เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LAKORNWATCHIES
Through the darkness | การอ่านใจของปีศาจเหมือนดั่งยืนกลางความมืดมิด
  • "ต่อจากนี้ไปจะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องแน่เลยค่ะ 

    ใครที่อยากไปดูเองอาจจะต้องระวังหน่อยนะคะ หรือไม่ก็ปิดบทความนี้ก่อนเลย 

    เรากลัวจะทำให้หมดอรรถรสในการดูเหลือเกิน

    และมีการใส่ความคิดเห็นของเราเพิ่มเติมปะปนอยู่(เต็มไปหมด)นะคะ"

    Through the darkness เป็นซีรีส์เกาหลีสืบสวนจากเกาหลีหนึ่งในสองเรื่องเดียวของสามเดือนแรกนี้  (อีกเรื่องคือ tracer ที่ไม่มีซับไทยดูของMBC) เล่าเรื่องราวการตั้งไข่หน่่วยงานวิเคราะห์อาชญากรรมของเกาหลีซึ่งเบสมาจากหนังสือ Non-Fiction ที่เขียนโดยโปรไฟเลอร์คนแรกของเกาหลีใต้อย่างคุณควอนอิลยงที่ได้มาช่วยให้คำปรึกษากับการทำซีรีส์เรื่องนี้ด้วย


    มาดูตัวอย่างกันหน่อยดีกว่าค่ะ


    จริง ๆ จากตัวอย่างก็ดูจะเป็นซีรีส์สืบสวนทั่วไปแต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้พิเศษสำหรับเรา คือการที่เขาเล่าเป็น Slice of life ของโปรไฟเลอร์อย่างซงฮายองเรื่องไม่ได้สนใจเพียงการสืบสวน แต่ยังเล่าให้เห็นถึงปัํญหา อุปสรรคและผลกระทบที่ฮายองได้รับตลอดการทำงานมาหลายปี อันนี้คือแบบปาดน้ำตากันไปหลายหยดและนอกจากนั้นแล้วคดีที่ถูกหยิบยกมาก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดในเกาหลีใต้ด้วยและด้วยวิธีการเล่าที่ไม่ได้เน้นให้เห็นภภาพน่ากลัวหรือเลือดเยอะเท่ากับเรื่องอื่นเลยคิดว่าน่าจะเป็นมิตรกับคนดูหลายคนที่ไม่อยากเห็นภาพที่น่ากลัวหรือเลือดเยอะนะคะ

     


    "การอ่านใจของปีศาจเหมือนดั่งยืนกลางความมืดมิด"

    อาจจะเป็นเป็นสิ่งที่ Through the darkness (ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกว่าอ่านใจปีศาจนะคะเราขี้เกียจสลับแป้นพิมพ์ lol) พยายามเล่าให้เราเห็น เนื่องด้วยอ่านใจปีศาจเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวการตั้งไข่ของหน่วยวิเคราะห์อาชญากรในเกาหลีใต้ซึ่งในช่วงแรกของซีรีส์ดูเหมือนว่าเขาจะเน้นไปที่ตัวงานพันธกิจทางสังคมขององค์กรค่อนข้าง เยอะ คือถ้าใครเคยดู mindhunter ที่เน้นพูดเรื่องโปรไฟเลอร์มาก่อนแล้วชอบการที่เขาพูดถึงความซัฟเฟอร์ในตัวโปรไฟเลอร์เยอะตั้งแต่แรกไรงี้อาจจะขมวดคิ้วกับการทำงานหนักในเรื่องนี้ lol แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็เล่าความซัฟเฟอร์ผ่านตัวละครซงฮายองได้อย่างดีมากเลยนะ (รีบขายไว้ก่อนเดี๋ยวคนที่ชอบ mindhunter จะปิดกันตั้งแต่อ่านย่อหน้านี้จบ lol)


    คงเพราะเบสมาจากหนังสือ non-fiction ที่เขียนโดยโปรไฟเลอร์คนแรกของเกาหลีอย่างคุณควอนอิลยงจริงๆ คดีที่ถูกพูดถึงในเรื่องเลยเป็นคดีจริงที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์เกาหลีแต่ในรีวิวนี้เราจะไม่ลงดีเทลในแต่ละคดีค่ะเพราะเราอยากจะพูดถึงอ่านใจปีศาจในสถานะของซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวของคนประกอบอาชีพหนึ่งแล้วพอดีว่าเขาเป็นโปรไฟเลอร์คนแรกของประเทศมากกว่าการเป็นซีรีส์สืบสวนเพียงอย่างเดียว


    เรื่องจะพาเราไปรู้จักกับซงฮายองนักสืบที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำงานตรงไปตรงมา และไม่ได้เกรงใจใครหน้าไหนบุคลิกของฮายองดูจะเป็นเพียงตำรวจสายสืบที่ไม่สนใจโลก แต่จริง ๆแล้วคือการที่เขาเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากเสียจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ซึ่งนั่นทำให้ซงฮายองเป็นตัวละครที่เรารักมาก เราชอบมากที่ตัวละครหลักในซีรีส์สืบสวนเป็นตัวละครที่เลิกกับงานไม่ได้เพราะรับรู้กับความรู้สึกของคนอื่นมากไปและคาแรคเตอร์ของฮายองที่เป็นแบบนี้ อาจจะส่งผลทำให้อ่านใจปีศาจเป็นซีรีส์อีกเรื่องที่พาเราไปสำรวจความรู้สึกเหยื่อครอบครัวเหยื่อเยอะมาก

    อย่างที่บอกว่าเรามองเรื่องนี้ในฐานะของการเป็น Slice of Life มากกว่าซีรีส์สืบสวนมาตั้งแต่แรก (แม้ว่าคนอื่นอาจจะมองมันเป็นซีรีส์สืบสวนเรื่องนึง ก็ไม่เป็นไรค่ะ) เราชอบมากที่เรื่องค่อย ๆ เล่าพัฒนาการของตัวละครซงฮายองที่เปลี่ยนแปลงไปจากการทำงานอย่างหนักจากจุดเริ่มต้นที่ดูไม่มีอะไร ก่อนจะค่อย ๆเปลี่ยนไปเมื่อเขาไม่สามารถละความหมกมุ่นที่มีต่อคดีเพราะคำนึงถึงความรู้สึกเหยื่อจนไม่ได้นึกถึงตัวเองได้กลายเป็นว่าการที่เขารู้สึกมากเกินไปมันไปทำร้ายชีวิตส่วนตัวเขา  และมันไปไกลขนาดที่เขายืนถือมีดกลางที่เกิดเหตุ


    บอกตามตรงว่าทีแรกเราคิดว่าเขาคงจะเล่าผลกระทบไม่เยอะแบบเน้นการทำงานมากกว่าไรงี้ เพราะเป็นซีรีส์เกาหลีอะนะ แต่ช่วงกลาง ๆ เรื่องเขาฮุคไม่หยุดเลยดูเผิน ๆ เหมือนเขาจะไม่ได้เล่าความทุกข์ทนที่ฮายองต้องเผชิญมากนัก แต่พอมาไล่ดูช่วงที่เขาเล่าก็ใส่มารัวๆ จนทำเราน้ำตาร่วงเปาะแปะการที่ฮายองรู้สึกทรมานจนทำให้เขาถามคำถามกับหัวหน้าว่าทำไมมันต้องเป็นเขาหรือการที่คำพูดฆาตกรที่สัมภาษณ์มาตลอดหลายปีมันไป disturb การใช้ชีวิตเขาจนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เขาอยากเลิกทำงานนี้

     

    เขาเล่าให้อาชีพโปรไฟเลอร์มันไม่ใช่เรื่องง่ายและดูจะแตกต่างจากซีรีส์สืบสวนทั่วไปนิดหน่อยที่อาชีพนี้จะออกมาเบียว ๆหน่อย แบบยืนเท่ ๆ วิเคราะห์พฤติกรรมไรงี้แต่มันคือความทรมานและยากลำบากในการใช้ชีวิตเป็นโปรไฟเลอร์ที่มันกระทบกับจิตใจของการประกอบอาชีพที่คนไม่ค่อยชอบไม่เข้าใจ ดูเหมือนจะเป็นร่างทรงไปวัน ๆ ในสายตาคนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งพอเขาเป็นคนแรกความทรมานนี้ก็ไม่รู้จะไปพูดให้ใครฟัง และด้วยการที่เขาเป็นคนแบบนั้นมันยิ่งยากมากที่เขาจะไปเล่าความรู้สึกนี้ให้ใครฟัง

     

    สำหรับเรามันน่าหงุดหงิดมากที่ฮายองถูกคาดหวังให้กลับไปทำงานทั้งที่อยากออกใจแทบขาดมันกระทบกับเขามาก ๆ ซีนที่คนที่ทำงานมาพูดเรื่องรอกลับไปทำงานทำเราซัฟเฟอร์จนอยากอ้วกแต่สุดท้ายเหตุผลของการกลับไปก็คือเหยื่ออยู่ดี ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดจริง ๆ แต่ก็เข้าใจได้ แต่มันก็เพราะระบบในช่วงตั้งต้นมันไม่มีใครมาแทนเขาได้ดูแล้วแบบอึดอัดมากที่เขาต้องยอมกัดฟันข้ามผ่านความรู้สึกตรงนั้นมาเพราะเหยื่อและพันธกิจที่มีต่อสังคม

     

    แต่ก็ชอบที่คำถามของฮายองเพียงแค่คำถามเดียวมันสั่นคลอนตัวกุกยองซูหัวหน้าที่เริ่มต้นหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมนี้ที่ดูเหมือนเขาก็จะรู้สึกมาสักพักแล้วว่าเขากำลังทำร้ายฮายองอยู่ แต่เก็บมันไว้ในใจมาตลอดจนมาเจอเพียงแค่คำถามเดียวที่เขย่าความรู้สึกทั้งหมดและเขาในฐานะผู้ที่เฝ้ามองมาตลอดก็ได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงนี้

     

    การที่เขาใส่หมวกหลายใบให้ตัวละครกุกยอนซูนอกจากตำแหน่งหัวหน้าทีม และคนที่พยายามผลักดันทีมนี้มาตลอด แต่ในอีกแง่หนึ่งการทำงานมานานขนาดนี้ทำให้เขากับซงฮายองมีความสัมพันธ์ที่เขาเป็นยิ่งกว่าแค่คนร่วมงานกัน ในฐานะเพื่อนการที่เห็นว่าตัวเองเป็นหนึ่งในสาเหตุของการที่พาซงฮายองมาทรมานขนาดนี้มันก็ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง เลยชอบที่เขาสะท้อนตรงนี้ว่าในความปรารถนาที่ดีต่อสังคม มันอาจจะต้องแลกมากกับการกัดกร่อนทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

     

    คงเพราะเป็นหน่วยงานที่ตั้งภายใต้สำนักงานตำรวจด้วยเราเลยจะได้เห็นพลวัตของตำรวจเกาหลีในแต่ละยุคผ่านเรื่องนี้ทั้งในแง่ของรูปแบบองค์กร และตัวผู้คนในสถานี และโดยส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องพูดถึงองค์กรตำรวจในทางที่ค่อนข้างดีในหลายแง่ๆ คือแน่นอนว่าก็สะท้อนให้เห็นถึงความเน่าหนอนในองค์กรอย่างการมีตำรวจอุบาทว์ที่คอยขายข้อมูลให้นักข่าวตลอด การที่ตำรวจไม่อยากจะยอมรับความผิดของตัวเองไรงี้

     

    แต่ก็ยังเล่าให้เห็นความพยายามในการพัฒนาระบบการสืบสวนของคนกลุ่มนึงและคงเพราะมันเน้นที่คนกลุ่มนี้ ภาพตำรวจเลยดูค่อนข้างดี ออกมาในรูปแบบของการทำงานหนัก(แอบรู้สึกว่ามันจะเชิดชูการทำงานหนักอยู่ค่อนข้างเยอะเลย) แต่ก็เป็นเรื่องที่พูดยากอีกเพราะมันเป็นงานที่มีพันธกิจต่อสังคมคดีฆาตกรรมที่หยิบยกมาพูดในเรื่องมันก็กระทบกับคนวงกว้างจริง ๆและเป็นช่วงเริ่มตั้งไข่ ยังไงก็เป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

     

    การที่เขาแบ่งเส้นชัดเจนโดยการมองไปเลยว่าฆาตกรพวกนี้คือปีศาจมันอาจจะฟังดูเบียว แต่โดยส่วนตัวเราก็รู้สึกว่าการมองให้ไม่เป็นคนไปเลย เป็นการเน้นย้ำที่ชัดเจนว่าการศึกษาเรื่องพวกนี้ไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดความเห็นใจในตัวฆาตกรในฐานะมนุษย์แต่ทำเพราะต้องศึกษาฆาตกรที่เป็นปีศาจ เพื่อรวบรวมข้อมูลไปสู่การคาดการณ์และประเมินสถานการณ์ต่างๆ และพอมองว่าเป็นปีศาจแล้ว ก็ทำให้เรื่องมันเล่าได้เรียบร้อยมากเพราะเขาฉายภาพของการเป็นปีศาจที่ทำร้ายมนุษย์ชัดเจนมาก ๆ



    นอกจากการขีดเส้นชัดแล้วเรื่องก็ยังตั้งคำถามไว้ในใจคนดูได้อย่างน่าสนใจว่าปีศาจที่กำเนิดขึ้นมาคือเป็นมาแต่กำเนิด หรือมาจากการที่โลกผลักเขาให้เป็นปีศาจกันแน่ เราชอบไดอะลอคนึงที่กุกยองซูพูดว่าถ้าโลกผลักเขาให้เป็นปีศาจโลกก็ควรรับผิดชอบเขาด้วย รู้สึกว่าตรงนี้เป็นหลักที่ดีว่าเรื่องก็ยังมองว่าสังคมต้องเข้ามาดูแลตรงนี้ด้วยเพราะจากเรื่องที่หยิบยกมาเล่าหลายเคส ฆาตกรเคยเจอเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวหรือเป็นคนที่ถูกละเลยจากสังคม


    แต่ก็ไม่ได้โทษสังคมไปเสียอย่างเดียวตัวกุกยองซูก็พูดอยู่ตลอดว่าเขาก็มาจากครอบครัวที่อัตคัตก็เติบโตมาเป็นตำรวจได้และหลาย ๆ คนก็เช่นกัน หรือการที่ฮายองเติบโตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวก็เติบโตมาได้ ซึ่งไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ที่ยกจนข่มท่านฉันทำได้ แกทำไม่ได้แต่อย่างไร แต่พูดเพื่อให้ข้ออ้างของการใช้เรื่องที่ครอบครัวมีปัญหาหรือเรื่องราวโหดร้ายในวัยเด็กมาตัดสินว่าคนคนนี้จะก่ออาชญากรเพียงอย่างเดียวไร้น้ำหนัก เขาเล่าเรื่องแบบถ่วงดุลตรงนี้มาตลอดเลยทำให้ได้เห็นแต่ไม่ได้เเห็นใจใด ๆ ชอบมาก 


    อ่านใจปีศาจเป็นเรื่องที่พูดถึงเหยื่อได้จมลึกและเรียบร้อยมากๆ หนึ่งเรื่องเราว่าการที่ซงฮายองเป็นคนแบบนี้ทำให้เรื่องได้พาเราไปสำรวจเหยื่อผ่านตัวเขาเยอะมาก เพราะการทำงานตรงนี้ของเขามันมาจากการนึกถึงเหยื่ออยู่ตลอด อย่างที่บอกไปในข้างต้นเกี่ยวกับฮายองและเรื่องถ่ายทอดครอบครัวเหยื่อจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้ชวนใจสลายมาก ๆเขาเล่ามันได้ดูสามัญมาก ๆ เป็นสถานการณ์เรียบง่ายแต่แค่นึกถึงก็ชวนน้ำตาไหลอีกแล้วอย่างการที่ครอบครัวเหยื่อยืนมองป้ายตามหาลูกสาว/แม่ที่ถูกปลดออกเพราะคดีจบลงแล้วหรือการที่แม่นั่งดูคลิปลูกวิ่งอยู่ในนั้นหลังคดีจบไปแล้ว


    เราจะได้เห็นฮายองไปเยี่ยมครอบครัวเหยื่อแบบเงียบๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวางดอกไม้ไว้ให้เงียบ ๆ การไปเยี่ยมแม่เหยื่อที่โรงพยาบาลหรือการที่ไปยืนมองการปลดป้ายอยู่ไกล ๆ การที่ฮายองรับรู้แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้แล้วนั่นยิ่งทำให้มันน่าเศร้าไปอีกก็ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่มีทางออกจากตรงนี้เหมือนกันซึ่งตรงนี้คงส่งผลให้เรื่องก็มองฮายองเป็นเหยื่อเหมือนกันเอาจริงตรงนี้คือทำเราเซอร์ไพร์สมากการที่เขามองว่าโปรไฟเลอร์แบบซงฮายองก็เป็นเหยื่อที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากอาชญากรรมแบบนี้เหมือนกัน  เรื่องมันระบุชัดเลยว่าฮายองเป็นเหยื่อชัดสุดคือผ่านซีนที่ถูกตัดออก (ตัดทำไม) ที่เป็นรูปวาดเหยื่อที่อูจูวาดแล้วมีฮายองในนั้น


    นอกจากนั้นแล้วเขายังพยายามสร้างสังคมที่ตระหนักและให้ความสนใจเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อผ่านการทำข่าวของยุนจีเพื่อนนักข่าวของอูจู ซึ่งเอาจริงว่าอ่านใจปีศาจเล่าเรื่องนักข่าวตรงนี้ได้น่าสนใจว่าข่าวเดียวกันไม่จำเป็นที่ต้องนำเสนอในมุมมองกระแสหลัก ที่ไปรุมทิ้งอย่างเดียวแต่เราสามารถนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ให้กับสังคมได้ และในฐานะคนทำข่าวยุนจีก็ทำให้เราได้เห้นสิ่งนั้น เราชอบมากที่มีข่าวนึงในเรื่องในขณะที่ทุกคนมัวแต่ตามตัว มัวแต่ให้แสงกับฆาตกรจนเกินพอดีแต่ยุนจีกลับเลือกที่จะให้ความสนใจกับเหยื่อเพราะมองว่าไม่อยากที่จะให้ค่าอิคนอุบาทว์นี่ ก็ยิ่งชัดเลยว่าสถานการณ์นึงเราจะเล่าอะไรจากมันได้บ้าง

     

    ประเด็นนักข่าวในอ่านใจปีศาจนี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องรองมากๆ  แต่เขาก็ยังทำได้ดีจริง ๆทั้งนักข่าวรุ่นพี่อุบาทว์ที่สักแต่ว่าจะทำข่าวใช้สิทธิในการอยากรู้ของประชาชนเป็นข้ออ้างเพื่อทำข่าว จนมองข้ามมันถูกประเด็นถึงขนาดรุกล้ำข้อมูลส่วนตัวของซงฮายอง กับการเลือกที่จะนำเสนอมุมมองที่แตกต่างในข่าวเดียวกันของนักข่าวรุ่นใหม่เลยขชอบมากตอนเขียนบทความนี้เราดูละครเรื่องอื่นแล้วเขาพูดถึงความจำเป็นในการนำเสนอข่าวเป็นอย่างมากแต่ไม่ได้พูดถึงมุมมองในการนำเสนอข่าวไรงี้พอนึกถึงอ่านใจปีศาจก็พบว่าเขาทำเรื่องนี้ได้เรียบร้อยเลยนะ เราประทับใจมาก

     

    นักแสดงเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าสุดยอดมากคิมนัมกิลเก่งมาก คือเราชอบพี่นัมกิลมาตลอด แต่เรื่องนี้เขาทำได้เกินคาดเราไปอีกโดยปกติแล้วเราก็ไม่ได้คาดคิดว่าคาแรคเตอร์ของซงฮายองมันจะออกมาได้ดูน้องขนาดนี้พี่นัมกิลถ่ายทอดซงฮายองออกมาได้ชวนให้คนดูอย่างเราเอ็นดูมาก ซึ่งเป็นมู้ดที่รู้สึกว่าแปลกตากับซีรีส์สืบสวนเกาหลีมากเพราะปกติตัวละครแบบนี้จะไม่ได้มีความน้องขนาดนี้ ชอบการตีความการแสดงออกของพี่นัมกิลมาก ยิ่งการพัฒนาตัวซงฮายองเขาก็ทำได้สุดมากเขาไต่ระดับเก่งมากเลยอะ

     

    หรือจะเป็นตัวละครกุกยองซูที่ได้จินซอนกยูมารับบทนี้ก็ชอบลุคคนจับจดไม่ยอมแพ้ของเขานะชอบการแสดงความรู้สึกของเขาในช่วงที่รู้สึกอึดอัดมาก ๆ มันแบบเป็นความรู้สึกที่ก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงแต่ให้หยุดเลยก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งพี่เขาทำได้ดีมากเลยอะ แบบโคตรจะประทับใจเลย

     

    คิมโซจินที่มารับบทตำรวจสาวผู้ยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติ ในช่วงแรกไม่เคยเชื่อหน่วยนี้รู้สึกว่าไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่ก็ค่อย ๆ พัฒนาไป เป็นตัวละครที่ดูเหมือนจะสีจางๆ แต่พอย้อนกลับมามองเขากเป็นตัวแทนที่ภาพของตำรวจที่ขยันทำงาแต่ไม่ได้เชื่อในแนวทางนี้เหมือนกันแล้วพี่เขาเล่นได้ไชน์มาก ท่ามกลางตัวละครผู้ชายมากมายพี่โซจินพลิกบทอีกครั้งนึงเลย ถ้าใครดูหนังเรื่องหนีตายโมกาดิชูคงจะแปลกใจกับลุคเขาในเรื่องนี้เลย


    นอกจากนักแสดงแล้ว อ่านใจปีศาจน่าจะเป็นซีรีส์เกาหลีที่ถูกจัดอยู่ในหมวดสืบสวนที่งานภาพมีเลือดน้อยมากจนทำให้เรารู้สึกแปลกตาเขาไม่ได้ถ่ายทอดความรุนแรงผ่านงานภาพเท่าไหร่ แต่ไปขายความรุนแรงของอาชญากรรมผ่านอากัปกิริยาของตัวละครในเรื่องที่เราได้เห็นและผ่านความสลดหดหู่ของครอบครัวเหยื่อ หรือดีเทลต่าง ๆ แทน เลยทำให้ crime scene เขาเลือดน้อยจริงๆ ซึ่งน่าจะเป็นมิตรต่อคนดูที่ไม่ค่อยอยากเห็นภาพเลือดเยอะ ๆ อยู่เหมือนกัน


    การใส่ดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญแต่ก็สำคัญลงมาในเรื่อง ผ่านตัวละครที่ยุนแทกูที่เป็นผู้หญิงคนต้องต่อสู้กับความอุบาทว์ในสังคมตำรวจที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอดทั้งหัวหน้าแย่ ๆ ที่คอยจะกดเธออยู่ตลอดก็ดีหรือการที่ทำให้ซงฮายองใส่ใจแม้กระทั่งคำเรียกที่คนทั่วไปใช้เรียกยุนแทกูก็ดีคือเรารู้สึกว่าโคตรเมคเซนส์ที่ให้ฮายองเป็นคนคอยแย้งคำพูดคือเพราะเขาเป็นคนแบบนั้นการที่เขาจะรับรู้ความรู้สึกถึงความไม่สบายใจของผู้หญิงที่ถูกแบ่งแยกว่าเป็นแม่หนูในขณะที่ทุกคนถูกเรียกว่าสายสืบ หรือดีเทลที่ดีมาตั้งแต่การเป็นหนังสือแล้วอย่างการที่ให้ซงฮายองและกุกยองซูใส่สูทใส่เสื้อผ้าที่ไมเหมือนสายสืบเพื่อให้มีมุมมองที่ต่างไปจากการเป็นตำรวจทั่วไปก็น่าสนใจมาก


    เราว่าเรื่องเขาพยายามสอดแทรกประเด็นสังคมมาเรื่อยๆ ผ่านเคสต่าง ๆ พูดเรื่องความปลอดภัยของสังคม (ก็แน่ละ นี่มันซีรีส์อาชญากรรมนะ) เรื่องการเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในที่ทำงานของยุนแทกูที่ต้องเจอกับความอุบาทว์ของคนในที่ทำงานหรือจากฆาตกรก็ดี เรื่องราวของการทำงานหนักที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตครอบครัวทั้งยองซูก็ดี หรือจะเป็นฮายองก็ดี ก็ถูกทำให้เห็นอยู่เรื่อย หรือผลกระทบจากการเกิดความรุนแรงในครอบครัวว่ามันอาจจะผลักคนมาได้ไกลขนาดไหน ก็คงเพราะว่าเรารู้สึกว่าเขาเล่าให้มันเป็น slice of life ของโปรไฟเลอร์ด้วยเขาเลยแวะเก็บประเด็นต่าง ๆ รายทางมาเรื่อย ๆ และทำได้อย่างเรียบร้อยมากด้วย


    สำหรับเราอ่านใจปีศาจไม่ใช่ซีรีส์ที่เราจะจดจำมันในแง่ของการเป็นซีรีส์สืบสวนความชวนลุ้นจังหวะตื่นเต้น แต่คงจะจดจำมันในฐานะซีรีส์อาชญากรรมที่เล่าเกี่ยวกับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับมันไม่ว่าจะเป็นโปรไฟเลอร์ ตำรวจ ฆาตกร นักข่าว และเหยื่อผู้โชคร้าย โดยให้ความสำคัญกับการฉายแสงมายังเหยื่อและครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ค่อนข้างมาก โดยหวังให้

    สังคมของเราให้ความสนใจกับความเจ็บปวดของเหยื่อและครอบครัว

    ที่มักถูกละเลยมากที่สุดจากอาชญากรรมนี้”

    (อ่านใจปีศาจ ตอนที่ 12)

    มันคงไม่ได้เรียบร้อยไปทุกอย่างเพราะเพื่อนบ่นเรื่องภาพไม่คอน (ไม่คอนคือการที่เหมือนฉากไม่ต่อเนื่องกันเช่นซีนนี้ใช้มือจับข้างขวา แต่พอเปลี่ยนมุมเป็นมือจับข้างซ้ายงี้)และบางอย่างที่เราไม่อาจะสังเกตเห็น แต่การที่เขาพาเราเข้าไปสำรวจความเสียหายในสภาพจิตใจของเหล่าผู้คนผู้อ่านใจปีศาจว่าแหลกสลายไปขนาดไหนด้วยมุมมองที่ว่าเขาก็คือเหยื่ออีกคนจากอาชญากรรมเหมือนกันนี่ก็ทำเราประทับใจไปอีกนาน

     ------------------------------------------------------------------------

    ขอบคุณมากเลยค่ะที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้

    อะไรที่ผิดพลาดไปก้ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ

    ใครคิดเห็นอะไรยังไง หรือรู้สึกว่าเราอวยเว่อไปปะเนี่ย (lol) ไรงี้ก็ทิ้งคอมเม้นท์กันไว้ได้ตามเคยเลยนะคะ

    ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in