เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรียนรู้เรื่องใกล้ตัวในมุมสังคมวิทยาSaGaZenJi
การดิ้นดับของความรักในกล่องแชท
  •        การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของเทคโนโลยีในการสื่อสารส่งผลให้ระดับความสามารถและศักยภาพในการสื่อสารของมนุษย์ข้ามพ้นขีดจำกัดของสื่อสารแบบเก่าๆ ภาพคำพูดที่อาศัยอากาศเป็นตัวกลางในการส่งผ่านไปยังผู้ฟังในระยะใกล้ๆได้จางลงในยุคที่นวัตกรรมการสื่อสารสามารถทะลายปราการสำคัญอย่างระยะทางและเวลาซึ่งเป็นอุปสรรคชื้นใหญ่ต่อความไหลลื่นในการสื่อสารลงอย่างหมดสิ้น การสร้างปฏิสัมพันธ์ในโลกปัจจุบันจึงไร้ข้อจำกัด สื่อกลางในการสื่อสารกลายเป็นคลื่นไฟฟ้าซึ่งสามารถกระจายข้อมูลไปยังผู้รับสารได้คราวละมาก ๆ

           บทความชิ้นนี้ต้องการนำเสนอการดิ้นดับลงของ “ความรัก” อารมณ์แบบหนึ่งทีี่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ในบริบทของสังคมโลกาภิวัตน์ โดยใช้แนวคิดสำนักปฏิสังสรรค์เชิงสัญลักษณ์ (symbolic interactionism) ในการอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว รวมถึงพยายามชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เปลี่ยนไปเนื่องด้วยการสื่อสารรูปแบบใหม่ในปัจจุบัน

           เนื้อหาในบทความชิ้นนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ในส่วนแรกผมจะนำเสนอมุมมองของสังคมในฐานะประติมากรรมชิ้นยักษ์ที่ถูกสรรสร้างจากอารมณ์และกล่าวถึงความรักในมุมมองของอารมณ์ที่คนสองคนร่วมประดิษฐ์ขึ้นมาผ่านกรอบแนวคิดในสำนักปฏิสังสรรค์เชิงสัญลักษณ์ ส่วนถัดมาผมจะสะท้อนประเด็นปัญหาของการสื่อสารที่สูญเสียความสามารถในการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบางประการลงในโลกไร้พรมแดนและส่วนสุดท้ายผมจะบรรยายถึงผลกระทบของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น การปรับตัวของตัวแสดงต่าง ๆ รวมถึงการให้คุณค่าและความหมายของอารมณ์


    ความรักเกิดจากอารมณ์ สังคมก็เช่นกัน . . .

           นักสังคมวิทยาพยายามมีความพยายามในการอธิบายว่าสังคมคืออะไรมาตั้งแต่สาขาวิชานี้เริ่มก่อตั้ง ความพยายามนี้ส่งผลให้ทฤษฎีมากมายได้รับการพัฒนาขึ้นจากนักคิดสำนักต่างๆ เพื่อใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับมนุษย์ ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีให้ภาพสังคมที่แตกต่างกันออกไป บทความนี้ผมอยากจะชวนผู้อ่านมองการอธิบายสังคมผ่านแนวคิดชุดหนึ่ง ในแนวคิดชุดนี้ นักสังคมวิทยาพยายามเสนอว่าสังคมเป็นเสมือนสิ่งก่อสร้างที่เกิดจาก “ปฏิสัมพันธ์” ระหว่างตัวแสดงต่าง ๆ ตัวแสดงที่ว่านี้ โดยทั่วไปแล้วหมายถึง มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในสังคมในขณะที่ปฏิสัมพันธ์คือ “การสื่อสาร” ระหว่างสมาชิกในสังคมผ่านรูปแบบต่าง ๆ โดยแต่ละครั้งที่มีการสื่อสารเกิดขึ้นจะมีการตีความปฏิสัมพันธ์ที่ใช้ในการสื่อสารเสมอ สิ่งที่ต้องตีความเหล่านี้เรียกว่า “สัญญะ” สัญญะอาจจะมาในหลายรูปแบบ ตั้งแต่เสียง ตัวอักษร ท่าทาง แววตา จนไปถึงสัมผัสต่าง ๆ  เป็นต้น ดังนั้นผมคิดว่าไม่น่าจะผิดอะไรหากจะเปรียบสังคมมนุษย์เป็นเสมือนโลกของสัญญะต่าง ๆ ที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นจากการสื่อสารของคนในสังคมแต่ละคน

           ตัวแสดงในสังคมเองก็มองสังคมผ่านการตีความปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ในแง่นี้ผมอยากตั้งข้อสังเกตชวนให้ขบคิดว่าอารมณ์ในตัวมนุษย์สามารถเข้ามามีบทบาทต่อการเข้าใจสังคมได้ ผมอยากชวนมองอย่างนี้ว่า แต่ละครั้งที่เรารับสารอะไรบางอย่างเข้ามา สิ่งที่บิดเบี้ยว เปลี่ยนแปลง หรือกระทำต่อผลลัพธ์ของการตีความให้ต่างกันไปคือ “อารมณ์” ของคนแต่ละคน อารมณ์ถือเป็นศูนย์กลางของการตีความสัญญะต่าง ๆ ที่เราได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่นรอบข้าง อีกทั้งอารมณ์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนพฤติกรรมและสร้างตัวตน (self) ให้กับปัจเจกบุคคลแต่ละคน จนถึงตอนนี้ผมคงไม่ทำให้ผู้อ่านงงมากนักหากจะใช้ศัพท์แสงวิชาการสักหน่อย เรียกแนวคิดที่ผมได้สาธยายไปข้างต้นนี้ว่าเป็นแนวคิดแบบ “ปฏิสังสรรค์เชิงสัญลักษณ์ (symbolic interactionism)” มุมมองนี้เองที่สร้างความชอบธรรมให้กับนักสังคมวิทยาในการกล่าวว่า “สังคมเป็นประติมากรรมชิ้นยักษ์ของอารมณ์และอารมณ์เองก็ยึดโยงกับสังคมอย่างแยกจากกันมิขาด”  ดังที่บลูเมอร์กล่าวเอาไว้ในงานเขียนของเขา


    People act toward things based on the meaning those things have for them, and these meanings are derived from social interaction and modified through interpretation.

    (Blumer, 1969) Symbolic Interactionism: Perspective and Method.


    ในทัศนะของผม อารมณ์ทางสังคมเหล่านี้ได้แก่ ความละอายใจ ความสงสาร ความเห็นใจ รวมถึงอารมณ์ที่ผมจงใจใช้เป็นพระเอกของบทความชิ้นนี้อย่าง “ความรัก” เป็นต้น ผมอยากชวนมองอีกครั้งว่าจริง ๆ แล้วความรักถือเป็นประดิษฐกรรมอย่างหนึ่งที่เกิดจากการตีความสัญญะบางอย่างระหว่างตัวแสดง พูดให้เป็นภาษาชาวบ้านชาวช่องหน่อยก็อาจกล่าวว่าความรักคือ ความรู้สึกร่วมกันของคนสองคนที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารและตีความการสื่อสารเหล่านั้น ดังนั้นความรักจึงเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนและต้องอาศัยองค์ประกอบของปฏิสัมพันธ์หลายประการในการรับรู้ เช่น แววตา น้ำเสียง ท่าทาง จังหวะจะโคนในการพูดหรือแม้กระทั้งเสื้อผ้าหน้าผม สิ่งเหล่านี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงให้เห็นและเพื่อช่วยให้ผู้รับสารรับรู้ถึง “ความรัก” ในพื้นที่ระหว่างกันและกัน ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ของผมเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ผมเชื้อเชิญให้ผู้อ่านลองกลับไปคิดถึงประสบการณ์ที่ผู้อ่านเคยมีเกี่ยวกับความรัก ไม่ว่าจะเป็นการรักเองเออเอง รักข้างเดียว หรือรักแรกพบ สิ่งที่ผู้อ่านใช้ในการตัดสินใจว่านั่นเป็นความรัก คืออะไร? ผมเชื่อว่าไม่มากก็น้อย สัญญะ เช่น น้ำเสียง แววตาและการคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองต่อหน้าคนที่ชอบเป็นเครื่องประกันการตกหลุมรักใครสักคน

           ในส่วนต่อไปผมจะนำผู้อ่านเข้าไปสู่ข้อสังเกตที่ว่าเทคโนโลยีในสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสาร วิธีการในการตีความสัญญะ รวมถึงพลิกโฉมรูปแบบปฏิสัมพันธ์เสียใหม่จนสร้างอุปสรรคบางประการต่อการก่อตัวของความรักได้อย่างไร

  • กล่องแชทกับโลกที่ไร้เสียง . . .

           เดิมทีการสื่อสารอาศัยอากาศเป็นสื่อกลางในการส่งผ่านเป็นหลัก เสียงที่เปล่งออกมาจากการอัดของอากาศในปอดสามารถรับรู้ได้ในระยะทาง เวลา และพื้นที่อันจำกัด มนุษย์ใช้การสื่อสารในลักษณะที่ว่ามานี้ในการส่งผ่านภาษาอันเป็นสัญญะตั้งต้นในการตีความ

           ทุกวันนี้นักภาษาศาสตร์เองก็ยังคงถกกันถึงที่มาของความสามารถในการตีความเสียงให้เป็นความหมายว่าเป็นสิ่งที่ฝังตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดหรือถูกพัฒนาขึ้นผ่านการขัดเกลาทางสังคมกันแน่ ผมคงไม่ใช้พื้นที่ของบทความชิ้นนี้เพื่อบรรยายถึงข้อถกเถียงนี้มากนัก แต่สิ่งที่ผมอยากเสนอคือ เสียงถือเป็นนวัตกรรมแรกของมนุษยชาติที่ได้รับการใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสื่อสารและตีความสัญญะเมื่อมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กัน

           เทคโนโลยีในยุคต่อมาได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อทะลายข้อจำกัดของเสียงที่สามารถส่งผ่านความหมายได้ในพื้นที่อันจำกัด อุปกรณ์อย่างโทรโข่งถูกใช้เพื่อขยายปริมณฑลเสียงให้ได้ยินไกลขึ้น อย่างไรก็ตามระยะทางและเวลายังคงเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร จนกระทั่งมนุษย์บางกลุ่มได้สร้างระบบการส่งสาร-รับสารแบบใหม่อย่าง  “การเขียน” ขึ้นมาและพลิกโฉมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน

           การเขียนเกิดขึ้นจากภูมิปัญญาของมนุษย์ในการสร้างสัญลักษณ์ใช้แทนเสียงหรือที่ทุกวันนี้เราเรียกว่า “ตัวอักษร” การเข้ามาของตัวอักษรทำให้มนุษย์สามารถใช้สิ่งของอย่างเช่นกระดองเต่า แผ่นหินหรือดีกว่านั้นหน่อยคือกระดาษในการบันทึกเสียงและส่งผ่านเสียงนี้ให้กับคนที่อยู่ไกลๆ และคนที่อยู่ต่างยุคต่างสมัยได้ นี่เป็นครั้งแรกที่การสื่อสารและการสร้างปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์อยู่เหนือการเวลาและระยะทางอย่างแท้จริง หากทว่าชัยชนะในครั้งนี้แลกมาด้วยหน้าที่ของมนุษย์ที่ต้องร่ำเรียนการตีความสัญญะผ่านตัวอักษรรวมถึงเรียนรู้ที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ผ่านการจรดปลายปากกา ในแง่นี้การตีความที่เกิดจากตัวอักษรจึงชัดเจนว่าเป็นความสามารถที่ถ่ายทอดผ่านการขัดเกลาทางสังคม ผมกล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าการตีความสัญญะจากการปฏิสังสรรค์กันระหว่างตัวแสดงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการร่ำเรียนและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมร่วมกับสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือไปจากอารมณ์ที่ผมได้กล่าวไว้ในส่วนแรก ถ้าให้ผมอุปมาอุปมัย วัฒนธรรมและค่านิยมเปรียบเสมือนแว่นที่มนุษย์ใช้ในการตีความ ในขณะที่อารมณ์เปรียบเสมือนเลนส์และสีที่ทำให้เราได้ภาพจากการมองที่แตกต่างกันไป

           การเข้ามาของเทคโนโลยีประเภทเครื่องพิมพ์และเครื่องอัดเสียงขยายอำนาจของการสื่อสารและปลดปล่อยรูปแบบในการสร้างปฏิสัมพันธ์ออกไปอีกขั้นหนึ่ง ผมเสนออย่างนี้ว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งหลายทำให้การเขียนลื่นไหลไม่ต่างจากการสื่อสารด้วยเสียงซึ่งนั่นทำให้ตัวอักษรในโลกไร้พรมแดนไม่มีข้อจำกัดเสียจนบทบาทของสัญญะอื่น ๆ อาทิ การใช้แววตา การใช้ท่าทาง แม้กระทั้งการใช้เสียงในการสื่อสารมีความสำคัญน้อยลง ผมเชื่อว่าโลกของเราดำเนินมาสู่สังคมไร้เสียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเปรียบเปรยอย่างนี้เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าทุกวันนี้การสื่อสารและการปฏิสังสรรค์ระหว่างมนุษย์แทบจะปฏิบัติการผ่านตัวอักษรเกือบทั้งหมด ตามทัศนะของผมตัวอักษรไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้สื่ออารมณ์ตั้งแต่แรก ตัวอักษรส่งผ่านความเป็นห่วงเป็นใยได้ยาก ตัวอักษรไม่อาจสะท้อนแววตาแห่งความคิดถึงได้ บ่อยครั้งที่เราต้องแสดงความรักด้วยการใช้เครื่องมือชนิดอื่นในกล่องข้อความเพื่อทะลายข้อจำกัดตรงนี้ลง ซึ่งผมจะกล่าวละเอียดขึ้นในส่วนถัดไป แต่ถึงตรงนี้ ผมได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าข้อจำกัดนี้เองทำให้การสื่อสารสูญเสียอำนาจในการสื่ออารมณ์และในท้ายที่สุดความรักในกล่องข้อความจึงค่อย ๆ เริ่มดับดิ้นลงพร้อมกับโลกอันเงียบสงัด

           ในส่วนสุดท้ายผมจะกล่าวถึงความพยายามในการกอบกู้อารมณ์และความรักของตัวแสดงในสังคมไร้พรมแดน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงการแสดงความรักในโลกสมัยใหม่
  • ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ . . .

           ถึงแม้อารมณ์จะสูญเสียความสามารถในการถ่ายทอดตัวมันเองในโลกของกล่องข้อความแต่มนุษย์ไม่ได้จำนนต่ออุปสรรคนี้นานนัก การเข้ามาของตัวอักขระพิเศษเพื่อใช้แทนอารมณ์อย่าง Emoticon และ Emoji เป็นก้าวแรกของมนุษย์ที่ใช้สร้างอารมณ์บนโลกของข้อความ อักขระพิเศษอย่างเช่น :-) หรือ :-( ถูกใช้เพื่อสื่อถึงสีหน้าของผู้ส่งสารหรือผู้รับสารในการสนทนา โลกของกล่องข้อความกลับมามีสีสันด้วยอารมณ์เสมือนเหล่านี้ นวัตกรรมด้านนี้ได้รับการต่อยอดจนกลายมาเป็น Stamp หรือ Sticker ที่เป็นรูปภาพ มีทั้งแบบที่เคลื่อนไหวได้และมีเสียง สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความโหยหาอารมณ์ในการสื่อสารบนโลกอินเตอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี เป็นเช่นนี้ข้อความที่ว่า “ความรักชนะทุกสิ่ง” ดูท่าจะจริงและทุกอย่างดูน่าจะจบลงอย่างสวยงามแต่ทว่าสิ่งที่นวัตกรรมเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ยังคงมีอยู่

           ผมขอพูดอย่างนี้ว่า ถึงแม้นวัตกรรมในปัจจุบันจะเข้ามาแทนที่อารมณ์ที่หายไปในการสื่อสารได้แทบจะสมบูรณ์แต่ความไม่ต่อเนื่องของการสนทนา (discontinuity of conversation)  ยังถือเป็นอุปสรรคต่อการก่อตัวของความรักอย่างราบรื่นในโลกออนไลน์ แม้โลกออนไลน์จะอนุญาตให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างราบรื่นสักเพียงใด การสนทนากันในกล่องข้อความยังคงถูกกำหนดโดยผู้ส่งสารและผู้รับสาร การส่งข้อความที่ไม่ต่อเนื่องส่งผลต่อความมั่นใจของเราต่อคนที่เราคุยด้วย ในปริมณฑลออนไลน์ ไม่มีกำแพงใดๆ บังคับให้การสนทนาในแต่ละครั้งต้องจบลงอย่างสมบูรณ์และเป็นที่น่าพอใจกับทั้งสองฝ่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น บ่อยครั้งที่เรามักจะสงสัยในตัวของผู้ที่เข้ามาทักทายกับเราอย่างสม่ำเสมอและคุยกับเราอย่างต่อเนื่องยาวนานในกล่องข้อความว่าคนเหล่านี้ดูมีแนวโน้มที่จะปันใจให้เราหรือไม่ ซึ่งความไม่แน่ใจเช่นนี้ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาดใจเพราะก่อนที่เราจะสื่อสารความรักผ่านตัวอักษรในกล่องข้อความ “การจีบ” กันต่อหน้ายังต้องใช้ความต่อเนื่องและความยาวนานในลักษณะนี้เป็นตัวพิสูจน์แรงม้าที่มีต่อคนที่เราชอบ ผมอยากสะท้อนให้เห็นว่าความรักในโลกออนไลน์ต้องทุ่มเทไม่ต่างอะไรกับการจีบกันในความเป็นจริงและอาจจะต้องเสียเวลามากกว่าในความเป็นจริงด้วยซ้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย

           อุปสรรคประการที่สองในการสร้างความรักผ่านโลกตัวอักษรคือ การจีบกันในโลกพิมพ์ดีดไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง ผมอยากชี้ให้เห็นว่าในการตีความการสื่อสารกันโดยใช้ตัวอักษรและอารมณ์เสมือนนั้นผู้รับสารไม่ได้ตีความอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ในทางกลับกันผู้รับสารกลับตีความสิ่งที่ได้อ่านบนพื้นฐานของสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความจริง พูดเช่นนี้อาจจะดูวิชาการไปเสียหน่อย ภาษาง่ายๆ คือ ทุกวันนี้ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในกล่องข้อความเกิดจากการ “มโน” อิงจากสิ่งที่เราได้อ่านและเห็นในกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งในทัศนะของผมไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริงก็ได้ ผมขอยกคำพูดของนักคิดที่เป็นแรงบันดาลใจของผมที่ใช้ในการอ้างเรื่องนี้เสียหน่อย

    " If you say, I love you, then you have already fallen in love with the language, which is already a form of break up and infidelity. "
    Jean Baudrillard
    สิ่งนี้ก่อให้เกิด “ความทุกข์” แบบใหม่ๆ ของความรักในสังคมออนไลน์ ผมขอยกเหตุการณ์จำพวกได้รู้จักกับใครสักคนผ่านกล่องข้อความและพูดคุยกันราวกับว่าเข้าใจกันเป็นอย่างดีจนวันหนึ่งมีโอกาสได้เจอกัน ปฏิสัมพันธ์ตรงหน้ากลับยากลำบากและชวนน่าอึดอัดกว่าโลกของตัวอักษร อาจเป็นเพราะการพูดคุย การแสดงท่าทาง การปั้นสีหน้าในความเป็นจริงไม่ได้สื่อออกมาได้ไหลลื่นเหมือนในกล่องสี่เหลี่ยม เป็นต้น ผมพูดเช่นนี้เพื่อพิสูจน์สมมติฐานของผมที่กล่าวไว้ในส่วนแรกว่าธรรมชาติของการแสดงออกถึงความรักหรือความสนใจในอีกฝ่ายจำเป็นต้องอาศัยปฏิบัติการอันซับซ้อนของสัญญะ แววตา น้ำเสียง ท่าทางและเสื้อผ้าหน้าผม สิ่งเหล่านี้ถูกลดทอนให้ไร้เสียงในโลกของกล่องข้อความ ในทางกลับกัน กลับมีบทบาทอย่างยิ่งในความเป็นจริง ในท้ายที่สุดความรักที่ก่อตัวในโลกออนไลน์จึงจบลงด้วยการได้พบหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง
     
           ประการสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากไว้คือ การตีความสัญญะจนก่อเกิดเป็นความรักที่ราบรื่นได้นั้นต้องการอาศัยความเข้าใจตรงกันของทั้งสองฝ่าย (double coincidence of comprehension) ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็นภาพเช่น นาย A ชวนนางสาว B ไปกินข้าวโดยที่สองคนนี้รู้จักกันมาสักพักผ่านโลกออนไลน์และได้พูดคุยกันมาประมาณหนึ่ง นางสาว B รู้สึกว่านี่คือสัญญาณของความรัก เนื่องจากตนไม่เคยขอร้องให้มีการนัดกันใดๆ รู้สึกได้ว่านาย A มีใจให้ตนประมาณหนึ่ง ในขณะที่ความเป็นจริงนาย A ตั้งใจแค่อยากเจอตัวเพื่อดูว่านางสาว B มีนิสัยหรือบุคลิกในแบบที่ได้กล่าวอ้างไว้ในโลกออนไลน์หรือไม่ แน่นอนว่านางสาว B แต่งตัวเต็มยศด้วยความคาดหวังว่านี่จะเป็นเดทแรกที่น่าประทับใจในขณะที่นาย A ง่วนอยู่กับการหาร้านราคาถูกพอแค่ให้นั่งคุยกันได้ ประสบการณ์เจอกันครั้งแรกของสองคนนี้ไม่น่าจะอภิรมย์ใจนัก ตัวอย่างนี้สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าในโลกตัวอักษร การเกิดความเข้าใจตรงกันของทั้งสองฝ่ายเป็นไปได้ยากทั้งในทั้งแง่ขนาดและความเข้มข้นเพราะตัวช่วยปรับความเข้าใจให้ตรงกันอย่าง น้ำเสียงหรืออวัจนภาษาเวลาพูดคุยไม่สามารถส่งผ่านไปได้ในโลกคลื่นสัญญาณไฟฟ้า “การตีความพลาด (misinterpretation)” จึงสามารถเกิดขึ้นบ่อยๆ ในทัศนะผมสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกกันติดปากว่า “นก”

           ผมเพียรเขียนบทความยาวเหยียดขนาดนี้เพื่อสรุปในท้ายที่สุดว่า ถึงแม้โลกของกล่องข้อความจะกลายเป็นรูปแบบของการปฏิสังสรรค์ใหม่ๆ แต่ข้อพิสูจน์ต่อความรักที่ต้องใช้ปฏิบัติการร่วมกันของสัญญะอันซับซ้อนนั้นไม่อาจจะถูกลดทอนให้อยู่ในรูปแบบของประติมากรรมทางอักขระได้อย่างสมบูรณ์ 

           บทความของผมชิ้นนี้เป็นเพียงมุมมองหนึ่งในการวิเคราะห์การดิ้นดับลงของความรักและอารมณ์ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์บนโลกของกล่องข้อความแง่มุมหนึ่งเท่านั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่าบทความชิ้นนี้จะกระตุ้นมุมมองให้ผู้อ่านได้กลับไปทบทวนคุณค่าของความรักและอุปสรรคที่ใช้ในการพิสูจน์แรงม้าในโลกไร้เส้นขอบฟ้าอีกครั้ง อีกทั้งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามุมมองที่ผมเสนอไปในบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดผลงานที่อธิบายสังคมในยุคหลังสมัยใหม่ต่อเรื่องต่าง ๆ ให้มากขึ้น 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in