- เช้าวันรุ่งขึ้น -
ผมตื่นขึ้นมา พร้อมคำถามในหัวแบบงงๆ
"เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นวะ?"
กินข้าว - พูดคุย - เข้าใจ - สนิทสนม - หัวเราะ - เฮฮา - สติ - ความมึน - ปวดหัว - อยากอาเจียน - เสียงสตาร์ทรถ - ทางเดิน - เซ - ล้ม - เจ็บ - ความอ่อนนุ่ม - น้ำเย็น - สติ - วูบ
“กูไปทำอะไรไม่ดีกับจูนป่ะวะ?" นั่นคือคำถามหลังจากทบทวนความทรงจำเมื่อคืนก่อน มันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นระหว่างเราบ้างหรือเปล่า จากหลักฐานที่มีอยู่ตอนนี้ มันมีเพียงผมที่อยู่ในร่างเปลือยเปล่า แต่ไร้วี่แววของจูน
เดี๋ยวนะ...กูไม่ได้ใส่เสื้อผ้านี่หว่า
ผมเริ่มลนลานหันมองสภาพแวดล้อมรอบตัว เห็นกระดาษหนึ่งแผ่นวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ โซฟาจุดเกิดเหตุ ในกระดาษแผ่นนั้นมีข้อความเขียนด้วยลายมือสั้นๆว่า
เราว่า... สิ่งที่เก่ากำลังตามหาอยู่
มันอาจจะอยู่ในตัวของเก่าตั้งแต่แรกแล้วนะ ^^/
ผมยิ้มให้กับข้อความของจูน... พลางนึกถึงสิ่งที่เธอต้องการบอกผม ใช่สินะ! บางทีแล้วการค้นหาตัวเอง อาจจะไม่ใช่การมองหาสิ่งที่ใช่ แต่เป็นการมองเห็นสิ่งที่เป็นมากกว่าสินะ อืม... ขอบคุณนะจูน ที่มองเห็นค่าอะไรบางอย่างในตัวเรา
สังเกตดูดีๆ ผมเพิ่งมองเห็นว่ากระดาษอีกฝั่งหนึ่งมีข้อความเขียนไว้...
ป.ล. เราไม่ได้แก้ผ้าเก่านะ
เก่าลุกขึ้นมารำแก้ผ้าบนโซฟา เราเลยหนีกลับก่อน :p
แสสสสส...
กูทำอะไรลงไปวะเนี่ยยยยยย
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ... ผมโทรไปรายงานตัวกับแม่พร้อมกับเล่าเรื่องจูนให้ฟัง น่าแปลกที่แม่ยังมีความทรงจำในเรื่องเหล่านี้ชัดเจนกว่าผม (โดยเฉพาะเรื่องที่จูนโดนผมหลอกให้เลียขี้หมา)
แม่บ่นเรื่องเครื่องซักผ้าที่ส่งซ่อมแล้วซ่อมอีกให้ผมฟังเหมือนเคย ก่อนที่จะแจ้งภารกิจอย่างจริงจัง ให้ผมจัดการบ้านพ่อให้เรียบร้อยก่อนสิ้นเดือนนี้ ตั้งแต่การเคลียร์ของ ทำความสะอาด ไปจนถึงหาช่างมาซ่อมแซมเพิ่มเติม เพราะคนที่จะมาเช่าบ้านคนใหม่เขาจ่ายเงินมัดจำเรียบร้อยแล้ว
"เห็นว่าเค้าจะมาทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ออฟฟิศเกี่ยวกับสตาร์ทอัพๆอะไรเนี่ยล่ะ" แม่บอกให้ผมฟังถึงพื้นเพของผู้เช่า "ว่าจะเช่านานด้วยนะ สัญญา 3 ปียาวๆกันไปเลย เพราะเค้าเพิ่งได้เงินทุนใหม่มาจาก VC อะไรสักอย่าง แม่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน"
นั่นแหละฮะ
แม่เข้าใจทุกอย่างหมดแล้วล่ะ
แบบนี้แปลว่า... ผมจะมีเวลาค้นหาตัวเองเพียงแค่ 21 วันหลังจากนี้ เพื่อที่จะตอบตัวเองให้ได้เสียทีว่า "ชีวิต" ของผมนั้นควรจะดำเนินต่อไปในทางไหน?
ผมเคยอ่านเจอบทความสร้างแรงบันดาลใจทำนองว่า อะไรก็ตามในชีวิตคนเรา ถ้าหากเราสามารถทำติดต่อกันได้เกิน 21 วัน มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ และกลายเป็นความเคยชิน ที่เราต้องทำมันทุกวันโดยไม่รู้ตัวผ่านจิตใต้สำนึก จนเปลี่ยนให้เราเป็นคนใหม่อย่างที่เราต้องการ
ถ้าหากทฤษฏีนี้เป็นความจริงแล้วล่ะก็... การที่ผมพยายามค้นหาเป้าหมายในทุกวันของชีวิตติดต่อกัน 21 วันหลังจากนี้ ผมคงจะมีนิสัยใหม่คือสามารถค้นหาตัวเองได้ทุกวันแล้วสินะ #ถุยส์
พูดก็พูดเถอะครับ ผมรู้อยู่แก่ใจดีว่า แม่ตั้งใจโทรมาย้ำกลายๆ เรื่องเวลาที่เหลือในการค้นหาเป้าหมายชีวิตของผม ถ้าครบตามกำหนดแล้วผมทำไม่ได้ ผมก็ควรจะกลับไปใช้ชีวิตปกติเสียที ถึงแม้ผมจะยืนกรานกับแม่อย่างหนักแน่นว่า ผมยังสามารถเลี้ยงตัวได้จากการขายหนังสือเก่าของพ่อไปอีกสักพัก
นี่เก่าแกล้งโง่ หรือโง่จริงๆอ่ะจ๊ะ
แม่ถามคำถามสุดท้ายก่อนจะวางสายไป
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ผมกลับมาประจำการ จัดหนังสือ เก็บข้าวของที่ไม่ได้ใช้เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้เช่ารายใหม่ อืม.. นึกๆ แล้วก็ดีใจเหมือนกันแฮะ ที่บ้านของผมกลายเป็นส่วนหนึ่งให้ธุรกิจเขาก้าวต่อไปได้
พอนึกเรื่องธุรกิจขึ้นมา ผมสังเกตเห็นเพื่อนและคนรอบตัวทั้งหลายมีความฝัน อยากเกษียณไว เกษียณรวย ประสบความสำเร็จมากมาย บางคนกระโดดลงทุนลงแรงไปจนประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังไม่จบมหาวิทยาลัย บางคนเดินทางตามหาความฝันทันทีหลังจากเรียนจบ
ผมมองเห็นประกายไฟแห่งความหวังในสายตาของพวกเขา
และมันส่งผ่านสะท้อนความเศร้าในแววตาผม
ใช่ครับ สำหรับคนที่ไม่มีเพื่อนคบสักเท่าไรแบบผม วันๆก็ได้แต่นึกสะทกสะท้อนอยู่ในใจเมื่อพูดถึงความฝันของตัวเองทุกที ผมผิดหรือที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอในวันนี้ มันช้าไปเหรอที่ผมกำลังจะมีความฝันตอนอายุ 20 ต้นๆ ผมไม่รู้ว่าจะกล่าวโทษว่ามันเป็นสาเหตุจากความล้มเหลวของระบบการศึกษาที่สอนให้เราท่องจำ หรือมันเป็นเพราะผมเองที่ไม่ยอมคิดฝันอะไรให้กับตัวเองจริงๆ
---
คุณเคยทำแบบทดสอบบุคลิกภาพไหมครับ?
เชื่อไหมครับว่า ผมเคยค้นหาความถนัดและความเหมาะสมของตัวเอง ผ่านแบบทดสอบบุคลิกภาพในอินเตอร์เน็ตมาแล้ว ไอ้พวกค้นหาอาชีพที่เหมาะกับคุณ ทดสอบว่าเราเป็นคนแบบไหน ลักษณะคนตามแต่ละประเภทจิตวิทยาที่เค้าว่ากันว่าดี และอื่นๆอีกมากมาย
ผมพยายามนั่งทำแบบทดสอบ นั่งฟังคำตอบของแต่ละเรื่องแล้ววิเคราะห์ดู พร้อมกับจดบันทึกข้อสรุปว่าผมเป็นคนแบบไหนตามผลการทดสอบ และสิ่งที่ได้คือ...
“ผลการทดสอบบอกว่า คุณเหมาะกับอาชีพแพทย์ผู้ช่วยเหลือคนป่วย”
“คุณเป็นคนสับสน ต้องการแรงบันดาลใจ เหมาะกับการออกไปเป็นนักท่องเที่ยว”
"คุณมีเวลาทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตวันละ 2-3 ชั่วโมงไหม" #เฮ้ยไอ้นี่ไม่ใช่ละ
“บุคลิกแบบ IFCAUSE ของคุณ แปลว่า คุณมีความพากเพียร ริเริ่ม และมุ่งมั่นที่จะกระทำในสิ่งที่ปรารถนาให้สำเร็จ จะทุ่มเทความสามารถทั้งหมดในการทำงาน เด็ดเดี่ยว ซื่อตรง ห่วงใยผู้อื่น เชื่อมั่นในหลักการของตนเอง จึงมักจะได้รับเกียรติและความเชื่อถือจากผู้อื่นในการตัดสินใจ แต่อย่างไรก็ตามปมในจิตใจของคุณนั้นจะทำให้คุณตัดสินใจไม่ได้ดีเท่าที่ควร"
“คุณเป็นคนใน TYPE 89 ความอดทนต่ำ ไม่รู้จักขยัน เหมาะกับการทำงานเป็นระบบตามคำสั่ง ลังเลบางครั้ง ห่วงใยตัวเองก่อนผู้อื่น ทำตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล”
“กลุ่มคนที่เกิดราศีนี้ เป็นคนบุคลิกเปิดเผย แต่เก็บงำความเศร้า ในบางครั้งเป็นคนเข้าสังคมเก่ง จนคุณรำคาญตัวเอง ส่งผลให้การเก็บตัวของคุณทำให้คุณเป็นทุกข์อยู่เสมอจนไม่สดใสร่าเริงเหมือนเวลาคุณอยู่กับเพื่อนสนิท"
บททดสอบแต่ละอัน บอกผลการทดสอบที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมเป็นคนแบบนั้น แบบนี้ แบบนู้น ซึ่งผลของมันบางครั้งก็เปลี่ยนไปตามช่วงอารมณ์ ช่วงเวลา และความรู้สึกในขณะนั้น จนสุดท้ายแล้วผมได้คำตอบให้กับตัวเองสั้นๆว่า "ผมคงเป็นคนไม่มีจุดยืน" #จบ
บางทีเราก็ต้องการให้คนอื่นบอกว่าเราเป็นคนยังไง
เพียงเพราะเราไม่กล้าที่จะบอกตัวเองแบบนั้น
ผมตัดสินใจหยุดเรื่องฟุ้งซ่านพวกนี้เอาไว้ก่อน อย่างน้อยเราควรทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยก่อนล่ะ และการหานู่นนี่นั่นให้ตัวเองได้ยุ่งๆเข้าไว้ มันก็มีข้อดีตรงที่เราจะลืมความรู้สึกฟุ้งซ่านแบบนี้ไปได้สักพัก
เก็บของ-ยกของ-ทำความสะอาด-เอาขยะไปทิ้ง-จดสิ่งที่ต้องซ่อม
นี่คือ 5 สิ่งที่ผมทำวนไปวนมาอยู่ตลอดตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็นย่ำ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาค่ำที่เข็มนาฬิกาเดินไปตรงที่เลข 7 ... ทุ่มกว่าแล้วสินะ เก็บตรงนี้ให้เสร็จคงจะได้ออกไปหาอะไรกินสักที
ผมเหลือบเห็นสัญญานไฟบนโทรศัพท์มือถือส่องสว่าง จูนส่งสติกเกอร์ทักทายผ่านโปรแกรมแชทยอดฮิตมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้รับการตอบกลับจาก
"ว่าไงครับ"
"เป็นไง ฟื้นแล้วหรอ"
"ทำงานทั้งวันตะหาก"
"อ่ะจ้าาาา"
"เดี๋ยวกำลังจะออกไปหาอะไรกิน"
"อะเคร อยากไปเที่ยวไหนก็บอกนะ"
"วันนี้คงไม่ล่ะ ไว้นัดกันอีกทีนะ"
"จ้าาาาาา"
ถึงแม้ว่าจูนจะหยิบยื่นมิตรภาพที่ดีให้กับผมแค่ไหนก็ตาม แต่ผมรู้ตัวดีว่า ตัวเองยังไม่พร้อมที่จะไปสนิทกับเธอมากกว่านี้ เรื่องของแฟร์เองก็ยังเคลียร์ไม่จบ ดังนั้นผมคิดว่าระยะห่างระหว่างเราสองคนควรจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักระยะหนึ่ง
ผมตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาแฟร์อีกครั้ง
แต่ยังไม่สามารถติดต่อเธอได้เหมือนเคย
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมนั่งเหม่ออยู่ระเบียงหน้าบ้าน ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ คิดไปแล้วมนุษย์เราก็น่าตลกเหมือนกันนะ เรามักอยากจะทำอะไรหลายอย่างในตอนที่รู้สึกว่าไม่มีเวลา แต่พอมีเวลาเข้าจริงๆ เรากลับไม่รู้เหมือนกันว่าเราอยากทำอะไรกันแน่
ก่อนนอนคืนนี้... ผมหยิบสมุดบันทึกสีดำที่วางอยู่บนหัวเตียงมาเปิดดูเล่นๆ ผมมองเห็นราวว่ามันมีร่องรอยอะไรบางอย่างในนั้น ทั้งๆที่มันเป็นกระดาษเปล่าทั้งหมด
ผมเอื้อมมือปิดไฟที่หัวเตียง นึกในใจก่อนหลับไปว่า ต่อให้ยังไม่พบคำตอบของชีวิต แต่อย่างน้อยการทำความสะอาดบ้านในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมานิดนึง
"เก่า"
ผมได้ยินคล้ายมีคนเรียกตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น
มันเป็นเสียงทุ้มของผู้ชายที่คุ้นเคย
ผมตัดสินใจลืมตามองหาที่มาของเสียงท่ามกลางความมืด แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจ แต่ผมรู้สึกเหมือนมีใครนั่งมองอยู่ที่ปลายเดียง
เสียงในใจส่งเสียงมาถามว่า
นี่กูกำลังโดนผีหลอกแล้วใช่ไหม
ตั้งแต่เกิดมาก็มีครั้งนี้นี่แหละจะเจอดี!! แม่มเอ้ย ผีที่ไหนมันจะโผล่มาวะ ปกติก่อนหน้านี้กูก็ไม่ได้กลัวผีนะ แต่พอกลัวแล้วทำไมมันกลัวจังเลยล่ะเนี่ย ตอนแรกที่คิดไว้นิยายเรื่องนี้แม่มไม่ใช่นิยายลึกลับแฟนตาซีบ้านผีปอบสักหน่อย มันเป็นนิยายชีวิตกูนะ แล้วจะมีผีโผล่มาทำไมวะเนี่ย
“เก่าาาาาาาาาา”
เสียงเรียกยังคงเป็นเสียงเดิม เพิ่มเติมคือความยานคาง
ผมหันไปมองให้ชัดๆอีกที มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ปลายเตียงจริงๆนั่นแหละ แต่มันคืออะไรแล้วจะมาหากูทำไม โอยยยยยยยยยยย กูจะสวดคาถาอะไรดีวะเนี่ย บทสวดมนต์แม่งเสือกอยู่ใน App Dharmma101 ด้วย กูจะหยิบมือถือมาเปิดทันไหมวะ
“เก่าาาาาาาาาา”
เสียงยังคงชัดขึ้นกว่าเก่า
“สัสเอ้ยยย นี่มึงพูดเป็นอยู่แค่คำเดียวใช่ไหม จะเอาอะไรก็บอกมาสิวะ” ใจจริง ผมอยากตะโกนกลับไปแบบนี้ แต่ที่ทำได้คือขยับปากที่สั่นๆให้ฟันกระทบกันเล่นๆ ไม่ไหวแล้วโว้ย ต้องสู้สิวะะะะะะะะะะะะะ
"เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย"
ผมร้องตะโกนออกไปสุดเสียง
พริบตานั้น... ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ประสาทไล่เรียงความรู้สึกปวดร้าวไปที่เอว บ่า และไหล่ และไปจบที่ศีรษะ พร้อมกับหูที่ได้ยินเสียงอื้ออึงแล่นเข้ามาอย่างหนักหน่วง
ตึ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ความเจ็บปวดที่แล่นแปล๊บเข้ามา ทำให้ผมรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว สลัดหัวไล่ความมึนงง ลืมตาชัดๆ เพื่อจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เด่นชัด
“ไอสัสสส กูตกเตียง”
มันเป็นเพียงแค่ความฝันยามดึกเท่านั้นสินะ
ผมปรายตาขึ้นมามองบริเวณที่นอน ทุกอย่างยังปกติดี มีแต่แก้วน้ำที่แตกกระจาย และน้ำที่หกเรี่ยราดอยู่บนพื้น ข้างๆสมุดบันทึกสีดำเล่มนั้นที่กำลังเปียกชุ่ม อ้าวฉิบหายละ... นี่กูนอนดิ้นขนาดนี้ปัดแก้วปัดสมุดตกเตียงกันเลยหรอวะ ดูท่าจะอาการหนักมากแล้วสินะ
ผมจัดการทำความสะอาดความเลอะเทอะที่เกิดขึ้น เก็บเศษแก้วที่แตกไปทิ้ง พร้อมก่นด่าเบาๆว่าคนห่าอะไรนอนละเมอจนตกเตียงวะเนี่ย ตั้งแต่เกิดมาต่อให้นอนละเมอบ้าง กรนบ้าง หรือสลับท่าไปมาจนน่าเกลียดบ้าง แต่ละเมอจนตกเตียงแบบนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิต
แต่ระหว่างที่หยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นไปผึ่งลม
ผมสังเกตเห็นว่ามันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in