เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The TravellerJust a little longer
Seoul 1st time.
  • ทุกอย่าง มีครั้งแรกเสมอ
    ครั้งแรก.. ของทุกอย่างเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ
    โซลก็เหมือนกัน

    นี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาเกาหลี
    แต่ไม่ใช่ Bagpack ครั้งแรก

    ความรู้สึกของการออกเดินทาง
    สร้างแรงบันดาลใจใหม่ใหม่ได้เสมอ
    เพิ่มพลัง ไฟในตัวเอง

    "ไปในที่ที่ไม่เคยไป ปีละ 1 ครั้ง"
    หลายๆคนคงเคยได้ยินประโยคนี้แล้ว
    แต่เชื่อเถอะ ถ้าได้ทำแล้ว
    ในทุกๆปี คุณจะอยากแพลนจุดหมายการเดินทางมากกว่าหนึ่งที่ในหนึ่งปี

    ความรู้สึกแรก ที่มาถึงโซล
    เมืองสะอาด 
    ถนนเลนส์ใหญ่ กี่เลนส์ไม่ได้นับ..
    แต่เชื่อเถอะว่ามันกว้างจริงๆ
    คิดว่าโซลคงถูกวางผังเมืองมาแล้ว

    แม้กระทั่งเลนส์ของรถบัส
    ก็มีเลนส์ส่วนตัวโดยเฉพาะ
    เหมือนบีอาร์ทีบ้านเรายังไงยังงั้น
    แต่ที่แปลกใจอยู่อย่าง
    คือการกลับรถของคนบ้านเค้า

    ทีแรกเห็นก็ตกใจ ว่าขับๆมาแล้วเลี้ยวยูเทิร์นตรงแยกไฟแดงได้หรอ
    อารมแบบ มอไซค์ไทยเราลักไก่แอบเลี้ยวตรงแยกไฟแดง

    ประกอบกับ เคยดูหนังเกาหลีที่พระเอกรับโทรศัพท์
    แล้วทันใดนั้นก็พระเอกก็ยูเทิร์นเลี้ยวรถกันกลางถนนเลย
    ตอนนั้นก็คิดแค่ว่า หนังตัดมาให้พระเอกดูรีบมากๆแหละมั้ง
    แต่ก็ไม่ใช่.. เมื่อสังเกตุดีดีแล้ว 
    บนถนนของเกาหลี จะมีเส้นยูเทิร์นที่เลี้ยวโค้งออกไปได้เลย 
    แต่ถ้าลองมาทำแบบนี้ที่ประเทศไทย
    คงจะโดนรถทุกคันบีบแตร

    ผู้คนบ้านเมืองของเค้านั้น
    ทุกอย่างดูมุ้งมิ้งน่ารัก
    คู่รัก แฟนวัยรุ่น แต่งตัวเหมือนกัน
    ไม่เหมือนก็แมท
    ไม่แมทก็รองเท้าเหมือน

    ดูแล้วก็น่ารักดี
    แต่ที่น่ารักกว่า จนตอนนี้ยังเก็บมาคิดก็คือ
    ของช็อปปิ้งบ้านเค้าเนี่ยแหละ
    ทำอะไรได้ออกมากระจุ๊กกระจิ๊ก น่ารัก
    หลอกละลายเงินวอนเราไปทุกที่
    แม้จะปฎิญาณต่อตัวเองว่าฉันจะไม่ซื้ออะไรแล้ว

    แนะนำว่า
    เมียงดงอย่าเดิน ถ้าไม่อยากเสียตังค์
    แต่ถ้าใครที่ต้องจำใจไปเดิน
    เราก็แค่แนะนำประโยคสั้นๆ แต่ท่องไว้ในใจว่า
    "จงมีสติ จงมีสติ"


    เชื่อเถอะ อย่าไปเมียงดง

    นอกจากการประชดประชันแล้ว
    ฉันก็ยังเก่งเรื่องอื่นๆอีกนะ
    ถ่ายภาพ..

    เรียกได้ว่า ใครที่ไอโฟน โทรศัพท์มือถือ
    หน่วยความจำเต็มก่อนไปเกาหลี
    ก็ขอแนะนำให้ลบ เคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย
    เพราะคุณจะต้องกลับมาลบอีกครั้ง
    หลังจากเซฟรูปทริปเกาหลีในครั้งนี้

    แต่ถ้าใคร 128 GB ก็ตามใจ
    ขอให้รัวชัตเตอร์ได้อย่างเมามันส์
    เรียกได้ว่า
    จบทริป ก็..เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่เลย


    วันแรกที่โซล
    เพลียจากการไม่ได้นอนบนเครื่อง
    แต่ครั้นมาถึงเกาหลี จะนอนเอาแรง
    ก็กลัวจะโดนหาว่า ปล่อยวันเวลาให้ร่วงเลยผ่านไป
    ก็เลย ฮึ้บ แรงเฮือกสุดท้าย
    แซะตัวเองออกจากเตียง อาบน้ำอาบท่า
    แต่งหน้า แปลงโฉมให้ไฉไล
    แล้วไปที่ง่ายๆแทน

    เอาจริงๆ ก็ไม่ง่าย เพราะแค่ Day 1
    ก็ทำให้ตัวเองหลับแบบไม่ฝันกันเลยทีเดียว
    เหมือนตัวเองหายไปจากโลกนี้ ในคืนนั้นยังไงยังงั้น
    จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้าย ที่หลับแบบไม่ฝัน
    มันนานแค่ไหนแล้ว 
    ขอบคุณเกาหลี ที่ทำให้จำได้ขึ้นมา


  • ที่แรกที่ไปคือห้าง Doota ย่านดงแดมุน 

    เอาจริงๆ ห้างนี่ก็มีแต่ขายของแบรน์เนม
    แต่จุดประสงค์ที่มาครั้งนี้
    คือมาหาอปป้า (ดูรูปซิอปป้าเชื้อเชิญขนาดไหน)
    ที่จริง ก็ไม่ได้บ้า ไม่ใช่ติ่งเกาหลี
    แต่ที่มา เพราะมันใกล้กับ DDP
    ที่เป็นตึกสถาปัตยกรรม งานอาร์ตต่างๆ
    ลักษณะตึกเหมือน UFO ยังไงยังงั้น


    ต่อที่อปป้า
    ที่ห้างนี้มีนิทรรศการ หมอคัง บิ๊กบอส จุงกิของเรานั่นเอง
    ไม่ได้บ้า แต่ก็ดูจนจบ เพราะสนุกดี
    บังเอิ๊ญมีคนแนะนำให้ดู
    คนๆนี้เค้าแนะนำทุกคนแหละ
    ดูทีวีอยู่เปล่า ช่วง 6 โมงเย็นไง
    ก็ท่านชวนดู ก็เลยต้องดู

    ปลาอะไรน่ากลัว
    ปลา กด ว่า เป็น ตู ที่ โดน ปรับ ทัศนคติ

    ไม่ใช่!!
    กลับมา

    ในนิทรรศการก็มีให้ถ่ายรูป
    แล้วมีฉากที่อยู่ในค่าย
    ฉากที่เป็นโต๊ะอาหารที่สร้างขึ้นมาสมจริง
    เหมือนอยู่ซีรีย์ยังไงยังงั้น

    ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก
    แต่ก็ถ่ายรูปมาเยอะพอสมควร
    หมายความว่าไง = =*

    จากการไปนิทรรศการในครั้งนี้
    ทำให้รู้ว่า ไม่ใช่เพียงแต่วัยรุ่นในเกาหลีเท่านั้นที่ชอบจุงกิ
    มีทั้งอาจุมม่า คุณตา คุณยาย
    ที่ยืนรอถ่ายรูป แล้วทำท่าโพสกับจุงกิ
    เรียกได้ว่า ยังจดจำรอยยิ้มของคุณตาเกาหลีคนนั้นได้ 
    ช่างพิมพ์ใจซะเหลือเกิน
    คุณตาดูมีความสุขมากมาก

    เสร็จจากนิทรรศการ
    ก็เดินช็อปปิ้ง ย่านนั้นนิดหน่อย
    แต่ที่ติดใจก็คือ Street Food บ้านเค้าเนี่ยแหละ
    ไก่ผัดซอสของเค้า ช่างอร่อยเหมือนบอนชอนบ้านเราจริงๆ
    แต่เอาจริงๆ คืออร่อยกว่า มันดูกลมกล่อม
    ต้องร้านอาจุมม่าด้วยนะ คลาสสิคสุด

    5000วอน ได้มา 1 ถ้วย มีต็อกบ็อกกี้ปนมาด้วย
    ถ้าไม่คิดว่าอาจุมม่าลดต้นทุน
    ก็เพลินๆ หนุบๆหนับๆ ดี

    เพราะคนไทยไม่ชอบกินแป้ง
    น้าเราเลยพูดขึ้นมาว่า ใส่มาทำไมเนอะ
    แต่เราก็โอเคร ด้วยความที่มันเคี้ยวๆอร่อยดี
    แต่คิดไปคิดมา ก็ฉันเป็นคนไทย
    ไม่ใช่ชอบกินแป้ง ใส่มาทำไม
    จริงๆ ก็กินหมด แต่ทำเป็นเหลือ 2 ชิ้น


    หลังจากนั้น
    ก็ข้ามถนนกลับมา เดินเล่นที่ตึก DDP
    เสพย์งานศิลป์ ดื่มด่ำ ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ จนหนำใจแล้ว
    ก็ยังไม่มืดค่ำ..

    ไฟดอกไม้ LED ของเราก็ยังไม่เปิด
    ก็เลยต้องมาที่เดิมมองหาร้านข้าวฆ่าเวลาสักพัก

    มาสะดุดตากับร้าน Local Food
    ที่มีภาพจาจังเมียน
    ในหัวก็ฉุกคิดถึง ซีีรีย์ที่พระเอกนางเอก
    ชอบกินกันจนปากดำ
    ก็เลยเดินเข้าร้านทันที
    มาสองคน สั่งสองอย่าง
    กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง 
    แต่อาจุมม่าน่ารักถึงแม้จะสื่อสารอังกฤษไม่ได้
    ก็ใช้ภาษามือ ท่าทาง หน้าตาสื่อสารกัน
    เนี่ยแหละ เป็นเสน่ห์ของการที่ไม่มากับทัวร์
    มันไม่ง่าย แต่มันมีเสน่ห์

    จนสั่งมาสองอย่างคือ จาจังมยอน
    กับบิบิมบับ
    แต่พูดง่ายๆแค่บิบิมบับ และเครื่องเคียงก็กินไม่หมดแล้ว
    สองอย่าง สองคนแต่ไม่หมด


    คำพูดที่จะพูดออกมาจากใจ กับการกินอาหารมื้อแรก จริงๆจังๆ ที่เกาหลีว่า
    ไม่อร่อย ไม่ใช่เพราะลิ้นเราไม่ถึง
    แต่เราเชื่อว่า หลายคนก็คงไม่ชอบ
    แต่เดี๋ยวก่อน เราไม่ใช่คงมองโลกในแง่ร้าย
    มื้ออื่นๆอร่อยก็มี แต่ไม่ใช่มื้อนี้
    #ภายใต้การกินไม่หมด
    #ภายใต้รสชาติจาจังมยอนที่เลี่ยน
    #ภายใต้บิบิมบับที่รสชาติหลายรสรัวใส่ลิ้นแบบแปลกๆ

    ก็ความน่ารักของอาจุมม่าเนี่ยแหละ

    โต๊ะอื่นเค้ากินปิ้งย่างและอื่นๆ
    มีโต๊ะเรานี่แหละที่ไม่ได้สั่งปิ้งย่าง
    ก็แหม๋ อยากลองอาหารพื้นเมืองก่อน
    เป็นไงล่ะ จดจำไปทั้งชีวิต..



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in