่าพวกเขาชอบเพลงรีมิกซ์นี้ และผมก็แปลกใจมากตอนรู้ว่า Missy กับ Madonna ก็อยู่ในอัลบั้มนี้เหมือนกัน ผมเองก็รู้เท่า ๆ คนอื่นนั่นแหละ และตอนรู้ว่า Mark Ronson ก็ทำด้วย ผมเลยบอกไปว่า “เฮ้ย นั่นเพื่อนผมนี่” ผมตื่นเต้นจริง ๆ ครับ

     

    เทียบจากว่าคุณทำอะไรในเพลง Same Thing พอได้รับอิทธิพลอเมริกามาบ้างมันส่งผลอะไรกับคุณบ้าง?

     

                Same Thing เป็นการเดินทางครั้งสำคัญของผม ผมรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ และได้เจอผู้คนหลากหลาย มันทำให้ผมรู้ว่าจริง ๆ แล้วเพลงของผมคืออะไร เมื่อได้ทำ Same Thingผมเลยได้รู้สึกถึงความรักบริสุทธิ์ที่ผมมีต่อดนตรี หลังจากที่ Pop Virus ประสบความสำเร็จอย่างมาก  และเรื่องที่ผมถูกล้อมรอบด้วยความประสาทที่ผมเรียกง่าย ๆ ว่าตลาดเพลงญี่ปุ่น ผมก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย 

     

    “ต่อจากนี้ไป ผมไม่อยากนิยามว่าเป็นเพลงแนวไหนอีกแล้ว ผมอยากเป็นศิลปินที่ทำเพลงแนว โฮชิโนะ เก็น 

     

    เป็นเพลงแนวที่ผมเพิ่งรีมิกซ์ของ Dua ไป หรือทำเพลงใหม่แบบโฆษณาครบรอบ 35 ปี Super Mario Bros

     

    เพลงแรกที่คุณหลงรักคือเพลงอะไร?

     

    น่าจะเพลงในฉากโบสถ์ของ Blues Brothers ผมคิดว่านะ James Brown ร้องเพลงขอบคุณพระเจ้า และทุกคนก็เต้นตาม ผมคิดว่าเหมือน John Belushi เลยครับ รู้สึกเหมือน “เห็นแสงสว่างแล้ว” และก็ตกหลุมรักกับเพลงตั้งแต่วินาทีที่ได้ดูฉากนั้น ผมรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายเลย


    ---

     

    แวะมาคุยกันได้นะคะ :3 twitter: @genhoshithfan

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in