เช้าวันรุ่งขึ้น... ผมลืมตาตื่นขึ้นมา
บนเตียงนอนคล้ายว่ายังมีไออุ่นของเธอหลงเหลืออยู่
---
บนโต๊ะข้างเตียง... มีกระดาษแผ่นเล็กๆวางอยู่
เธอยังชอบเขียนโน้ตทิ้งไว้เหมือนเดิม
ขอโทษที่เราคงไม่ได้อยู่ดูเก่าประสบความสำเร็จ
และขอบคุณสำหรับช่วงเวลาสั้นๆ
เราจะจดจำมันไว้ตลอดไป
-จูน-
---
“เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย” คงเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตผมในตอนนี้ ถ้าให้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจูน มันคงเหมือนกับหนังรักสักเรื่องที่คุณเคยดู เพื่อนสมัยเด็กที่กลับมารักกันอีกครั้ง เพียงแต่มันต่างกันตรงที่ว่าชีวิตจริงของผมนั้นคงไม่มีวันสุขสมหวังเหมือนพระเอกและนางเอกครองรักกันในตอนจบ
ผมลองโทรศัพท์หาเธอ แน่นอนว่าคำที่ได้ยินคือ “ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” ส่วนบทสนทนาใน LINE ของผมและเธอกลายเป็น Empty Room ไปเรียบร้อย
เธอเคยบอกผมว่าเธอไม่ได้เล่น Facebook เพราะไม่อยากให้ใครรู้จักชีวิตส่วนตัวของเธอมากนัก มาถึงวันนี้ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของมันว่าเพราะอะไร
ผมลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ พร้อมกับบอกตัวเองเบาๆว่า มันคงถึงเวลาที่ผมต้องมีชีวิตต่อไป แล้วเก็บเธอเอาไว้ในความทรงจำ
---
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมและจูน ทำให้ผมตัดสินใจที่จะทำความสะอาดและจัดบ้านให้เสร็จเร็วกว่ากำหนด วันนี้ทั้งวันผมพยายามหาอะไรทำเรื่อยๆ ติดต่อคนนู้นคนนี้เรื่องการย้ายของในบ้าน เหมือนเดิมนั่นแหละครับ ผมพยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ เพราะไม่ต้องการที่จะนึกถึงเรื่องราวของเธอ
มีอยู่บทหนึ่งในสมุดบันทึกของพ่อ เขียนไว้ถึงเรื่องของ “ความเจ็บปวดและการบิดเบือนความทรงจำ” พ่อสอนผมว่า ความเจ็บปวดของเราในวันนี้มันจะดีขึ้นได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” เพราะเวลาจะเป็นตัวทำให้ความทรงจำทั้งหลายถูกบิดเบือนไป
ถ้าคุณเคยเกลียดใครสักคนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ คุณอาจลืมความเกลียดชังที่มีต่อเขาไปได้ บางทีคุณอาจจะคิดว่ามันเป็นการให้อภัย แต่ไม่ใช่หรอกครับ มันเป็นเพราะความทรงจำของคุณถูกบิดเบือนไปต่างหากว่าเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรคุณ หรือ ไม่ก็อาจจะกลายเป็นคุณเกลียดเขาหนักขึ้น เพราะความทรงจำดีๆที่มีต่อเขานั้นถูกบิดเบือนให้คุณจำได้แต่เรื่องร้ายๆ
การบิดเบือนความทรงจำ
มันเป็นกลไกการป้องกันตัวแบบหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป
โดยที่ไม่ต้องใส่ใจอดีตที่สูญหายระหว่างทาง
บันทึกของพ่อในตอนนี้ ทำให้ผมกลัวว่าตัวเองจะจำความรู้สึกที่มีต่อจูนไม่ได้ ผมหวังแค่ว่าความรู้สึกที่มีอยู่ต่อเธอในตอนนี้มันจะไม่ถูกบิดเบือนเลือนหายไปจากกาลเวลา
...จนกลายเป็นว่าเราไม่เคยรู้จักกัน
---
ระหว่างที่ผมยกลังสุดท้ายให้กับบริษัทขนส่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ผมรีบคว้ามันขึ้นมาดูด้วยความหวังเล็กๆว่าอาจจะเป็นเธอ แต่แล้วผมยังคงต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อพบว่าปลายสายที่โทรมาไม่ใช่เธอ
“ว่าไงครับแม่”
“เก่ามีปัญหาอะไรกับแฟร์หรือเปล่าลูก”
“ทำไมเหรอแม่ มีอะไรเหรอ”
“เมื่อเช้าแฟร์เขามาหาเก่าที่บ้าน มาคุยกับแม่ ร้องไห้ใหญ่เลย”
ผมเล่าปัญหาระหว่างผมและแฟร์ให้แม่ฟังคร่าวๆ แม่บอกให้ผมทำใจให้สบายๆไปก่อน ชีวิตรักก็แบบนี้แหละ ความผูกพันที่ดีช่วยให้เรามองข้ามเรื่องร้ายๆระหว่างกันได้ ผมรับฟังแม่ผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นไม่เคยเข้าสมอง บอกตรงๆ ยิ่งแม่พูดถึงแฟร์มากแค่ไหน ผมกลับยิ่งคิดถึงจูนมากขึ้นเท่านั้น
“แล้วแฟร์เค้ากวนอะไรแม่หรือเปล่า”
“ไม่หรอก แต่เขาขอที่อยู่บ้านพ่อไปนะ”
“ห๊ะ!”
ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ด้วยนิสัยของแฟร์ ถ้าเธออยากได้อะไรเธอต้องได้ คติประจำใจของเธอเป็นแบบนั้น เอาจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าขนาดขอที่อยู่ถึงบ้านพ่อเพื่อมาหาผม แบบนี้เธอต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ
ระหว่างที่ผมคิดว่าจะรับมือเธอยังไงดี เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นมาทันที เฮ้ยยยย ไม่หรอกมั้ง มันคงไม่เร็วขนาดนี้หรอก คงเป็นพี่คนส่งของคนเมื่อกี้มากกว่า
ทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป...
แฟร์ก็ไถลตัวเข้ามากอดผมไว้แบบไม่ให้ตั้งตัว
“เก่า แฟร์ขอโทษ”
“ดะดะเดี๋ยวก่อน...”
“แฟร์จะไม่ไปไหนจนกว่าเก่าจะยกโทษให้”
“ฮะฮะเฮ้ยยย....”
สงครามจิตวิทยาแบบนี้ระหว่างผมกับเธอไม่ใช่ครั้งแรก ถ้าให้ผมนับจริงๆ มันเกือบสิบครั้งแล้วที่ผมต้องเจอแบบนี้ แต่ด้วยสภาวะจิตใจของผมในตอนนี้ บอกตรงๆว่า ผมยังไม่พร้อมที่จะยกโทษให้กับเธอ
แม้จะถูกปิดบังด้วยเครื่องสำอางราคาแพง แต่มันยังแฝงให้ผมเห็นร่องรอยบอบช้ำของดวงตาที่ผ่านมาจากการร้องไห้หนัก นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอเป็นถึงขนาดนี้ แต่ผมไม่คิดเลยว่าตัวผมเองจะมีความสำคัญกับชีวิตเธอมากขนาดนั้น
เธอยังไม่ปล่อยมือที่กอดผมออก น้ำตาของเธอเปียกเสื้อยืดของผมเป็นหย่อมๆ ผมสังเกตเห็นขี้มูกใสๆติดอยู่ที่เสื้อ พอให้รู้สึกว่าอาการเธอนั้นหนักจริง
“แฟร์ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
“แฟร์จะเป็นคนใหม่ที่เข้าใจเก่า”
“ไม่ว่าเก่าจะเป็นยังไง แฟร์ก็จะอยู่ข้างๆนะ”
“ขอโทษที่ตลอดมาแฟร์พูดไม่ดีกับเก่า”
ฯลฯ
คำขอโทษที่ผุดขึ้นมาราวกับห่าฝน ช่างแตกต่างกับคำด่าที่เธอพ่นมาเหมือนปืนกลไฟในอาทิตย์ก่อน แต่ผมยังไม่พร้อมจะรับรู้อะไรในตอนนี้ แม้ในใจหนึ่งผมจะนึกสงสารเธอเหมือนกันที่เธอมีสภาพจิตใจไม่แตกต่างจากผมก็ตาม
“แฟร์จะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวเก่านอนที่โซฟาชั้นล่าง”
ผมตอบเธอตามมารยาทด้วยท่าทีเย็นชา เธอดูมีสีหน้าประหลาดใจเล็กๆ
หลังจากที่แฟร์มาอยู่ด้วย กิจกรรมในชีวิตของผมมีอะไรให้ทำเพิ่มขึ้น นอกจากดูแลตัวเองแล้ว ผมยังต้องดูแลเธอด้วย ทั้งทำความสะอาดห้องเธอ ซักเสื้อผ้า ซื้ออาหารมาให้เธอกิน แม้ว่าความรู้สึกของผมจะไม่เหมือนเดิม แต่ผมยังเลือกที่จะทำตัวเหมือนวันเก่าๆตอนที่เรามีกันและกันอยู่
ไม่รู้ว่าผมเคยเล่าให้ฟังคุณหรือเปล่าว่า แฟร์เป็นลูกคุณหนูที่สูงส่งเสียดฟ้า ส่วนผมเปรียบเสมือนกับหมาวัด วันแรกที่เธอบอกเพื่อนๆว่าคบกับผม เพื่อนคนหนึ่งของเธอถามพร้อมกับอมยิ้มว่า “เฮ้ย.. แกหาได้แค่นี้เหรอ” มันเป็นคำพูดสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกพิลึกพิลั่นว่า “ไอ้แค่นี้ที่อีนี่มันว่าคือแค่ไหนวะ”
เธอบอกให้ผมอดทนคบกันเธอ
สักวันหนึ่ง... ความดีของผมจะทำให้ทุกคนเข้าใจ
ตั้งแต่มีแฟร์อยู่ในชีวิต ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น ผมกล้าบอกเลยว่า เธอเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ผมเริ่มพัฒนาตัวเอง หนังสือแรงบันดาลใจทั้งหลายที่อยู่ในท้องตลาด ผมซื้อมันมาอ่านเพราะต้องการพัฒนาเพื่อให้คนทุกคนยอมรับในตัวผม
วันเวลาผ่านไป... เสียงดูถูกของเพื่อนเธอลดน้อยลง แต่ผมยังรู้สึกว่ามันยังไม่พออยู่ดี แม้ว่าผมจะพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ผมก็ไม่สามารถพัฒนาจนเป็นระดับที่จะหลุดพ้นได้ กฎเกณฑ์และกรอบของสังคมยังคงกั้นขวางผมอยู่ ชีวิตของผมยังธรรมดาเกินไป จนผมพบความจริงว่าผมต้องการปลดแอกตัวเองออกจากวังวนนั้นเพื่ออิสรภาพทั้งการเงินและเวลา และพิสูจน์ให้คนทุกคนรู้ว่าผมมีศักยภาพซ่อนอยู่มากขนาดไหน
ผมยังจำไม่เคยลืม...
เพราะวันที่ผมตัดสินใจก้าวกระโดดออกมา
มันเป็นวันเดียวกันกับที่เธอบอกว่าจะเลิกคบกับผม
แม้ว่าวันนี้เธอจะบอกว่าเธอรู้ตัวแล้วว่าผมสำคัญ
แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่ามันมีช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ของเรา
---
“เก่าอ่านอะไรอยู่หรอ”
“สมุดบันทึกของพ่ออ่ะ พ่อเค้าเขียนทิ้งไว้”
“เก่าไม่ค่อยเล่าเรื่องพ่อให้เราฟังเลยนะ”
“ตอนที่พ่อตายไป เรายังเด็กอยู่น่ะ”
พ่อของผมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตำรวจบอกว่าพ่อผมหักรถหลบหมาจนไปประสานงากับรถสิบล้อ ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าวันนั้นแม่กอดผมและร้องไห้ไม่หยุด
“อ่านแล้วได้อะไรอ่ะเก่า”
“ได้เรียนรู้ และได้ค้นหาตัวเองมั้ง”
แฟร์สั่นหัวนิดหน่อยก่อนที่จะกลับไปเล่นโทรศัพท์มือถือต่อ เมื่อผมยอมให้เธออยู่ที่นี่ น้ำตาที่มีก็เริ่มจะหดหายไป เหมือนเธอกลับเป็นคนเดิมได้ไวมาก ไวเสียจนผมประหลาดใจว่าเธอมาขอคืนดี หรือแค่อยากจะมาขอที่อยู่เฉยๆ
ดูเหมือนเธอจะยุ่งตลอดเวลา ทั้งๆที่เธอไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมทำให้เธอหมดด้วยแหละ) วันๆ ผมเห็นเธอใส่ใจเรื่องชาวบ้าน ข่าวสารบันเทิงต่างๆ ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
เมื่อวันก่อนเธอบอกผมว่า เธอลาพักร้อนมา 10 วันเพื่อทำใจ เธอไปทำงานต่อไม่ได้ ถ้าผมไม่ยอมกลับไปคบกับเธออีก ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมการกระทำของเธอมันตรงกันข้ามกับคำพูดได้ไวขนาดนี้
“เก่าไม่พาเราออกไปเที่ยวหน่อยอ่ะ เราเห็นป้าข้างบ้านบอกว่างานนิทรรศการไฟที่นี่สวยดีนะ”
“ไม่ไปดีกว่า เราไม่ชอบคนเยอะๆ”
“แล้วเก่าไปดูมาหรือยัง”
“อือ เราไปดูมาแล้ว”
“เอ้า ไหนบอกว่าไม่ชอบคนเยอะๆ แล้วไปกับใคร”
“ไปกับ เอ้อ ไปคนเดียวน่ะ วันแรกคนยังไม่เยอะ”
ผมเลี่ยงที่จะพูดถึงจูน ไม่ใช่เพราะกลัวว่าแฟร์จะหึงหรอกครับ แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะคิดถึงเรื่องของเธอมากขึ้น แฟร์สั่นหัวเหมือนเดิม และกลับไปจ้องที่หน้าจอมือถือของเธอต่อไป
“เก่ากำลังคิดอะไรอยู่?” แฟร์เงยหน้าขึ้นมาถามอีกครั้ง เมื่อเห็นผมเงียบไปจนผิดสังเกต
“คิดถึงเรื่องในสมุดบันทึกของพ่อน่ะ” ผมตอบเธอไปแก้เก้อแบบนั้น จริงๆผมคิดถึงเรื่องของจูนมากกว่า
“อ่านจะจบหรือยัง? เก่าชอบเรื่องไหนที่สุดอ่ะ”
“เราชอบเรื่องของความสุขและความทุกข์น่ะ”
“เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม มันเขียนว่ายังไงหรอ?”
ตอนแรกผมคิดว่าจะเล่าเรื่อง "ความสุขและความทุกข์" ที่พ่อเขียนให้เธอฟังเอง แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะสื่อสารได้ดีแค่ไหน ผมเลยหยิบบันทึกให้เธออ่าน...
---ลูกรู้ไหม?
ความสุขและความทุกข์มันเป็นแค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น
การที่พ่อเขียนแบบนี้ ลูกคงนึกว่าพ่อจะมาแนวธรรมะสวัสดีใช่ไหม เปล่าเลยลูกรัก... พ่อเพียงอยากจะบอกว่ามันคือเรื่องจริงที่พ่อต้องเจอ และพ่อเชื่อว่าคนทุกคนบนโลกนี้ต้องเจอกับความรู้สึกนี้ทุกคน
พ่ออยากให้ลูกลองตั้งคำถามว่า การที่ลูกรู้สึกมีความสุขนั้น มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? ลองนึกคำตอบไว้ในใจว่าตรงกับที่พ่อพูดหรือเปล่า
พ่อเชื่อว่าความสุขและความทุกข์
มันเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบระหว่างความจริงกับความคาดหวัง
ลูกจะมีความสุขเมื่อความจริงนั้นมันดีกว่าที่ลูกคาดหวัง และถ้าเมื่อไรก็ตามที่ความจริงนั้นแย่กว่าสิ่งทีลูกหวังไว้ ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นภายในใจลูกอย่างแน่นอน ลูกว่าจริงไหม?
การที่พ่อบอกว่ามันเป็นเรื่องชั่วคราว ไม่ใช่พ่อจะมาสอนให้เรียนรู้ว่า “เดี๋ยวมันจะผ่านไป” หรือใช้คำเก๋ๆอย่างที่เขาชอบพูดกันว่า “เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
พ่ออยากจะบอกลูกว่าที่พ่อเรียกมันว่าเป็นเรื่องชั่วคราวก็เพราะว่า "ความคาดหวังของเรานั้นมันเป็นเรื่องชั่วคราวเพียงเท่านั้น"
ถ้าลูกสมหวังเมื่อไร ลูกจะหวังสูงขึ้น
แต่ถ้าลูกผิดหวังตอนไหน ลูกย่อมหวังน้อยลง
ความสุขและความทุกข์มันเลยเกิดขึ้นระหว่างนั้น
สุดท้ายแล้ว... พ่อไม่ได้บอกให้ลูกหวังน้อยๆ เพื่อที่จะได้มีความสุข และก็ไม่ได้บอกให้ลูกยอมรับที่จะอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ เพื่อหลีกหนีความทุกข์ พ่อเพียงอยากให้ในตอนที่ลูกรู้สึกมีความสุขและความทุกข์ ลูกจะนึกถึงเรื่องนี้ที่พ่อเขียนไว้
... และนั่นมันจะทำให้พ่อมีความสุขที่สุด ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่มีโอกาสได้รับรู้มันก็ตาม
---
“นี่ๆ ตกลงเรื่องของเราสองคนจะเอายังไงล่ะเก่า” แฟร์ถามหลังจากที่อ่านจบ ดูเหมือนเธอไม่ได้ตั้งใจอ่านสักเท่าไร เพราะผมเห็นเธออ่านไปสไลด์หน้าจอมือถือไป
“เราขอคิดอีกหนึ่งคืนนะ แล้วค่อยจะให้คำตอบ” ผมยังยืนยันในหลักการเดิมของตัวเอง
“เก่าทำเหมือนเราไม่มีค่าเลยว่ะ เรื่องแค่นี้ก็ต้องคิด ความสัมพันธ์ของเรามันไม่สำคัญใช่ปะ”
“ไม่ใช่ เราอยากคิดให้ดีก่อนน่ะ เราไม่อยากให้มีปัญหาแบบนี้อี ... ”
เหมือนแฟร์จะไม่ยอมฟังผมอธิบายต่อ เธอลุกจากที่นั่งแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว เสียงปิดประตูดังลั่นทำให้ผมรู้ว่าเธอคงไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไร
คิดๆไปแล้วน่าสงสารเธอเหมือนกัน อย่างน้อยความผูกพันของเราสองคนก็มีคุณค่าต่อผม ถ้าเลือกถอยออกมามองในมุมมองของบุคคลที่ 3 บ้าง ผมน่าจะเป็นคนผิดมากกว่าที่เผลอใจไปรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงคนใหม่ โดยที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียด้วยซ้ำ เราแค่ทะเลาะกันเฉยๆ แต่ไม่ได้บอกเลิกกันอย่างเป็นทางการ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมควรรับผิดชอบความรู้สึกของเธอบ้างใช่ไหม? ผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องระหว่างผมกับจูนคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ และผมคงไม่ใช่ผู้ชายที่ใจกว้างขนาดนั้นกับเรื่องที่ผ่านมาของเธอ ยิ่งถ้าหากสังคมรู้ความจริงขึ้นมา ผมคงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนที่แฟนตัวเองเคยเป็นเด็กเสี่ยมาก่อน
การที่ผมคิดแบบนี้
มันแปลว่า ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ?
---
กลางดึกคืนนั้นเอง... ผมได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์เป็นระยะๆ จังหวะที่น่ารำคาญของมันปลุกให้ผมต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการหัวเสียว่า "คนบ้าที่ไหนโทรมาตอนตีสองตีสามวะ!!"
ผมหยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้า เอ้า!! เราปิดเครื่องตั้งแต่ก่อนนอนนี่หว่า แล้วมันเป็นเสียงโทรศัพท์ของใครวะ ทำไมมันถึงมาสั่นอยู่แถวนี้ได้
ผมลุกขึ้นเปิดไฟ เดินหาที่มาของการสั่นสะเทือนอันรุนแรง ในที่สุดผมก็เจอว่ามันอยู่ในกระเป๋าสตางค์ใบใหญ่ของแฟร์ เธอคงโมโหจนลืมหยิบมันขึ้นไปด้วย แต่เอ๊ะ!! มันไม่ใช่โทรศัพท์เครื่องที่เธอใช้ประจำนี่หว่า
ทำไมเธอถึงมีโทรศัพท์ถึงสองเครื่อง? ผมนึกถามตัวเองในใจว่านี่นานแค่ไหนแล้วที่เธอทำแบบนี้ แล้วใครกันโทรมาหาเธอในตอนดึกๆดื่นๆแบบนี้ หรือแฟนกูจะเป็นเด็กเสี่ยอีกคน
ผมถือวิสาสะกดปุ่มรับสายเงียบๆ ... ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ทว่าเสียงปลายสายที่ตอบกลับมามันทำให้ผมรู้สึกเหมือนล้มทั้งยืน
“แฟร์ ... เราขอโทษ ... เรารักแฟร์นะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in