หากเราพูดถึงประสาทสัมผัสของมนุษย์ อันดับแรกที่นึกถึงคงจะเป็นการมองเห็นเพราะตั้งแต่ลืมตาตื่นหรือก่อนที่เราจะหลับตานอน กิจวัตรประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็นการเดินทางการเลือกของกิน หรือแม้แต่การช็อปปิ้งซื้อเสื้อผ้า ล้วนแต่ใช้ประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นเป็นสำคัญแล้วถ้าวันหนึ่งเราเกิดมองไม่เห็นล่ะ การใช้ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนนะ?
เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (ทั้งที่จริงๆนัดกับเพื่อนไว้นานมากแต่เพิ่งจะมีเวลาว่างตรงกัน) เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมนิทรรศการ “Dialoguein the Dark” หรือ “บทเรียนในความมืด” จัดอยู่ในจามจุรีสแควร์ สามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีสามย่านแล้วเดินต่ออีกนิด เมื่อเข้ามาจามจุรีสแควร์แล้วก็ขึ้นไปชั้น4 ข้างๆศูนย์หนังสือจุฬาเราจะพบกับป้ายทางเข้านิทรรศการ
ก่อนอื่นเราต้องซื้อตั๋วกันที่หน้าทางเข้าซะก่อนซึ่งตั๋วก็จะมีราคาแตกต่างกันไป มีทั้งสำหรับเด็ก,นักศึกษา ส่วนเราซื้อเป็นตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ ราคา 90บาทหลังจากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปอีกชั้น เพื่อเตรียมเข้าชมนิทรรศการแต่ก่อนจะได้เข้าชม หรือจะเรียกว่าเข้าไป “สัมผัส” น่าจะเหมาะกว่า พี่พนักงานจะให้เราฝากกระเป๋าไว้ในล็อกเกอร์และเราสามารถนำเงินติดตัวเข้านิทรรศการได้คนละประมาณ 20บาทเท่านั้น (สำหรับซื้อขนมด้านใน) หลังจากนั้นพี่พนักงานจะแจกไม้เท้าหรือที่เรียกว่า “ไม้เท้าขาว” ให้เราคนละอัน ซึ่งเป็นไม้เท้าแบบเดียวกันกับที่ผู้พิการทางสายตาใช้เลย(พอได้จับไม้เท้าก็แอบตื่นเต้นเล็กน้อย) และสอนเราใช้เจ้าไม้เท้าขาวอันนี้ เริ่มจากคล้องเชือกที่อยู่บนปลายไม้เข้ากับข้อมือของเราซะก่อนโดยใช้มือซ้ายในการจับไม้ ส่วนมือขวานั้นเอาไว้ใช้คลำทาง พอได้รู้วิธีการใช้ไม้เท้าคร่าวๆเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่เราจะได้เข้าไปผจญภัยด้านในกันแล้ว
เมื่อเข้ามาด้านในสิ่งแรกที่รู้สึกเลยก็คือเราจะรอดไหมนะ ฮ่าๆ เพราะในนั้นคือมืดสนิทขนาดที่ว่าเราสามารถใช้ได้แค่หูในการฟังเสียงและไม้เท้ากับมือในการคลำหาเส้นทางเท่านั้น แตกต่างจากตอนที่เราปิดไฟนอนในห้องนอนที่ยังพอมีแสงเรืองๆจากไฟด้านนอกเข้ามาบ้างพออ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะเกิดความกังวลและเกิดความสงสัยใช่ไหมล่ะว่าคนที่ไม่เคยชินกับความมืดขนาดนั้นจะเดินสัมผัสนิทรรศการได้ถูกทิศถูกทางได้อย่างไรคำตอบก็คือเรามีไกด์นำทางนั่นเอง ซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตาที่มาช่วยให้เราไม่หลงทางอุ่นใจขึ้นเยอะเลย
สำหรับธีมนิทรรศการบทเรียนในความมืดจะเป็นการจำลองสถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเราตามสถานที่ต่างๆแต่ด้วยความที่เราอยู่ในห้องมืดแล้วเราไม่สามารถมองเห็นได้อย่างปกตินี่แหละที่ทำไห้เรารู้สึกว่าสถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเรานั้นไม่ปกติเอาเสียเลย พอเราได้ยินอะไรก็จะรู้สึกว่าเสียงเหล่านั้นดังมากกว่าปกติ(ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนกันหรือเปล่า ฮ่าๆ) จะหยิบจะจับอะไรก็รู้สึกไม่คุ้นเคยไปซะหมด(บางครั้งตกใจจนเผลอกรี๊ดออกมาก็มี) การจะเดินแต่ละก้าวนี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ทำให้เราได้ตระหนักเลยว่าสิ่งสำคัญที่ช่วยชีวิตเราในห้องมืดได้มาก นอกจากพี่ไกด์นำทางแล้วก็คือเจ้าไม้เท้าขาวนี่แหละ
สุดท้ายแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกราใช่ไหมล่ะแต่ก่อนที่เราจะออกจากนิทรรศการก็ได้พูดคุยกับพี่ไกด์นำทางกันสักเล็กน้อย ซึ่งพี่ไกด์ได้เล่าให้ฟังว่าเขาไม่ได้เป็นผู้พิการทางสายตามาตั้งแต่เกิดนะ แต่เพิ่งจะมาเป็นไม่กี่ปีมานี้เองโดยเป็นผลมาจากแพ้ยารักษาโรค (อันนี้เราจำไม่ได้แล้วว่าโรคอะไร) ทำให้ชีวิตของพี่เขาเปลี่ยนไปเลยจากเดิมที่เคยเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แม้ว่าอาการผิดปกติทางการมองเห็นจะรักษาไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมแพ้ หลังจากขอใบรับรองเป็นผู้พิการจากคุณหมอแล้ว พี่เขาได้ไปเรียนนวดสำหรับผู้พิการทางสายตาเพื่อมาประกอบอาชีพนอกจากนี้พี่เขายังเป็นสุดยอดนักชิม เคยทำงานประเมินความหวานให้กับบริษัทน้ำตาลอีกด้วยสุดยอดไปเลย
จากการเข้าไปสัมผัสกับนิทรรศการ “Dialoguein the Dark” หรือ“บทเรียนในความมืด”นี้แล้ว เราเข้าใจผู้พิการทางสายตาขึ้นมากอีกอย่างการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในห้องมืดประมาณหนึ่งชั่วโมงยังทำให้เราได้ใช้ชีวิตแบบที่เราไม่เคยได้ใช้มาก่อนในชีวิตประจำวันทำให้เราได้รู้ถึงความสำคัญและคุณค่าของสิ่งรอบตัว รวมทั้งตัวเราเองด้วย
สำหรับช่องทางติดตามกิจกรรม สามารถเข้าไปได้ที่เพจ www.facebook.com/didthailand
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in