ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของฉันคือสมัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยความที่เป็นเด็กไม่เอาไหน ไม่สนใจเรียน วันๆมัวแต่เอาแต่สนุกและไม่ได้สนใจเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงเป็นเหตุให้ชีวิตของฉันในช่วงนั้นมีแต่ความสุข หลั่นล้าเกินหน้าเกินตากว่าคนอื่นไปไกล
ด้วยความที่เป็นเด็กรักสนุก ฉันจึงมีหน้าที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้แก่เพื่อนๆในชั้นเรียนอยู่เสมอ ในตอนนั้นจำได้ว่าต้องการที่จะไปโรงเรียนเพื่อไปเล่นตลกมากกว่าที่จะไปเรียนหนังสือ
อีกหนึ่งสิ่งที่ฉันชอบทำมากๆเลยก็คือการแกล้งเพื่อน ฉันชอบแกล้งเพื่อนมากๆ สาเหตุที่ทำให้ฉันเป็นคนแบบนี้ก็เพราะว่าการแกล้งเพื่อนนั้นมันสนุกดียิ่งการได้วางแผนแกล้งเพื่อนคนไหนหนักๆนะก็จะยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งรู้สึกบันเทิง ยิ่งรู้สึกว่าน่าภูมิใจที่สร้างเสียงหัวเราะได้จากเรื่องพวกนี้
เป็นเรื่องปกติที่ชั้นเรียนแต่ละชั้นเรียนจะมีบรรดาเด็กที่มักโดนแกล้งเป็นประจำ ในชั้นเรียนของฉันน่าจะมีประมาณ 3-4 คนได้ และ 3-4 คนที่ว่านี่แหละที่ฉันมักจะแกล้งอยู่เสมอ โดยการแกล้งแต่ละครั้งก็เป็นไปตามสถานการณ์ในแต่ละช่วง บางวันฉันก็แค่ตบหัวทักทาย บางวันฉันก็สร้างเรื่องมาอำมันจนร้องไห้เลยก็มี
ฉันแกล้งเพื่อนจนเริ่มติดเป็นนิสัย จากนิสัยก็กลายมาเป็นสันดาน จากแค่แกล้งเล่นพอเป็นสีสันก็เริ่มเสพติดการแกล้งมากขึ้นบรรดาเพื่อนที่ถูกฉันแกล้งก็เริ่มกลายเป็นตัวตลกของห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะทำอะไรบรรดาตัวตลกเหล่านี้ก็มักจะถูกเพ่งเล็งและภาวนาให้โดนแกล้งอยู่เสมอ
จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปฉันได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกับหนึ่งในบรรดาตัวตลกที่ฉันเคยได้แกล้งเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาฉันกับเขาได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันเหมือนเดิมกันกับครั้งมัธยม ฉันรู้สึกว่าเพื่อนของฉันคนนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สังคมใหม่ที่ตนเองกำลังจะเผชิญ ซึ่งต่างกับฉันโดยสิ้นเชิงที่ไม่ต้องใช้ความพยายามที่มากมายถึงขนาดนั้น หนำซ้ำยังจะคิดหาวิธีแกล้งใหม่ๆให้เจ็บแสบกว่าเดิมอีกต่างหาก
วันนั้นฉันเห็นเพื่อนของฉันคนนี้พยายามที่จะลบล้างตัวตนในอดีตของตัวเอง เป็นไปได้ว่าตัวของเขาคงไม่อยากจะต้องมาเจอกับฝันร้ายซ้ำสองแล้ว เขาอาจจะอยากเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างเรียบง่ายไม่ต้องมาโดนแกล้งทั้งทางจิตใจและร่างกายทุกวันเหมือนกันกับที่เคยกระทำมา
ไม่รู้ว่ามันจะสายไปไหมที่ฉันจะรู้สึกผิดจากวันนั้นฉันคิดได้ว่าฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลบล้างสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำมากับเพื่อนคนนั้น ฉันปรับปรุงตัวเอง เลิกทำนิสัยเดิมๆ ค่อยๆเข้าหาเพื่อนคนนี้ ปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับที่เพื่อนคนหนึ่งควรจะได้รับ ถ่ายคืนพื้นที่ยืนในสังคมให้อย่างเต็มใจ หลังจากที่เป็นคนใจร้ายช่วงชิงมาเองด้วยมือของตน
ปัจจุบันฉันกับเพื่อนคนนี้ได้มาเป็นเพื่อนสนิทกัน เพื่อนฉันคนนี้ของฉันได้ไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น มีสังคม มีเพื่อนมากมายและกำลังทำตามความฝันของตัวเอง
เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนสนิท (ที่เคยแกล้งเพื่อนด้วยกัน – อย่างว่าแหละใครจะแกล้งเพื่อนกันอยู่คนเดียว) เพื่อนคนนี้เล่าให้ฟังว่าได้มีโอกาสพบเจอเพื่อนของฉันที่เป็นหนึ่งในตัวตลกที่เคยโดนแกล้งอย่างบังเอิญ ฉันนั่งฟังพร้อมกับสะเทือนใจไปด้วย
เพื่อนของฉันคนนี้มีพฤติกรรมกลัวการพบเจอกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน ฉันตกใจมาก ทุกครั้งที่มีการพบเจอกัน เพื่อนคนนี้ของฉันมักจะไม่พยายามเข้าใกล้ มักจะพยายามปลีกตัวออกห่าง ไม่อยากพูดคุยและดูระแวงเพื่อนคนอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมานานแต่อาการการกลัวโดนแกล้งของเพื่อนฉันยังคงอยู่
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจทุกครั้งที่ฉันมักจะสงสัยไปว่าเวลามีงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าหรืองานเลี้ยงห้องเลี้ยงรุ่น เพื่อนของฉันที่โดนแกล้งเป็นประจำมักจะไม่ค่อยมาตามคำเชิญชวน
หลังจากนั้นฉันหาข้อมูลในอินเตอเน็ทและพบว่าอาการที่เพื่อนฉันเป็นคืออาการ
‘ โรคกังวลต่อการเข้าสังคม (Social Anxiety in Children & Adolescents) ซึ่งอาการหลักๆของโรคนี้คือ ความกลัวต่อการถูกเฝ้ามองหรือถูกประเมินจากคนอื่นเด็กเหล่านี้จะกลัวโดยคิดไป ว่าเขาอาจจะทำหรือพูดอะไรที่ดู “ เปิ่นๆ เชย ๆ ผิด งี่เง่า ไม่เข้าท่า ” ออกไป ทำให้ตัวเองได้อายหรืออาจตกเป็นเป้าสายตาของการถูกการวิพากษ์วิจารณ์ ความแตกต่างของโรคนี้จากความ “ขี้อาย ” ทั่วไปก็คือ เด็กเหล่านี้จะแทบทำอะไรต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เลยและอาการเหล่านี้มักไม่ดีขึ้นเมื่อโตขึ้นแบบ “ หายไปเองตอนโต ” เหมือนเด็กขี้อายคนอื่นๆ เวลาที่เด็กเหล่านี้กลัว เด็กอาจมีอาการทางร่างกายต่าง ๆ ตามมา เช่น เวียนหัวมีนงง ท้องไส้ปั่นป่วน มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตก หน้าแดงหรือเกร็งกล้ามเนื้อต่างๆ หรือบางคนอาจกลัวลนลาน วิ่งหนีเข้าห้องน้ำบ่อยๆก็เป็นได้ สถานการณ์หลักๆที่มักทำให้เด็กเหล่านี้แสดงอาการออกมาคือการต้องเป็นคนนำการสนทนาให้กับคนที่ไม่คุ้น การไปงานกิจกรรมที่ไม่มีระเบียบแบบแผนดู “ มั่ว ๆ ” การต้องแสดงหรือพูดหน้าชั้นถามคำถามในห้อง ซึ่งเด็กเหล่านี้ก็จะ “ ช่วยตนเอง ” โดยการ “ หลีกหนี ” การเข้าสู่สถานการณ์สังคมเหล่านั้นไปทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักความสามารถของคนรู้จักคนเพิ่มหรือรักษามิตรภาพกับเพื่อน ๆ ไว้'
ย่อหน้านี้อ้างอิงจาก - http://www.manarom.com/social_thai.html
ที่ตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมานั้น เป็นเพราะว่าไม่นานมานี้ ฉันได้มีโอกาสไปเห็นเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจโพสเฟสบุคถึงเรื่องบางอย่าง โดยโพสนั้นกลายเป็นสีสันของคนอื่นๆ กลายเป็นเรื่องตลก เพื่อนคนนี้โดนเหน็บแนมโดนถากถางสารพัดด้วยความสะใจของคนอื่น
เพื่อนของฉันคนนี้โดนแกล้งมาตั้งแต่สมัยยังเรียนยันปัจจุบัน เพื่อนๆในวัยเดียวกับฉันนั้นเข้าสู่โลกของการทำงานแล้วเพื่อนคนนี้ก็ยังคงถูกแกล้งอยู่
สิ่งที่ฉันพอทำได้ก็คือการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันไม่กล้าที่จะบอกว่าอย่าไปแกล้งคนๆนั้น เพราะว่าฉันเองก็เคยทำมาก่อน บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ว่าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมา เราอาจจะทำให้คนๆหนึ่งมองโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเลยก็ได้ เราอาจจะไปทำลายโลกที่เคยสวยงามของเขา ไปสร้างปัญหาที่เขาไม่ได้เป็นคนสร้างขึ้น ไปทำให้เขาใช้ชีวิตได้ยากขึ้น ทำให้เขานั้นมีปัญหากับการเข้าสังคม
อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ฉันเห็นข่าวที่เมืองนอกมีเด็กชายคนหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายเนื่องจากโดนแกล้งโดยมีคลิปของผู้เป็นพ่อออกมาพูดถึงลูกชายของตัวเอง ถึงแม้ว่าฉันเองอาจจะไม่ได้แกล้งเพื่อนเสียจนเรื่องราวเลยเถิดไปจนถึงการเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรม แต่ฉันก็ยังคงสะเทือนใจไม่หายกับสิ่งที่ตัวของฉันนั้นเคยได้กระทำเมื่อในอดีต
ฉันอยากที่จะขอโทษในสิ่งที่ฉันนั้นเคยทำขึ้นมาในอดีต ฉันกล้าที่จะแกล้งพวกเขาต่อหน้าแต่ฉันกลับกล้าที่จะขอโทษพวกเขาลับหลัง
แด่เด็กทุกคนที่เคยโดนแกล้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in