- รถเมล์จะเป็นระบบขึ้นรถด้วยประตูกลาง แล้วลงพร้อมจ่ายค่ารถที่ประตูข้างคนขับ
- มีจอและ GPS คอยบอกตลอดว่าถึงป้ายไหนแล้ว ป้ายหน้าคือป้ายอะไร พร้อมค่าโดยสาร
แต่ไม่มีภาษาอังกฤษนะ - มีเสียงเตือนตลอดเหมือนบนรถไฟฟ้าว่าต่อไปป้ายไหน ใครจะลงให้กดแล้วก็เตือนว่าอย่าลืมของ
- ต้องจ่ายเงินด้วยเหรียญเล็ก 100 ลงมา มีเครื่องให้แลกเหรียญข้างๆ ซึ่งก็แลกได้แค่เหรียญ
500 เยน เป็นเหรียญ 100 เยนแหละ เครื่องจ่ายเงินจะนับเหรียญอัตโนมัติ แล้วตอนหลังก็พึ่งรู้ว่าขึ้นรถแล้วต้องรับตั๋วที่ประตูด้วย 55555 - คนขับรถ ขับดีตามมาตรฐานประเทศนี้อยู่แล้ว แต่วันที่กลับดึกก็เจอขับเร็ว/กระชากเหมือนกัน ไม่รู้ลุงรีบทำเวลาเพราะการขับรถช่วงนี้เจอหิมะตกเยอะ หรือเพราะมันขับยากเพราะผิวถนน
มันเป็นน้ำแข็งกันแน่ (มันอันตรายจริงๆนะ)
แล้วเราก็ผ่านการนั่งรถเมล์กันครั้งแรกไปได้ ซึ่งขออภัยคนท้องถิ่นด้วยที่พวกเราช้าตอนจ่ายค่ารถ เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกของทุกคน แต่เขาน่าจะเข้าใจ เพราะป้ายรถเมล์ที่พวกเราขึ้น
มันก็เป็นศูนย์ International นี่นะ เขาน่าจะทำใจได้ที่เจอพวกต่างด้าวเด๋อๆแบบเราอยู่บ้างเหมือนกัน
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เราก็ไปตั้งต้นกันที่สถานี Obihiro
เริ่มต้นด้วยการขึ้นไปหารายละเอียดการเดินทางในเมือง ซึ่งไม่ค่อยจะมีรายละเอียดมากนักจากการค้นด้วยอินเตอร์เน็ต เพราะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่ เริ่มต้นที่ Information ชั้น 2
นี่อยู่ข้าง Information เลย
บนสถานีรถไฟ เจอเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ ดีใจมาก เพราะเขาเป็นคนต่างชาติจริงๆที่แต่งงาน
มาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนแบบสอบถามจะเป็นอะไรที่สำคัญในหลายๆที่ที่ให้บริการต่างๆที่นี่
พอเจอพี่ที่ไปด้วยกันทำแบบสอบถามแล้วได้ของแจก จะรออะไรล่ะ 555 รีบไปเขียนเร็ว
นี่ไงของแจก
ถามที่ทางกันเรียบร้อยแล้ว แยกกลุ่มกัน เที่ยวตามอัธยาศัย ตามแผนเราคือไปกินเค้กก่อน เพราะเมืองนี้มีร้านเค้กที่ดังมากร้านนึงของฮอกไกโด ซึ่งก็คือร้าน Rokkaitei ที่มีร้านสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองนี้
ดีใจที่มีคนอยากไปด้วยจะได้ลองกินเค้กหลายๆแบบ ดีใจมากที่ไปกันหลายคน เพราะเค้กถูกมาก
สั่งกันมากมายจนกินเกือบไม่หมดเริ่มต้นที่ขนมขึ้นชื่อของร้าน มารุเซย์บัตเตอร์ซันโดะ
คุกกี้เนยเนื้อนุ่มสอดใส้ครีมชีสผสมรัมย์เรซิน
โคนครีมและช็อกโกแลตคุกกี้ใส้ครีมชีส พร้อมกาแฟฟรีเติมได้ไม่อั้นสำหรับทานที่เคาน์เตอร์ชั้น 1
(ปล. นมเติมกาแฟอร่อยมากกกก)
และเค้กมากมายหลายแบบ อร่อยหมด ราคาถูกด้วย แต่เราชอบมงบลังค์กับมอซซาเรล่าชีสที่สุด
จบภารกิจอ้วน เกือบจะกินกันไม่หมดเพราะสั่งเค้กกันแทบจะทุกชนิดที่มีจนกินข้าวเที่ยงกันไม่ลง
เลยตกลงเดินกลับไปที่สถานีเพื่อหารถเมล์ไปศาลเจ้า Obihiro กัน แต่เนื่องจากข้อมูลที่ค้นจากอินเตอร์เน็ตไม่ละเอียด เราเลยต้องขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่ Information อีกครั้ง เพื่อถามสายรถเมล์
แต่พบว่า วันเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีรถเมล์ไปศาลเจ้าจ้า มีแต่วันธรรมดา โถ ก็นี่บ้านนอกคนมันน้อย
วิธีที่เราจะไปศาลเจ้าในวันนี้ได้ คือ เดินหรือนั่งแท็กซี่ ซึ่งเราก็อยากทำเวลาเพราะ 4 โมงเย็นก็มืดแล้ว
เราเลยกะว่านั่งแท็กซี่หารกันรอบนึงขาไป แล้วเดินกลับมาสถานีแล้วกัน เพราะขากลับจะขอให้แท็กซี่
มาวนรับก็ลำบาก จะได้ใช้เวลาได้สบายๆ และขากลับน่าจะเรียกแท็กซี่ยาก แต่ปัญหาคือมีกันอยู่ 5 คน มันเกินแท็กซี่ปกติที่นั่งกันได้แค่ 4 คนมากสุด คุณเจ้าหน้าที่ก็ใจดี พยายามลงมาหาแท็กซี่คนใหญ่
ที่นั่งได้ 5 คนได้ เราจะได้ไปพร้อมกันได้หมด และหาอยู่นานมากก็หาไม่ได้
แล้วเขาก็ไม่ได้หยิบโค้ทลงมา สงสารเลย ถึงจะแดดดี แต่วันนั้นก็น่าจะประมาณ -3 องศา
สุดท้ายเลยแยกกันไป 2 คัน
แท็กซี่ที่นี่ก็ตามมาตรฐาน พยายามหาเส้นทางที่ไวที่สุด รถติดน้อยสุด
ถึงศาลเจ้าในราคาไม่ถึง 1 พันเยน
มาแล้วตามรอยการ์ตูน ได้ม้าไม้ขอพร 1000 เยนมาเขียนตามระเบียบ
ตามในการ์ตูนเป๊ะ
ที่ชอบก็คือ ปกติถ้าเราไปญี่ปุ่นในเมืองใหญ่เวลาเข้าไปศาลเจ้าก็เหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆ คนจอแจเต็มไปหมดแต่ที่นี่สงบเงียบจริงๆ (ก็มันเมืองเล็กๆ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวนี่ 55) คนที่มาคือคนพื้นที่ที่มาวัดจริงๆ
ต้นไม้เยอะ ได้เจอน้องกระรอกเอโสะตัวจริง อ้วนกลมขนฟูดูน่ารักมากๆ เสียดายกล้องมือถือกาก
คือคืนก่อนออกมาเที่ยวคือมีคนไปกดสัญญาณไฟไหม้ ตื่นตี 3 กันทั้งหอ เราก็กวาดทุกอย่างใส่กระเป๋า พอออกมาเที่ยวก็หาแบตกล้องไม่เจอ เลยใช้มือถือ
แต่พอกลับถึงห้องพบว่าแบตกล้องอยู่ในกระเป๋านั่นแหละ เจ็บใจจริงๆ
ที่นี่กระรอกเยอะ ขนาดมีป้ายระวังกระรอกข้ามถนนเลย
อีกอย่างที่เราตั้งใจจะมาดูมากๆ ตามที่หาข้อมูลมา คือ แม่น้ำข้างๆศาลเจ้า ที่เฉพาะในฤดูหนาวจะมีหงส์อพยพมาอยู่กัน บรรยากาศดีมาก คุ้มค่ากับการต้องค่อยๆไต่บันไดที่มีแต่หิมะลื่นๆลงไปริมตลิ่ง
น้ำใสสะอาดมาก คงเพราะน้ำมาจากหิมะบนภูเขา สมกับเป็นเมืองที่แคร์เรื่องน้ำในแม่น้ำจนได้รางวัล และผลิตน้ำประปา(ดื่มได้)จากแม่น้ำด้วย วันนั้นก็มีพ่อแม่พาเด็กๆมาให้อาหารหงส์กับเป็ดเพราะงั้น
มันเลยตีกันเล็กน้อยพอให้ดูมีชีวิตชีวาเพราะว่าแย่งข้าวกัน
ชมนกชมเป็ดกันแล้ว ก็เดินกลับเข้าเมือง กลับไปกินข้าวที่แถวๆหน้าสถานีกัน
ตลอดทางที่เดินก็เป็นแบบนี้ ในทุกๆวัน วันแรกที่ไปถึงไม่ชินเลย เดินไปหน้าชา น้ำมูกไหลตลอดทาง
ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเพื่อกันลมก็ยากเพราะเราใส่แว่น แว่นก็เป็นฝ้าเดินลำบากเข้าไปอีก
นอกจากนั้นความลื่นก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน ใช่ว่าคนข้างหน้าเราไม่ลื่น แปลว่าเราจะไม่ลื่นด้วย
ต้องใช้เวลาศึกษาและล้มเพื่อเป็นประสบการณ์ซักครั้งสองครั้ง ถึงจะรู้ว่าควรจะเลือกเดินบนหิมะปุยๆ แล้วเลี่ยงหิมะที่ละลายจนเป็นน้ำแข็งเรียบๆ แต่จะลำบากมาก เมื่ออยู่ในกรณีที่คุณต้องข้ามถนนให้ทัน
และเดินข้ามบนถนนที่เป็นน้ำแข็งไปด้วย อันตรายมากๆทีเดียว
มาถึงหน้าสถานีแล้วก็หิวพอดี เค้กที่กินไปเมื่อเที่ยงสลายไปแล้วเพราะเดินมาจากศาลเจ้านี่แหละ
เพราะเป็นร้านที่ Information แนะนำมา เราก็คิดกันว่าน่าจะสั่งข้าวไม่ยาก แต่!!! ที่ไหนได้
เมนูไม่มีรูปเลยจ้า แถมฟ้อนท์ในเมนูนั้น เป็นฟ้อนท์ลายมือแบบเขียนพู่กัน
กูเกิ้ลทรานสเลทก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายป้าเจ้าของร้านก็ต้องมาใช้ภาษาอังกฤษพยายามคุยกับเรา
แต่ไม่มีปัญหาอะไร ก็ได้เมนูเด็ดของเมืองนี้ "ข้าวหน้าหมู" ( Buta Don) มากินกันจนได้
ข้าวหน้าหมู ร้าน Buta Don Poncho
ชุดนี้ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 1200 เยน รสชาติเหมือนกินข้าวกับหมูปิ้ง กับซุปมิโสะใส่เห็ดนาเมโกะลื่นๆ
แต่ก็อร่อยแหละ กินข้าวเสร็จก็ไปเดินเล่นในเมืองซักพัก เพื่อรอดู Illumination
ในเมืองมีลานสเก็ตเล็กๆด้วย เด็กๆเล่นกันอย่างโปร ดูเป็นกีฬาบ้านๆ ยังกับเราเตะตะกร้อ โดดยาง
พอค่ำทุกร้านก็รีบปิดอย่างรวดเร็ว รีบซื้อของฝากให้เรียบร้อยแล้วก็นั่งรถเมล์กลับหอที่อยู่นอกเมือง
---------------------------
ยาวมากๆ ถ้ามีคนอ่านถึงนี่ก็ขอบคุณมากนะคะ
แต่นี่แค่วันหยุดแรก ยังเหลืออีก 3 วันนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in