คอนเสิร์ตบังทันของปีนี้จบลงไปแล้วอย่างสวยงามเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกมันยังคงชัดอยู่ในใจ เหมือนเพลงสุดท้ายเพิ่งจะจบลงไป เหมือนเพิ่งได้เห็นทั้ง 7 คนเดินลับหายเข้าไปหลังเวทีทีละคนสองคนไปเมื่อกีี๊เป็นเวลา 4 ปีแล้วที่ได้ไปเจอ ตั้งแต่ตอนจัดงานฟรีครั้งแรกที่คนยังไม่มากมายเท่าไหร่ จนตอนนี้ ได้มาจัดในสถานที่ที่มีไว้จัดงานชั้นนำของประเทศ นอกจากนี้ยังมีคอนเสิร์ตถึง 2 วันด้วยกัน นับว่าเดินทางกันมาไกลจริงๆ ต่อจากนี้ก็ขอให้เดินด้วยกันไปแบบนี้นานๆ ตอนอยู่ในคอนเสิร์ตก็ได้แต่ภาวนาให้พระเจ้าหรืออะไรก็ตามที่พวกเขานับถือช่วยคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยไปตลอด ชนิดที่ว่า Must protect them at all costs no matter what
การไปคอนเสิร์ตบังทันมาตลอด 4 ปี เป็นเหมือน spirit ritual ของเราแล้วเรียบร้อย การที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้ง ทำให้การพบกันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญมากสำหรับเรา ไปคอนเสิร์ตเพื่อรับพลังใจมาสู้ไปอีกประมาณ 364 วันที่เหลือ ก่อนจะได้เจอกันอีกครั้งเพื่อชาร์ตพลังให้เต็มเหมือนเดิม เราเองก็ไม่ได้เฝ้าคิดถึงพวกเขาตลอดเวลาขนาดนั้น แค่ในแต่ละวันฟังเพลงแล้วสุ่มไปเจอเพลงบังทัน เห็นการเคลื่อนไหวและข่าวสารผ่านโลกออนไลน์ ก็เหมือนได้ชาร์ตพลังทางอ้อมจากแบตสำรองที่ใช้ได้ไปพลางๆเหมือนกัน ไม่รู้ว่าปีต่อๆไปจะได้เจอกันไหม เพราะเกรงว่าจะกดบัตรคอนไม่ทัน
คอนเสิร์ตปีนี้มีการแสดงเพลงโซโล่ของแต่ละคนด้วย ดีงามมากจนอยากร้องไห้ โดยเฉพาะของชู้บกับนัมจุน เพลง Reflection เป็นเพลงที่เราชอบที่สุด ถ้า anxiety ของเราแสดงออกมาเป็นเพลง ก็คงเป็นเพลงนี้นี่แหละ I wish I could love myself แค่เนื้อหาเพลงก็กินใจมากๆแล้ว พอถึงคราวแสดงเพลงนี้ในคอนเสิร์ต ฉากหลังยังมีวาฬมาอีก Whailen อย่างเราต้องศิโรราบร้องขอชีวิตต่อคิม นัมจุน เจ้าพ่อแห่งวาฬ 52 เฮิร์ตซ์ ขอคารวะสามทีในใจ
อีกอย่างนึงที่พีคมากๆสำหรับเรา คือ เวที Cypher เป็นเวทีที่ตั้งตารอสุดในคอนเสิร์ต National Anthem ของเราต้องนี่แหละ! ถ้าอยากจะปลุกใจตัวเองให้ออกไปสู้ บังทันก็มีเพลงมากมายให้คุณได้ออกไป SWAG ให้โลกเห็นค่ะ ขอบคุณมากๆที่โลกนี้มี Cypher
เรารู้สึกว่าในปีนี้คอนเสิร์ตนี้จะทวีความสำคัญแก่เรามากกว่าทุกครั้ง เพราะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ต้องก้าวเข้าสู่ชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่ เช่นเดียวกันกับเนื้อหาหลักในคอนเสิร์ตครั้งนี้ จากเดิมที่เป็นธีมของเด็กนักเรียนหัวขบถที่ไม่ต้องการอยู่ในกรอบของผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ใหญ่เหล่านั้นเข้ามาแทรกแซงชีวิตของเด็กๆผ่านการศึกษาในโรงเรียน ตอนนี้เด็กๆทั้งหลายก็จบการศึกษาได้สำเร็จ และกำลังสยายปีักของตัวเองออกเพื่อโบยบิน ทว่าปีกคู่นั้นต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดของคนที่ไม่รู้ว่าจะจำกัดความตัวเองว่าควรเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ - วัยรุ่น
วัยแห่งการตัดสินใจมากมายทั้งที่ยังสับสนและยังไม่รู้จักตัวเองดีด้วยซ้ำ แต่สังคมรอบข้างก็ตีกรอบเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันบีบรัดหัวใจแน่นจนแทบไม่มีอากาศให้หายใจ คอนเสิร์ตครั้งนี้เหมือนกับชีวิตของเราและอีกหลายๆคนที่ยืนอยู่บนทางแยกของชีวิตที่สำคัญ เหมือนที่ VCR ตอนจบของคอนเสิร์ตได้เขียนไว้ว่า
เด็กๆที่กำลังกลายเป็นผู้ใหญ่ยืนขึ้น ออกเดิน เพื่อล้มลง
จนบางครั้ง น้ำตาก็คือรอยยิ้มในอีกรูปแบบหนึ่งของพวกเขา
แต่ถึงจะต้องล้มลง จะต้องมีบาดแผล ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม เพราะยังไงก็ตาม I will never walk alone เป็นคอนเสิร์ตที่ร้องไห้ออกมาเยอะที่สุดแล้วล่ะ เนื้อหาต่างๆกรีดแทงลงไปในความรู้สึกของเราช่วงนี้มากๆ เป็นความรู้สึกที่คอยเข้ามาหน่วงจิตใจมาตั้งแต่ตอนใกล้จะเรียนจบ จริงอยู่ที่ว่าการเจอบังทันไม่ได้ทำให้อนาคตดูน่ากลัวน้อยลงมาหรอก แต่จิตใจของเราได้รับการปลอบประโลมเพื่อให้พร้อมกับความรับผิดชอบมากมายที่ค่อยๆวางบนไหล่ของเราทีละนิด
เข้มแข็งไว้นะ เราจะไม่เป็นไร
ขอบคุณที่โลกนี้มีเสียงเพลง ขอบคุณผู้คนที่อยู่เบื้องหลังบทขับขานเหล่านั้น ขอบคุณที่สร้างสรรค์บทเพลงขึ้นมา เพลงที่เป็นยาบรรเทาในตอนที่เราตกอยู่ในห้วงความรู้สึกแสนอัดอั้นมากมายซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาได้เป็นคำพูด ขอบคุณที่ทำให้เรายืนหยัดขึ้นมาได้อีก ในหลายๆครั้งที่ทั้งร่างกายและจิตใจไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ต่อ ท่วงทำนองของเพลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระตุ้นให้เราพยายามให้มากขึ้นอีกนิด ไม่ว่าจะเพื่อบินต่อไป เดินต่อไป ก้าวเดินต่อไป หรืออย่างน้อย แค่คลานต่อไปก็ยังดี ขอบคุณจากใจจริงที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด ขอบคุณผู้คนที่เป็นเจ้าของบทเพลงเหล่านั้น แน่นอนว่าต้องมีบังทัน ขอบคุณที่เป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตวัยรุ่นแสนยุ่งเหยิงของเรา ของขวัญวันเกิดย้อนหลังที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งที่เคยได้รับมา
ต่อจากนี้ก็ต้องเริ่มสยายปีกเพื่อเตรียมตัวออกบินได้แล้ว...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in