เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
For Energetic Nights, etc.เรียกเนี้ยวก็ได้
For Energetic Live : SOUNDBOX DNCE
  • SOUNDBOX - DNCE

    รวมพลคนดีด ฉลองปีล้มละลายของฟอร์เอนฯ

    ไม่ได้มาเล่าประสบการณ์เอนเนอร์เจติกไนท์นานมาก แม้แต่เพลย์ลิสต์ก็ไม่มาอัพเดต เรายังไม่ตายนะ แต่ช่วงสามสี่เดือนก่อนมีปัญหาส่วนตัวนิดหน่อยที่ทำเอาเป๋ไปช่วงหนึ่ง ที่จริงยังไม่เข้ารูปเข้ารอยเท่าไหร่ ปลายปีคงดีขึ้น...ฟังดูเหมือนคอลัมน์ทำนายดวง แต่สภาพจิตใจเราโอเคแล้ว มีแรง มีเวลา แต่ก็แกลบเหมือนเดิม ถถถถถ

    ได้ข่าวรอบที่แล้ววงที่เราอยากดูก่อนตายมาเมื่อเดือนเมษา แต่ไม่ได้เขียนด้วยติดพันธุระหลายอย่าง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหอบไว้เขียนในวันครบรอบหนึ่งปี ไม่รู้จะถ่ายทอดความรู้สึกแห้งๆ ผ่านภาพและวิดีโอออกมาได้ดีแค่ไหน แน่นอนว่าคงไม่ดีเท่ากับความรู้สึกสดใหม่หลังคอนเสิร์ตจบ แต่ไหนๆ ก็ผ่านมานานมากแล้ว ขอแปะไว้รอบหน้าก่อนแล้วกัน ระหว่างนั้นก็ดูภาพบรรยากาศที่ transfer ลงฮาร์ดดิสก์ไปก่อน ดูทีไรก็คิดถึงวันนั้นทุกทีสิพับผ่า

    สำหรับคอนเสิร์ตครั้งล่าสุดนี้ อาจจะมีคนเล่าไปแล้วหรืออย่างไรก็ตาม ขอเราได้เล่าบ้าง พอดองไว้สักสี่ห้าวันก็ชักจะไม่สดใหม่ ไม่เหมือนคอนเสิร์ตแรกที่เราโม้เหม็นลงมินิมอร์ ไม่เป็นไร เราไม่ใช่นักรีวิวมืออาชีพ เป็นคนกากๆ ที่ชอบดูคอนเสิร์ตคนหนึ่ง แปลกใจว่าปีนี้ตำไปสามงานแล้ว...เยอะกว่าทุกปีที่ผ่านมา แน่ล่ะ สัดส่วนเพิ่มตามจำนวนศิลปินที่แวะมาเยี่ยมเยียน นี่ยังอยากไปอีกหลายๆ งานที่เหลือใน 4 เดือนสุดท้ายของปีอยู่นะ ข้อจำกัดมีไม่กี่อย่างหรอก ไม่ supply ก็ demand

    เริ่มเลยดีกว่า



    1

    บัตรฟรี


    ว่ากันด้วยเรื่องคอนเสิร์ตยิบย่อยในช่วงหนึ่งเดือนนี้ที่เราอยากไป มีไม่กี่งานหรอก 4-5 วงเอง ไม่เยอะเท่าไหร่ แค่พอกระเป๋ากรอบ... เรา Rank DNCE อยู่ในลำดับรั้งท้าย สู้วงดูโอคู่รักนักปิดผับเมื่อต้นเดือน วงที่บอกว่า I Love You So Bad หรือวงนกในตำนานที่กำลังจะมาไม่ได้เลย

    แต่เสือกได้บัตรฟรี - จากเกมชิงรางวัลของคลื่นวิทยุคลื่นหนึ่ง

    เป็นที่ทราบว่าการแจกบัตรคอนเสิร์ตฟรีร้อยทั้งร้อยแจกสองใบ ไม่มีใครบ้าจี้แจกใบเดียว ทีนี้ใครจะไปด้วยล่ะ...

    ได้ งั้นลองหาคนในทวิตเตอร์ ต้องมีคนรู้จักในนั้นที่มีคนรู้จัก (อีกที) ที่อยากไปดูวงนี้บ้างล่ะวะ!

    แล้วก็ได้เพื่อนในทวิตที่คุ้นหน้าค่าตากันดีจากเดือนเมษาไปลุยด้วยกันอีกรอบ

     


    2

    200 กว่ากิโลเมตร

     

    คือระยะห่างจากบ้านเกิดที่เราต้องกลับมาเรียนต่อกับสถานที่จัดงาน ไม่ไกลหรอก สี่ชั่วโมงชิคๆ

    เทียบกับงานจับมือไอดอลปลายเดือนนี้แล้วเราสงสัยตัวเองว่า ทำไมกูตัดสินใจเทงานนั้นแล้วมาดูวงที่กูอยากดูแต่ไม่ดูก็ได้ซะงั้นวะ คำตอบลอยมาทันที...เพราะงานนี้ฟรี

    ต่อให้ไม่ฟรีก็ยอมมาอยู่แล้ว ถ้าเงินในบัญชียังเหลือในเลเวลที่ซื้อบัตรอีก 4-5 งานที่พลาดไปแล้วและที่ยังมาไม่ถึงได้แบบไม่ต้องกินแกลบทุกเดือน

     


    3

    gnash


    เพราะ One Hit Wonder ของแนช ทำให้เราเข้าใจว่า แนช-เป็น-ผู้หญิง-เท่ๆ-เหมือน-คริสเทน-สจวร์ต-เพราะ-ภาพนี้! (น่าจะจำสลับกับ Halsey ที่ดังไล่เลี่ยกัน)

    ขอโทษที่ไม่ได้สังเกตคอ...

    เริ่มด้วยดีเจขึ้นมาเปิดเพลงวอร์มให้คนดูได้ขยับร่างกายกันนิดหน่อย จากนั้น gnash หรือชื่อจริงคือ Garrett Charles Nash กับนักดนตรีแบ็คอัพอีก 2-3 คนจึงปรากฏตัวบนเวทีกับวิชวลทุ่งลาเวนเดอร์บนจอด้านหลัง โลโก้ประจำตัวที่สื่อความเป็นแนชได้ชัดเจนมากๆ ขาไมค์พันด้วยเถาวัลย์และโต๊ะดีเจประดับดอกไม้หลากสี คนที่รู้จักเขาจากเพลงฮิตเพลงเดียวอย่างเราถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตกลงเขาร้องเพลงแบบไหนกันแน่ (วะ) i hate u, i love u หม่นมาก โคตรขัดกับขาไมค์และโต๊ะซินธ์ประดับดอกไม้เลย!

    จะทัวร์แบบไม่เล่นเพลงฮิตที่ว่าก็ไม่ได้ เพราะทั้งช่วงที่เขาขึ้นโชว์ คงจะมีเพลงนี้เพลงเดียวที่คนดูร้องได้และร้องดังที่สุด แต่สำหรับเพลงอื่นๆ ที่อาจเคยได้ยินหรือไม่ได้ยินมาก่อน เช่น something, Bad 4 U, i could change your life, tell me it’s okay ซึ่งดนตรีโคตรจะสดใส มีความร่าเริงในจังหวะที่ขยับตัวตามได้ จะกระโดดไปพร้อมกับชายหนุ่มร่างผอมบางบนเวทีก็ได้ แนชทำให้เพลงที่คนไม่ใช่แฟนเพลงไม่รู้จักได้รู้จัก ได้กลับบ้านไปเปิดฟังทีหลัง ที่สำคัญคือเสน่ห์บนเวทีของหนุ่มวัย 24 ปีจากแอลเอคนนี้ไม่ได้มาจากหน้าตาแบบพิมพ์นิยม แนชไม่ใช่คนหล่อนักในสายตาเรา แต่ลีลาการ interact กับคนดู การกระตุ้นให้เราสนุกไปกับโชว์ที่เขาตั้งใจทำ ลีลาการแร็พในหลายเพลงที่เขาแต่งเอง ความร่าเริงสดใสทั้งจากอินเนอร์และบทเพลงของเขาต่างหากล่ะ ที่ทำให้เราและกลุ่มคนดูสาวๆ รอบๆ กรี๊ดกร๊าดหลังจากเขากล่าวขอบคุณและลงจากเวทีไป ใช่...เขาน่ารัก เพื่อนที่เป็นแฟนเพลงเขามาก่อนทุกคนยืนยันว่าแนชน่ารักจริงๆ

    ปิดท้ายโชว์ของหนุ่มนักร้อง นักแต่งเพลง ดีเจและแร็พเปอร์คนนี้ด้วยเพลง F**k Me Up ที่แนชขอให้เราๆ เก็บมือถือลงและชูนิ้วกลางขึ้นฟ้าแด่คนที่เข้ามา f**k up ในชีวิต ปลดปล่อยความรู้สึกฉิบหาย หรืออื่นๆ อีกมากมาย

    คนดีดนี่มันดีดจริงๆ


    เพลงที่เราอยากแนะนำแต่แนชไม่ได้เล่นบนเวที: Tülpa & BLANKTS - Kiss Fight ft. gnash



  • 4

    Sekai No Owari

     

    (source: http://www.jpopthailand.com/th/archives/tag/sekai-no-owari)

    วงดนตรีอินดี้ร็อกจากญี่ปุ่นที่เราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ไม่สนใจจะดูหน้าตาสมาชิกวง ไม่เคยฟังเพลงของเขามาก่อนด้วย เดาไม่ถูกเลยว่าจะขึ้นมาเล่นเพลงแบบไหนกันนะ...

    Sekai no Owari หรือชื่อภาษาอังกฤษ (ที่ดูเหมือนวงจะโปรโมตกันด้วยชื่อนี้มากกว่า) ว่า End of the World ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ได้แก่ฟรอนต์แมน Fukase, มือกีตาร์หนุ่มแว่น Nakajin, นักเปียโนสาวสวยหนึ่งเดียวของวงอย่าง Saori, และ DJ Love รับตำแหน่งดีเจประจำวง



    ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเปิดโชว์ด้วยเพลงอะไร แต่เรากลับชอบเพลงนี้ขึ้นมาทันทีที่ฟัง เพลงที่มีเสียงกีตาร์อื้ออึง สลับกับความอ่อนหวานจากเปียโนของซาโอริ ทั้งที่เราได้ยินฟุคะเสะร้องคำว่า ‘stargazer’ แต่เสิร์ชเท่าไรก็ไม่พบเพลงที่ดนตรีตรงกันเลย

    ถึงจะบอกว่าเป็นวงอินดี้ร็อก แต่กีตาร์ เปียโน และซินธิไซเซอร์จากฝีไม้ลายมือของพวกเขาในการเล่นสด เราว่าเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อม เมคอัพแนวแฟนซีของดีเจเลิฟไม่ได้ทำให้วงดูเกรี้ยวกราด กลับกันยิ่งเพิ่มความสดใสในเมโลดี้ ปฏิเสธไม่ลงว่าเรา stereotype เพลงญี่ปุ่นให้คล้ายเพลงการ์ตูนไปเสียหมด เพลงของเซะไคฯ ไม่คล้ายเพลงการ์ตูนไปซะทีเดียว ทว่ามีกลิ่นอายของโลกแฟนตาซีผสมอยู่ในสัดส่วนไม่น้อย

    เพลงที่เซะไคฯ เล่นในค่ำคืนนั้นมีเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด สำเนียงการร้องของฟุคะเสะไม่ใช่สำเนียงอังกฤษแบบญี่ปุ่นจ๋าอ่านคะตะคะนะ กลับฟังง่าย รื่นหู อาจง่ายกว่าวงเนทีฟหลายวงเสียด้วยซ้ำ แอคติ้งหลายอย่างบนเวทีบ่งบอกว่าพวกเขาคือวงร็อกสัญชาติญี่ปุ่นแท้ๆ (จนแอบมีกลุ่มข้างๆ ถามกันเองว่าไปโดนตัวไหนมา) เทคนิคการทำให้คนดูสนุกไปกับเพลงของพวกเขาเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องทำอะไร ดนตรีไม่เน้นกระโดดหรือให้ส่งเสียงออกมาดังๆ แต่เน้นการเข้าถึงอารมณ์ต่างหาก และแล้วสี่หนุ่มสาวจากญี่ปุ่นก็ทำสำเร็จ เพลงของพวกเขาทั้ง One More Night, Mr. Heartache และเพลงอื่นๆ รวมถึง All We Know - คัฟเวอร์จากดูโอดีเจชื่อดังอย่าง The Chainsmokers - ก็เข้ามาอยู่ในความทรงจำของเราเรียบร้อย


    โดยเฉพาะวินาทีที่ดับไฟทั้งเวทีแล้วให้ซาโอริ สาวผมทองนักเปียโนได้โชว์ฝีมือด้วยการโซโล่...มันสุดๆ ไปเลย


    เพลงที่เราอยากแนะนำ: End of the World - One More Night





    5

    DNCE

     

    คนที่ดีดที่สุดของคืนไม่ใช่ gnash แต่เป็น Cole Whittle มือเบสของ DNCE กับซิกซ์แพ็คปากกาเคมี กางเกงมวยและเสื้อคลุมตัวยาวของเขาต่างหาก! นี่มันวงอะไร บ้าพลังฉิบหาย!

    เปิดมาด้วยสมาชิก 4 คน ได้แก่ Joe Jonas, Lee Jin Joo, Jack Lawless และตาโคลในหน้ากากสิงโตวิ่งไปทั่วเวทีด้วยพลังที่เปี่ยมล้น กับธงที่มีตัวอักษร ‘team DNCE’ และโชว์ของพวกเขาก็เริ่มที่เพลง Naked

    กว่าหนึ่งชั่วโมงที่เราได้พบกับพวกเขาทั้งสี่คน เรียกได้ว่าขนกันมาเกือบทุกเพลงที่วงได้ทำตั้งแต่เดบิวต์ ‘เกือบ’ ทุกเพลงจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่มี Be Mean ที่ดันเป็นเพลงโปรดเรา ซึ่ง DNCE ไม่เล่น! นี่คงเป็นข้อพิสูจน์ของวลี ‘นกอยู่ที่ไหนก็นก’ ที่เรามักใช้แซวตัวเองบ่อยๆ จะว่าเนื้อหาล่อแหลมก็ไม่ใช่...เพราะเพลงส่วนใหญ่ของดีเอ็นซีอีล่อแหลมชนิดที่ว่าถ้าคนร้องหน้าตาแย่กว่าโจ โจนาส (คืนนี้เคราครึ้มไปหน่อยนะโจ) ก็กลับบ้านไปนอนได้เลย เสียใจด้วย คุณไม่ได้เหยื่อกลับบ้านจ้า ลาก่อย


    เกือบทุกเพลงที่ว่า ไล่มาตั้งแต่ Naked,Body Moves, Doctor You ...จำได้ว่ามีมากกว่านี้ อาจมีตกหล่น เมื่อจบช่วงของเพลงเร็วที่ทำให้เราได้เต้นหาอะไรกันพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าสู่ช่วงอะคูสติกโชว์ อย่าคิดว่าชื่อวงดูแดนซ์ๆ จะไม่มีเพลงช้า บอกแล้วว่าเล่นเกือบทุกเพลงในอัลบั้มทั้ง Almost, Truthfully และ Jinx จาก EP: Swaay ที่ไม่ได้ใส่มาในอัลบั้มเดบิวต์ชื่อเดียวกับชื่อวง และช่วงนี้แหละที่โจขอให้ผู้ชมข้างล่างช่วยเปิด flashlight จากมือถือ ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จะว่าไปตลอดโชว์โจไม่ได้มีปัญหากับการใช้มือถือของผู้ชม ไม่ได้ยินเขาขอให้เรา put your phone down and enjoy the show กลับกันเป็นเขามากกว่าที่เล่นกับมือถือซะเอง ไม่เซลฟี่กับสมาชิกกับผู้ชมข้างล่าง ก็ใช้กล้องหลังถ่ายไปเรื่อย เออ เอากับเขาสิ

    อ้อ ช่วงแรกที่ก่อนจะตัดเข้าอะคูสติก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเล่นเพลงของ David Bowie และศิลปินอีกคน (เราดูวิชวลไม่ออก) เพื่อทริบิวต์ให้ศิลปินทั้งสอง ซึ่งเราว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ ทีแรกเราคิดว่าจะเล่นแค่เพลงตัวเอง...จริงๆ ก็น่ายินดี


    ให้เราได้พักเหนื่อย (ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงพักของดีเอ็นซีอีเองมากกว่า) พอชื่นใจแล้วก็กลับไปดีดกันต่อ ทั้งเพลงฮิตและเพลงไม่ฮิต พวกเขาก็ได้ขนมาปาใส่พวกเราอย่างจุใจ เพลงที่คุ้นหูอย่าง Kissing Strangers, Toothbrush, Pay My Rent และ...เรียกว่าที่เหลือเถอะ ก็เร้าใจเสียจนกระโดดกันไปหลายยก ปิดท้ายโชว์สุดพิเศษของวันนี้ด้วยเพลงฮิตที่สุดของแจ้ เอ้ย ของโจ (และผองเพื่อน) - Cake by the Ocean - ก่อนที่พวกเขาจะบอกลาเราด้วยพลังที่ยังเหลืออีกบานตะไท (เหลือแค่ไหนโคลก็กระโดดตีลังกาโชว์ส่งท้ายได้แล้วกัน) และปล่อยให้เราแยกย้ายกันกลับไปนอน

    เราเคยอ่านสตอรี่บนถนนสายดนตรีของจินจู มือกีตาร์สาวชาวเกาหลีแล้วรู้สึกทึ่งในสปิริตของสาวตัวเล็กคนนี้มากๆ จากที่อยากดูพวกเขาเล่นสดสักครั้งก็ยิ่งอยากดูเข้าไปอีก และทุกคนในดีเอ็นซีอีก็ไม่ทำให้เราผิดหวังในพลังงาน ความตั้งใจ และคุณภาพของโชว์ที่แบบ...ต่อให้ซื้อบัตรด้วยราคาเต็มเอาจริงยังคุ้มเลย คุ้มฉิบหายวอดวาย คุ้มจริงๆ ยิ่งกว่าคุ้มคุ้มทุกสิ่ง จินจูดูมีองค์พี่สาวคนคูลลงตลอดเวลา คูลแค่ไหนกลุ่มชายฉกรรจ์ใกล้ๆ ยังส่งเสียงเชียร์เธอ โดยเฉพาะวินาทีที่ถอดแว่นกันแดดออก...น่ารัก น่ารักเกินไป ใจบางอีกแล้ว

    ดีดขนาดนี้จะไม่แจกของก็ไม่ได้...ใช่ เราไม่ได้ แค่เฉียดไปนิดเดียวเท่านั้น ลาภลอยไปตกอยู่ที่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่กรี๊ดจินจูนั่นล่ะ

     

    เพลงที่เราอยากแนะนำและไม่ใช่ Be Mean: ไม่มี! ไปหาเอง ขี้เกียจแล้ว



    6

    เกมหาทางออก


    เซ็นทรัลเวิลด์เป็นห้างฯที่เลื่องชื่อในด้านผังที่งง โคตรงง และหาทางออกยาก เวลาห้างเปิดไม่เท่าไร ปกติเราไม่ค่อยหลงเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ตกกลางคืน สี่ทุ่มครึ่งเวลางานเลิก ห้างฯ ปิดเท่านั้นล่ะ รปภ. จะคอยคุมทางเดินว่าเราต้องเดินไปทางนี้ เดินไปทางนั้นจะมีทางออก หรือลงบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆ ก็ได้แล้วแต่ ไฟสลัวๆ ที่ไม่คุ้นเคยก็ทำเอาเกือบหลงได้เหมือนกัน

    สี่ทุ่มครึ่ง คนยังคลาคล่ำในทุกที่ที่เราไปออกจากห้างฯ เดินบนสกายวอล์ก สถานีรถไฟฟ้า ลงสถานีใหญ่ที่คนพลุกพล่าน เดินต่อไปที่พักอีกหน่อยไม่ไกลเท่าไร

    เศษกระดาษจากเครื่องยิงคอนเฟตตี้ยังหล่นตามทางเดินห้องน้ำโฮสเทล

     

    ใช่ เราเคยเข้าไปเยือนที่นั่นมาแล้วจริงๆ






    7

    End Credit

    ให้ดูความกวนตีนของแนช


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in