ถ้าจะพูดถึงสถานที่ในโลกที่เราใฝ่ฝันมาตลอดว่าต้องไปให้ได้ซักครั้ง ที่นั่นคงหนีไม่พ้นชนบทซักแห่งในอิตาลี และแน่นอนว่าตอนแรกที่เห็นรอสเตอร์ของตัวเองในเดือนนี้ก็อดดีใจไม่ได้ว่าจะได้มาทัสคานีกับเขาจริงๆซักที :)
หลังผ่านหกชั่วโมงของการทำงาน ในที่สุดเครื่องบินก็แลนด์ถึงสนามบิน Galileo Galilei international airport บอกตรงๆว่าเห็นชื่อสนามบินครั้งแรกก็อดคิดถึงหนังเรื่องหนีตามกาลิเลโอไม่ได้ แถมบรรยากาศรอบๆยังตกแต่งด้วยภาพวาดโรมิโอกับจูเลียต ชวนให้คิดถึงวิชาวรรณกรรณสมัยเรียนเป็นไหนๆ
หลังจากเก็บกระเป๋าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เราจึงเริ่ม (กึ่ง) unplanned trip สองคนกับแผนที่หนึ่งใบ เราออกจากโรงแรมในเมือง Tirrenia เพื่อตรงไปยัง Pisa ด้วยความหวังว่าวันนี้ต้องได้รูปแบกหอเอนดีๆซักรูปแหละน่า
ครั้งนี้เราเดินทางด้วยรสบัส ตลอดทางเต็มไปด้วยวิวของทุ่งหญ้า สวนส้ม บ้านเรือนเล็กๆตกแต่งด้วยสีสันที่ตัดกันกับธรรมชาติชวนให้เรามองไม่เบื่อ (ถ้าใครมีโอกาสมาเที่ยวบรรยากาศแบบนี้ แนะนำให้พก spotify กับเพลย์ลิสดีๆระหว่างทางจะเยี่ยมไปเลย) อีก 20 นาทีถัดมา รถจึงมาจอดที่สถานีปีซ่า
(ตึกรามบ้านช่องในอิตาลี หลายหลังตกแต่งด้วยสีสดใส ตัดกับต้นไม้ริมระเบียง มียอดโบสถ์ ร้านรวงสลับกันไป)
แต่ใช่ว่าจะถึงที่ิหมายซะทีเดีียว เราต้องเดินต่อไปอีกราว20นาที ระหว่างทางเต็มไปด้วยร้านรวง เสื้อผ้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักช้อป แต่สำหรับเรา แค่ได้เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็มีความสุขมากๆแล้ว
(แหล่งเสื้อผ้าและร้านขายของฝากย่านปิซ่า แม้แต่ H&M ยังแปลกตาจนเราอดหยุดลั่นชัตเตอร์ไม่ได้)
ข้อดีอีกอย่างของอิตาลีคือ อาหารอร่อย ไม่ว่าจะเป็นขนม ของคาว อะไรๆก็ถูกปากเราไปหมด ระหว่างทางที่เดินไปหอเอนเลยอดแวะร้านขนมไม่ได้ หลังจากลังเลเลือกร้านอยู่นาน สุดท้ายเลยจบลงที่ขนมชิ้นละ 1.6 ยูโรอันนี้ประทังหิวไปพลางๆ และคุณลุงเจ้าของร้านยังช่วยแนะนำทางไปหอเอนกับเราอย่างใจดีอีกด้วย
(เราเองก็เรียกชื่อขนมไม่ถูก ฮ่าฮ่า ข้างนอกเป็นแป้งกรอบๆ ตัดกับช็อคโกแลตรถชาติคล้ายเฟอร์เรโร่ข้างใน อร่อยอย่าบอกใครเชียว)
ในที่สุดเราก็มาถึงหอเอนเมืองปิซ่า นับเป็นโชคดีที่วันนี้นักท่องเที่ยวบางตา อากาศดี มีแสงแดดอ่อนๆที่ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นบ้างจากลมหนาวในยุโรป
แน่นอน มาถึงปิซ่าคงไม่พลาดท่าโพสแบกหอเอน เราเองลองแล้วไม่ไหว เลยถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆมาแทนแล้วกัน ฮ่าฮ่า
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ถ่ายรูปและแวะฝากท้องกับร้านพิซซ่าจนอิ่มแล้วก็ถึงเวลากลับ ระหว่างทางเจอนักดนตรีมาพร้อมกับเชลโลตัวใหญ่ คราวนี้เลยได้ฟัง I'm yours เวอร์ชั่นที่เข้ากันดีทีเดียวกับบรรยากาศรอบตัวไปด้วย
สิ่งหนึ่งที่เราชอบที่สุดคงหนีไม่พ้นวิวและธรรมชาติ ฝากหนึ่งเป็นบ้านเรือนหลังเล็กๆเรียงราย อีกฝากหนึ่งเป็นถนนเลียบชายหาด เลยอดไม่ได้ที่จะเก็บรูปมาระหว่างทางกลับโรงแรม
ท้ายสุดของวัน เรากลับมาถึงโรงแรมราวสองทุ่มครึ่ง เป็นเวลาที่ฟ้ากำลังสวย เลยอดไม่ได้ที่จะเดินเลียบชายหาด อากาศเย็นๆในยุโรป พระอาทิตย์ตกดิน ทะเล และอิตาลี ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แค่ได้ยืนมองพระอาทิตย์ตกกับเพลงที่ชอบ แค่นี้ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวันแล้ว :)
สุดท้ายนี้ ทัสคานีกลายเป็นสถานที่ที่เราตกหลุมรักอย่างง่ายดาย ทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรม ดนตรี ความน่ารักของผู้คน การได้ใช้เวลาเดินเล่นรอบๆเมือง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เหมือนได้ชีวิตจิตใจลึกๆกลับมาอีกครั้ง และแน่นอน ถ้ามาอิตาลีก็ต้องฟัง Mystery of love ของ Sufjan Stevens ชวนให้นึกถึง Elio กับ Oliver ในบรรยากาศแบบนี้ไปด้วย แม้จะไม่ใช่หน้าร้อนใน Crema แต่ก็ทำให้เรามีความสุขได้ไม่แพ้กัน
สัญญาว่าจะมีครั้งหน้าแน่นอน แล้วเจอกันใหม่ที่ทัสคานี :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in